เหมันตฤดู อากาศหนาวเย็น แขกในศาลาเสียนทิงมีไม่มาก ชั้นสองยิ่งเงียบสงบไร้เสียง ซูหลีเดินไปหยุดหน้าประตูห้อง ก้มหน้ามองถุงหอมที่กำแน่นในมือ หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกนับร้อยนับพัน
ยามนี้เอง ประตูห้องเปิดออกเสียงดัง ‘แอ๊ด’
ใบหน้าที่ดูเปลี่ยนไปจากเดิมค่อนข้างมาก พลันปรากฏตรงหน้าซูหลี ริ้วรอยตรงหางตาของเขา และผมขาวตรงขมับ คล้ายกำลังบ่งบอกถึงความอ้างว้างและเดียวดายของเขา
ซูหลีรู้สึกแสบร้อนจมูกทันที จากกันที่เทียนเหมิน ไม่เจอกันหลายเดือน เสด็จพ่อกลับแก่ตัวลงมาก!
หลีเฟิ่งเซียนมองสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าอย่างอึ้งงัน ดวงหน้างดงาม ไม่มีปานแดงให้เห็นอีกแล้ว ทาบทับกับดวงหน้าของบุตรสาวอันเป็นที่รักในความทรงจำพอดี สายตาที่นางมองมามีแววปวดใจพาดผ่านแวบหนึ่ง หัวใจของเขาซาบซึ้งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ซูหลีละสายตาออกไป ค้อมกายกล่าวอย่างนอบน้อม “ซูหลีถวายบังคมเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ ไม่ทราบท่านอ๋องเสด็จมาที่เมืองหลวงแคว้นเปี้ยนตั้งแต่เมื่อใด?”
ใบหน้าของหลีเฟิ่งเซียนแปรเปลี่ยนทันที คล้ายคำเรียกขานเช่นนี้ทำให้เขาปวดใจเล็กน้อย เขาจ้องหน้านางแน่นิ่ง สายตาเจ็บปวดรางๆ เงียบไปครู่หนึ่งจึงค่อยถอนหายใจ ตอบว่า “เพิ่งมาถึงเช้านี้”
ซูหลีชะงักไปเล็กน้อย เสด็จพ่อเพิ่งมาถึงเช้านี้ ยามนี้รีบเร่งมาพบนาง นางไม่กล้าใคร่ครวญถึงเหตุผลที่ซ่อนอยู่ รีบเชิญเขาเข้ามานั่งในห้อง แล้วถวายชาให้เขา
กลิ่นหอมของชาอบอวลไปทั่วห้อง อากาศอุ่นๆ ห่อหุ้มรอบกาย ด้านหลังฉากกั้นลมสลักลายดอกไม้อันงดงามประณีตที่วางอยู่ด้านขวา มีกลิ่นอายอันคุ้นเคยคละเคล้าอยู่จางๆ จนแทบไม่ได้กลิ่น ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย
ทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงัน เพียงจิบชาเงียบๆ ไม่พูดอะไร
ใบหน้าของเสด็จพ่อที่มีไอน้ำลอยปกคลุม ทำให้ซูหลีไม่สบายใจขึ้นมาหนึ่งส่วน นางกำถุงหอมในมือ สายตาสั่นระริกเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ถุงหอมนี้ดูเหมือนไม่ใช่ของล้ำค่าหายาก ท่านอ๋องให้คนนำมาให้หม่อมฉัน ไม่ทราบว่ามีจุดประสงค์ใดเพคะ?”
หลีเฟิ่งเซียนไม่ตอบ เขาจ้องถุงหอมในมือนาง สายตาดูเลื่อนลอย คล้ายจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำอันไกลโพ้น สีหน้าที่สะท้อนบนใบหน้าชราคล้ายมีทั้งสุขและเศร้า อาลัยอาวรณ์สุดแสน ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “ถุงหอมใบนี้ เป็นของขวัญวันเกิดที่หลีซูมอบให้ข้าตอนอายุสิบปี ช่วงนั้น ข้ามักนอนไม่หลับตอนกลางคืน นางเลยตามหาสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายประสาทไปทั่วทิศ แล้วทำถุงหอมใบนี้ขึ้นมา…มันอาจดูธรรมดามาก แต่สำหรับข้า กลับเป็นน้ำใจที่มีค่าที่สุดในโลกนี้!”
หัวใจของซูหลีสั่นไหวเล็กน้อย อดยิ้มขมขื่นไม่ได้ นางกล่าวเสียงเบา “ของล้ำค่าเช่นนี้ เหตุใดท่านอ๋องต้องมอบให้หม่อมฉันด้วยเล่าเพคะ?”
หลีเฟิ่งเซียนจ้องหน้านาง สายตาเป็นประกายเจิดจ้าผิดปกติ เขาถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “บางทีอาจเพราะเมื่อคนเราแก่ตัวแล้ว มักจะรู้สึกโดดเดี่ยวได้ง่าย พักนี้ข้ามักหวนนึกถึงเรื่องในอดีต ยิ่งนึกถึงคืนวันที่ภรรยาและบุตรสาวของข้ายังมีชีวิตอยู่…ได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าหลีซูยังมีชีวิตอยู่ ข้าเลยอยากมาดูเจ้าหน่อย เจ้า…คือซูซูจริงหรือ?”
หัวใจของซูหลีเต้นรัวด้วยความตกใจ เห็นเพียงสายตาของเขาคมปลาบ จับจ้องมองนาง คล้ายรู้หมดทุกอย่างแล้ว และกำลังรอคอยคำตอบที่เขาต้องการอยู่ หัวใจของนางพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง นางมีหรือจะไม่อยากยอมรับกับเสด็จพ่อของตนเอง แต่สถานการณ์ยามนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก นางเพิ่งปฏิเสธต่อหน้าคนทั้งโลกไปว่าตนเองไม่ใช่ท่านหญิงหมิงซี อย่างไรก็ไม่อาจยอมรับกับเสด็จพ่อได้โดยเด็ดขาด
หลีเฟิ่งเซียนหยิบถุงหอมไปจากมือนาง ก่อนจะลูบคลำมันเบาๆ สายตาที่ทั้งหวงแหนและรักใคร่นั้น ทำให้ซูหลีอดนึกถึงทุกความทรงจำระหว่างพวกเขาพ่อลูกในช่วงสิบหกปีนั้นไม่ได้ หัวใจเจ็บปวดขมขื่นยากจะทานทน นางรีบก้มหน้า ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ความรักที่ท่านอ๋องมีต่อบุตรสาว ช่างน่าซาบซึ้งยิ่งนัก หากท่านอ๋องมิรังเกียจ ซูหลียินดีทำหน้าที่บุตรกตัญญูแทนท่านหญิงหมิงอวี้เพคะ!”
สายตาของหลีเฟิ่งเซียนดูผิดหวัง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ เขาส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยความเจ็บปวดเศร้าสร้อย “ข้าไม่ได้ต้องการให้ผู้ใดมากตัญญูต่อข้า ข้าเพียงหวังว่าซูซูจะยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพียงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้ว!”
ความหวังของผู้เป็นบิดา ง่ายดายเพียงเท่านี้เอง
หัวใจของซูหลีราวกับถูกจู่โจมอย่างรุนแรง นางมองเขาอย่างตะลึงงัน สายตาที่สะท้อนแววคาดหวังและเศร้าสลดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดคู่นั้น ทำให้ขอบตาของนางร้อนผ่าว ลำคอคล้ายแห้งผาก ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
หลีเฟิ่งเซียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ข้าทำศึกสงครามมาทั้งชีวิต ฆ่าคนไปนับไม่ถ้วน สองมือเปื้อนเลือด ไม่หวังว่าตนเองจะมีบั้นปลายชีวิตที่สงบสุข เพียงแต่ตัดใจปล่อยวางไม่เคยได้ เพราะความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวของข้า ที่รับหนังสือยอมจำนนของแคว้นหวั่น ทำให้ภรรยาและบุตรสาวถูกลอบทำร้ายจนตายอย่างน่าอนาถ ซ้ำยังฝังภัยร้ายไว้ในแคว้นอีกด้วย!” จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกขาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ราวกับมีความผิดใหญ่หลวงนัก
“ไม่!” หัวใจของซูหลีบีบรัด นางรีบร้องเสียงดัง “นั่นไม่ใช่ความผิดของท่าน!”
“เป็นความผิดของข้า!” ใบหน้าของหลีเฟิ่งเซียนพลันเคร่งขรึมขึ้นมา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “องค์หญิงเยวี่ยหยางแห่งแคว้นหวั่นแม้เป็นอิสตรี ทว่ากลับมีใจคอเหี้ยมโหดกว่าบุรุษเพศมากนัก นางแอบเลี้ยงดูบ่มเพาะจั้นอู๋จี๋อย่างลับๆ สั่งสมประสบการณ์อย่างยากลำบากนานหลายปี เพียงเพื่อแก้แค้นที่ทำให้แผ่นดินของพวกเขาล่มสลาย! หากข้าใจคอเหี้ยมโหดได้สักครึ่งหนึ่งของนาง คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้! เรื่องแว่นแคว้นเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจปล่อยให้ตนเองใจอ่อนเช่นสตรี ไม่เช่นนั้นจะชักนำภัยมาหา ไม่เพียงเป็นภัยต่อตนเอง แต่จะส่งผลถึงแว่นแคว้นด้วย!”
ซูหลีเงียบงัน อดนึกถึงตงฟางเจ๋อไม่ได้ เขาเกิดมาเพื่อเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ อาจไม่เคยใจอ่อนเช่นสตรีสักครั้ง!
“ครั้งนี้ทำศึกกับแคว้นเปี้ยน ข้าอาสาออกรบด้วยตนเอง ไม่ใช่เพียงเพื่อแบ่งเบาภาระของแว่นแคว้น แต่เพื่อไถ่บาปในอดีตด้วย หากมีวันหนึ่งข้างหน้า ข้าตายอยู่ในสนามรบ เช่นนั้นคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดของข้าหลีเฟิ่งเซียนแล้ว!” รอยยิ้มของหลีเฟิ่งเซียนกลับสะท้อนแววสลดใจเล็กน้อย
ซูหลีได้ยินก็สะท้านไปทั้งใจ ด้วยความร้อนใจจึงรีบพุ่งตัวไปหาหลีเฟิ่งเซียน แล้วตะโกนเรียกโดยสัญชาตญาณ “ไม่นะเพคะ! ท่านอ๋องจะต้องมีพระชันษายืนยาวไปถึงร้อยปีแน่นอน!”
หลีเฟิ่งเซียนชะงักงัน มองนางด้วยสายตาประหลาดใจสุดแสน เสี้ยววินาทีนี้ สายตาของซูหลีเต็มไปด้วยความร้อนใจและว้าวุ่น ทำให้เขาหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อนานมาแล้ว อดพึมพำเสียงเบาขึ้นมาไม่ได้ “เจ้า…เหมือนหลีซูมากจริงๆ”
ซูหลีตกใจ รู้ตัวว่าตนเองเสียกิริยา ก็รีบละสายตา แล้วถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้เงียบๆ
หลีเฟิ่งเซียนกลับจดจ้องมองนางอย่างเหม่อลอย คล้ายจมดิ่งสู่ห้วงความทรงจำอีกครั้ง
“ตอนที่หลีซูยังเด็กมาก มีครั้งหนึ่งข้ากลับมาจากทำศึก ได้รับบาดเจ็บหนัก สาวรับใช้คนหนึ่งที่ยืนอยู่ในลานบ้านพูดว่า ‘ท่านอ๋องจะตายหรือไม่?’ หลีซูได้ยิน ก็กล่าวด้วยความโมโหว่า ‘เสด็จพ่อไม่มีวันตาย เสด็จพ่อจะต้องมีพระชันษายืนยาวไปถึงร้อยปีแน่นอน!’…”
หัวใจของซูหลีเต้นเร็วอย่างไม่อาจควบคุม นางก้มหน้าด้วยความร้อนตัว เรื่องเก่าขนาดนี้แล้ว เก่าจนแม้แต่นางยังลืมไปแล้ว แต่เสด็จพ่อกลับยังทรงจำได้อย่างชัดเจนถึงเพียงนี้
หลีเฟิ่งเซียนถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นที่ซีจินแต่งกับข้า ข้าเคยสัญญาว่าจะรักและปกป้องนางไปตลอดชีวิต จะไม่มีทางทำให้นางน้อยเนื้อต่ำใจแม้แต่น้อย นึกไม่ถึงว่าพวกนางสองแม่ลูกกลับต้องตายอย่างอัปยศเพราะข้า! ข้าใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับข้าแล้ว ความตายจึงเป็นเหมือนความหวัง ทุกค่ำคืนข้าเฝ้ารอคอยที่จะได้พบกับพวกนางสองแม่ลูกอีกครั้ง…ชีวิตนี้ข้าขอเพียงเท่านี้”
พูดไป ดวงตาก็สะท้อนแววเคลิบเคลิ้มหลงใหล ราวกับความเดียวดายและความคิดถึงที่ยากจะอธิบาย ได้ทำให้เขาเกิดความปรารถนาต่อโลกอีกใบที่ไม่มีอยู่จริง
ความรู้สึกผิดประดังประเดเข้ามา ซูหลีรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนบาป! นางยังมีชีวิตอยู่แท้ๆ แต่กลับทำให้เสด็จพ่อที่แก่ตัวลงทุกวันต้องทนทรมานต่อความคิดถึงเช่นนี้…
“ข้าอยากได้ยินซูซูเรียกข้าว่าเสด็จพ่ออีกสักครั้งจริงๆ! เท่านี้ข้าก็คงตายตาหลับแล้ว” สายตาของหลีเฟิ่งเซียนที่หยุดจ้องที่ใบหน้าซูหลี พลันเลื่อนลอยคล้ายจมดิ่งสู่ภวังค์ “เจ้า…ไม่ใช่ซูซูจริงหรือ?”
……………………….