หัวใจของซูหลีเจ็บปวด มองดูท่าทางแก่ชราของหลีเฟิ่งเซียน ใบหน้าเต็มไปด้วยแววเศร้าสร้อย หากเขาจากนางไปจริงๆ เมื่อถึงยามนั้น แม้นางจะอยากขานเรียก ‘เสด็จพ่อ’ อีกครั้ง ก็คงไม่มีใครขานรับอีกแล้ว…เสด็จแม่แม้กระทั่งตายไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ นางไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีกครั้ง มิเช่นนั้นนางคงจะเสียใจในภายหลังอย่างมาก!
หัวใจของซูหลีสะท้านไปทั้งดวง ยามนี้ความหวาดกลัวและความกังวลทั้งหมดถูกนางมองข้ามไปจนสิ้น นางลุกขึ้นยืน ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าหลีเฟิ่งเซียนแล้วกล่าวเสียงสะอื้น
“ลูกอกตัญญู! เสด็จพ่อโปรดอภัยให้ลูกด้วย!”
หลีเฟิ่งเซียนสะท้านไปทั้งตัว เบิกตาโพลง มองนางด้วยสายตาเหลือเชื่อ “เจ้า…เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ?” น้ำเสียงของเขาแหบพร่า และสั่นเทาด้วยความตื้นตันอย่างไม่อาจควบคุม
ซูหลีเงยหน้า ขอบตาร้อนผ่าว นางกล่าวด้วยความละอายใจ “ลูกยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับไม่อาจกลับไปพบหน้าเสด็จพ่อ ทำให้เสด็จพ่อเสียพระทัย เป็นลูกที่ทำผิดเองเพคะ!” นางคำนับด้วยความสำนึกผิดอย่างสุดซึ้งอีกครั้ง ก่อนจะกุมมือที่กำลังสั่นเทาของเสด็จพ่อ แล้วกล่าวต่อว่า “ถุงหอมในมือเสด็จพ่อ เป็นถุงหอมที่ลูกทำเองจริงๆ เพคะ เพราะเพิ่งเรียนทำครั้งแรก จึงฝืนเย็บอยู่สามวันสามคืนกว่าจะเสร็จ ครั้นถึงวันเกิดของเสด็จพ่อ ลูกลังเลมิกล้านำออกมา เพราะกลัวเสด็จพ่อจะไม่โปรด…นึกไม่ถึง หลายปีมาแล้ว เสด็จพ่อกลับยังคงพกติดตัวไว้เสมอ ทั้งยังเก็บรักษาไว้อย่างดีเช่นนี้…”
พอได้ยินนางเล่าเรื่องในอดีตได้อย่างถูกต้องและชัดเจนถึงเพียงนี้ หลีเฟิ่งเซียนแทบไม่อยากเชื่อ หัวใจของเขาเต้นรัวและสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาพยายามควบคุมลมหายใจของตนเอง แต่กลับไม่อาจควบคุมน้ำเสียงที่สั่นเครือได้ เขาถามนางเสียงแผ่วเบา “เจ้า…เรื่องเหล่านี้หลีซูบอกเจ้าในความฝันหรือ? หรือว่า…” เขาถามอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงความฝันอันว่างเปล่า
หัวใจของซูหลีรู้สึกขมปร่ายิ่งกว่าเดิม นางกล่าวเสียงแหบพร่า “ไม่ ไม่ใช่เพคะ เรื่องที่บอกว่าวิญญาณเข้าฝัน ล้วนเป็นคำลวงที่หม่อมฉันจำต้องสร้างขึ้นเพื่อสืบคดีเพคะ! หม่อมฉันคือหลีซู แล้วก็คือซูหลี ถึงแม้ร่างกายหลีซูตายไปแล้ว แต่จิตวิญญาณยังคงอยู่ เรื่องนี้ประหลาดซับซ้อนยากจะเข้าใจ ซูซู…ไม่รู้จะอธิบายให้เสด็จพ่อเข้าพระทัยได้เช่นไร…หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงให้อภัย!”
“เจ้า…เจ้าคือหลีซูจริงๆ หรือ?!” หลังจากได้คำตอบอันชัดเจน หลีเฟิ่งเซียนก็อดประคองนางให้ลุกขึ้นไม่ได้ สายตาตื่นตะลึงสุดขีดของเขามองวนเวียนอยู่บนใบหน้านางไม่หยุด จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่อยากเชื่อว่าใต้ฟ้ายังมีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่จริง บุตรสาวของเขากลับยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ!
หลายวันก่อน เขาถูกฝ่าบาทเรียกตัวอย่างเร่งด่วน เขาเดินทางหามรุ่งหามค่ำมายังเมืองหลวงแคว้นเปี้ยน ยามรู้ว่าซูหลีและหลีซูคือคนคนเดียวกัน เขาตกตะลึงสุดขีด ไม่อยากเชื่อว่าโลกนี้จะมีเรื่องลึกลับพิสดารเช่นนี้อยู่จริง แต่ทว่า เขารู้จักตงฟางเจ๋อดีเกินไป หากไม่มั่นใจจริงๆ ตงฟางเจ๋อไม่มีทางเอ่ยปากออกมาส่งเดชแน่นอน และเมื่อหวนนึกถึงพฤติกรรมต่างๆ ของซูหลียามอยู่แคว้นเฉิง เขาก็รีบมาหานางอย่างอดใจรอไม่ไหว กระทั่งตอนนี้ เมื่อได้ยินนางยอมรับกับปากตนเอง เขาจึงรู้สึกว่าสวรรค์ยังเมตตาเขาอยู่บ้าง บุตรสาวที่เขารักที่สุดยังคงอยู่บนโลกใบนี้ นาง…คือชีวิตของซีจิน!
ครั้นกล่าวถึงเรื่องในอดีต หัวใจของซูหลีเศร้าสลด นางกล่าวอย่างขมขื่น “ยามที่ลูกตื่นขึ้นมาในจวนอัครเสนาบดี ก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันว่ามันคือเรื่องจริง แต่ลูกก็คืนชีพมาแล้วจริงๆ ยามนั้นคิดแต่จะกลับจวนไปทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทราบ…” สายตาของนางหม่นหมอง จู่ๆ ก็หยุดพูดไป
หัวใจของหลีเฟิ่งเซียนหนักอึ้ง เขากล่าวอย่างปวดใจ “วันนั้นที่เจ้ากลับมาที่จวน เห็นพ่อกับตงฟางจั๋วดื่มชาพูดคุยกัน กระทั่งบอกว่าจะยกหลีเหยาให้แต่งงานกับเขา เจ้าคง…จะปวดใจมาก!”
ซูหลีส่ายหน้า เอ่ยว่า “ลูกรู้แล้วเพคะ ลูกรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เสด็จพ่อทรงทำ ล้วนทำเพื่อลูกทั้งสิ้น”
“เพียงเสียดาย สุดท้ายพ่อก็สืบหาเบาะแสไม่ได้ กลับกลายเป็นเจ้า ที่ทำทุกวิถีทาง จนกระทั่งเปิดโปงแผนการชั่วของจั้นอู๋จี๋ได้!” เขาไม่อาจยับยั้งความเศร้าโศก กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ซูซู…พ่อผิดต่อเจ้านัก! แล้วก็ผิดต่อเสด็จแม่ของเจ้าด้วย!” ครั้นนึกถึงหรงซีจินที่ตรอมใจตายด้วยเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกเพียงเจ็บปวดหัวใจดั่งโดนมีดกรีด
ซูหลีกุมมือหลีเฟิ่งเซียนแน่น แล้วกล่าวปลอบโยนเขา “เสด็จพ่อเป็นคนแข็งแกร่งและซื่อตรง ไม่ข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจ จะรับมือกับแผนการชั่วร้ายของจั้นอู๋จี๋ได้เช่นไรเล่าเพคะ! สำหรับลูก เสด็จพ่อคือบิดาที่ประเสริฐที่สุดในโลกนี้! ลูกเชื่อว่าสำหรับเสด็จแม่ เสด็จพ่อก็ทรงเป็นพระสวามีที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วเช่นกันเพคะ!”
“เช่นนั้นหรือ?” ในดวงตาหม่นหมองพลันมีรัศมีเจิดจรัสพาดผ่าน ทว่าเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่กลับเป็นความเจ็บปวดที่ยากจะอธิบาย หลีเฟิ่งเซียนกล่าวอย่างชื่นใจ “สวรรค์มีตา ซูซูรอดพ้นจากความตาย วันนี้ได้ฟังเจ้าเรียกพ่อว่าเสด็จพ่ออีกครั้ง พ่อก็สมปรารถนาแล้ว!”
เขาลูบเรือนผมของซูหลีเบาๆ สายตารักใคร่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทอดมองใบหน้านาง ความยินดีเปี่ยมล้นในใจ เขาถอนหายใจอย่างอิ่มเอม “เจ้าไปเก็บของ พรุ่งนี้กลับไปกับพ่อเถิด”
ซูหลีตกใจ รีบดึงมือเขา “เสด็จพ่อ…”
นางหมายจะเอ่ยปากแต่ก็หยุดไป คล้ายมีเรื่องปิดบังที่ยากจะกล่าวออกมา หลีเฟิ่งเซียนนิ่งงัน ถามอย่างผิดหวัง “ทำไมเล่า? หรือเจ้าไม่อยากกลับบ้านกับพ่อหรือ?”
ซูหลีกล่าวตอบโดยสัญชาตญาณ “ไม่ใช่นะเพคะ…”
ใบหน้าหลีเฟิ่งเซียนปรากฏแววเศร้าสลด “นับตั้งแต่ที่เจ้ากับซีจินจากไป หลิงหลงกับเหยาเอ๋อร์ก็จากไปด้วย จวนเซ่อเจิ้งอ๋องไร้ซึ่งเสียงหัวเราะเช่นในอดีต…ทุกครั้งที่ข้าเดินผ่านเส้นทางที่พวกเจ้าเคยเดิน ข้ามักหวนนึกถึงวันเวลาที่อยู่กันพร้อมหน้า แล้วก็มักอดคิดไม่ได้ว่า หากเป็นไปได้ ข้ายอมละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อแลกกับการให้พวกเจ้ากลับมามีชีวิตต่อแม้เพียงวันเดียวก็ยังดี…”
หัวใจของซูหลีสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม ราวกับมองเห็นแผ่นหลังอันเดียวดายของเสด็จพ่อ ที่กำลังก้าวเดินเพียงลำพังอยู่ด้านในจวนอันกว้างขวาง อยากใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมี เพื่อแลกกับการทำให้คนตายฟื้นคืนชีพหนึ่งวัน ช่างเป็นคำขอที่ชวนให้สิ้นหวังยิ่งนัก
“เสด็จพ่อ…” นางยังไม่ทันเอ่ยปาก น้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนเป็นสะอื้น ไม่รู้ควรปลอบโยนเสด็จพ่อผู้โดดเดี่ยวเช่นไรดี นางอยากตามเขากลับบ้านไปเสียเดี๋ยวนี้ แล้วอยู่เคียงข้างเขาไปตลอดชีวิต แต่ นางกลับทำไม่ได้ ในหัวใจนางยังคงมีปมปริศนาใหญ่ที่ยังไม่อาจคลี่คลาย และนางก็จำต้องสืบหาความจริงให้ได้
ซูหลีรวบรวมสติ ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “ลูกอยากอยู่เคียงข้างเสด็จพ่อมาก แต่ลูกยังมีเรื่องที่ค้างคาใจ เสด็จพ่อโปรดอภัยให้ลูกด้วยเถิดเพคะ!”
หลีเฟิ่งเซียนรีบถามทันที “เรื่องใดกัน? ลองกล่าวมา ดูว่าพ่อจะช่วยเจ้าได้บ้างหรือไม่?”
สายตาของซูหลีไหวระริก นางแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ขอบพระทัยเสด็จพ่อเพคะ เรื่องนี้…มีเพียงลูกเท่านั้นที่ทำได้ เสด็จพ่อโปรดอภัยให้ลูกด้วย”
สายตาของหลีเฟิ่งเซียนหม่นหมอง เขาถอนหายใจอย่างจนใจ “ตั้งแต่เล็กจนโต เจ้าเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตนเองเสมอ ไม่ว่าเรื่องใดหากเจ้าตัดสินใจแล้ว ย่อมต้องมีสาเหตุ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอก พ่อก็จะไม่ถามมาก แต่มีเรื่องหนึ่ง พ่อจำต้องถามเจ้าให้ชัดเจน!”
“เสด็จพ่อโปรดว่ามา”
“เจ้ารับปากแต่งงานกับหยางเซียว เพราะความต้องการของเจ้าจริงๆ หรือสถานการณ์บังคับกันแน่?”
สีหน้าของหลีเฟิ่งเซียนหนักแน่นจริงจัง หัวใจของซูหลีพลันตึงเครียด เดิมทีคำถามนี้ไม่ได้ตอบยากแต่อย่างใด แต่ตอนนี้…นางกลับไม่อาจตอบออกไปได้
นางชำเลืองมองฉากกั้นลมลวดลายประณีตงดงามบานนั้น ฉากกั้นลมยังคงแน่นิ่งไม่ขยับ ทว่ากลิ่นอายอันคุ้นเคยจางๆ ที่ลอยอยู่ท่ามกลางอากาศกลับมีความเคลื่อนไหว สายตาของซูหลีหม่นหมอง ไม่ยอมตอบคำถาม
หลีเฟิ่งเซียนกล่าวด้วยความปวดใจ “เรื่องแต่งงาน เกี่ยวพันกับความสุขทั้งชีวิตของเจ้า การตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียวของพ่อ เคยทำให้เจ้าทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พ่อ…ละอายใจต่อเจ้ายิ่งนัก!” ครั้นนึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากงานแต่งงานครั้งนั้นที่ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างพากันอิจฉา เขาทั้งเจ็บปวดและเสียใจ น้ำตารื้นขึ้นมาเล็กน้อย
………………………