ซูหลีหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย องครักษ์นอกตำหนักวิ่งเข้ามาห้าหกคนแล้ว เสียง ‘ชิ้ง’ ดังขึ้น ประกายดาบพาดผ่านทันใด องครักษ์สาวเท้ายาวๆ เข้ามา ฉินเหิงกับเจียงหยวนโฉบไหวเงาร่าง รวบรวมกำลังภายในไว้กลางฝ่ามือ แล้วซัดออกไปพร้อมกัน เสียงดังสนั่น ดาบทหารแตกหัก ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ห้าหกคนกระเด็นกระดอนออกไป ร้องโอดครวญอยู่บนพื้น
คนในตำหนักตกใจหน้าเปลี่ยนสี เหล่านางกำนัลต่างพากันหวีดร้องด้วยความตกใจ วิ่งไปด้านหลังตำหนัก ฮองเฮาตื่นตะลึง มือที่วางบนเก้าอี้สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ฮั่วเสี่ยวหมานตกใจจนทิ้งตัวนั่งกับพื้น ยังไม่ลืมตะโกนเสียงดัง “ทหาร! หายหัวไปไหนกันหมด! พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรืออย่างไร?!”
ซูหลียังคงยืนอยู่กลางตำหนัก ไม่ขยับสักก้าว
สายตาสุขุมเยือกเย็นของนางจับจ้องไปที่ดวงหน้าที่ซีดเผือดเพราะความตกใจของฮองเฮา แล้วเอ่ยปากอย่างแช่มช้า “หากหม่อมฉันจะไป มีใครขวางทางหม่อมฉันได้งั้นหรือ?”
ฮองเฮาตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ซูหลีละสายตากลับมา “หม่อมฉันกับองค์รัชทายาทดีต่อกันเสมอมา จึงไม่อยากทำให้ฮองเฮาลำบากใจ หากฮองเฮายังคงยืนหยัดไม่เชื่อคำพูดหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ทำได้เพียงทูลลา วันหน้าหากองค์รัชทายาทกลับวังมา หม่อมฉันค่อยมาขอรับโทษ”
ฮั่วเสี่ยวหมานลุกพรวด ชี้นิ้วไปด้านนอกตำหนักแล้วร้องเสียงดัง “เจ้าคิดจะหนีงั้นหรือ? ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก! หัวหน้าองครักษ์กู้นำทหารล้อมตำหนักอี๋หวาไว้แล้ว! คราวนี้แม้เจ้าจะติดปีกก็ไม่มีทางหนีไปได้แน่!”
เจียงหยวนกับฉินเหิงโฉบกายไปด้านหลังซูหลี กล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าสำนัก! พวกข้าจะคุ้มกันท่านเอง รีบไปเถิด!”
ซูหลีมองหน้าฮองเฮาอย่างจนใจ “เข้าใจแล้ว”
นางหมุนกาย สาวเท้ายาวๆ เดินออกไปนอกตำหนัก ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงขันทีรายงานก็พลันดังขึ้น “ฮ่องเต้เสด็จ!”
กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกตำหนักพากันคุกเข่าทันที ซูหลีเงยหน้ามองไป ภายใต้การคุ้มกันอย่างแน่นหนา ขบวนเกี้ยวของฮ่องเต้กำลังเคลื่อนตัวผ่านประตูหลายบาน มุ่งหน้ามายังทางนี้อย่างแช่มช้า แสงตะวันแรกหลังฝนตกสาดส่องเกี้ยวอันสูงส่งของฮ่องเต้ หลังคาเกี้ยวสลักรูปมังกรและหงส์หอง มังกรผานหลงพ่นไข่มุกดูสะดุดตาอยู่ตรงมุมหลังคาทั้งสี่
เกี้ยวของฮ่องเต้เคลื่อนตัวมาที่ตำหนักทีละก้าวๆ ซูหลีพลันรู้สึกขอบตาร้อนผ่าว เป็นเขาหรือ? จะใช่เขาหรือเปล่า? ปริศนาเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตนี้ จะถูกไขให้กระจ่างนับจากนี้ไปหรือไม่?
ฮ่องเต้แคว้นติ้งประทับอยู่กลางเกี้ยว ผ้าม่านสีเหลืองทองห้อยอยู่รอบกาย บดบังการมองเห็นของทุกคน แต่ซูหลียังคงเห็นว่าเสี้ยววินาทีที่เกี้ยวถูกวางลงบนพื้น เขาวางมือบนที่เท้าแขนเก้าอี้ แล้วไอเบาๆ
ฮองเฮารีบเดินนำออกไปคุกเข่าต้อนรับนอกตำหนัก พร้อมกล่าวคำสรรเสริญ มีเพียงพวกซูหลีที่ยังคงยืนนิ่ง นางเพียงยืนมองเกี้ยวหลังนั้นจากที่ไกลๆ ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้
กลิ่นสมุนไพรจางๆ ลอยโชยมาจากเกี้ยวหลังนั้น ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย สัมผัสได้ทันทีว่ามีส่วนประกอบของยาที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บเรื้อรังผสมอยู่ด้วย นางนิ่งงันไปเล็กน้อย หรือว่าฮ่องเต้แคว้นติ้งเคยได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง?
ฮองเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงแตกตื่น “พระวรกายของฝ่าบาทยังทรงไม่หายดี เหตุใดจึงเสด็จมาหาหม่อมฉันด้วยตนเองเช่นนี้เล่าเพคะ? หากทรงมีพระปรอทเพราะอากาศหนาวคงไม่ดีแน่…”
ฮ่องเต้ถามด้วยน้ำเสียงอิดโรย “ข้าได้ยินว่าฮองเฮาเจอหยกห้อยเอวของรัชทายาทบนตัวสตรีนางหนึ่ง จริงหรือไม่?”
ฮองเฮาตอบ “มีเรื่องเช่นนี้จริงเพคะ ฝ่าบาทโปรดทอดพระเนตร”
นางน้อมส่งหยกห้อยเอวชิ้นนั้นไปตรงหน้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้รับไปพินิจอย่างละเอียด แล้วกล่าว “เป็นหยกของรัชทายาทจริงๆ สตรีนางนั้นอยู่ที่ใด?”
ฮองเฮากล่าว “อยู่ในตำหนักเพคะ นางไม่ยอมรับว่าเคยเจอฉ่างเอ๋อร์ ซ้ำยังบอกว่าหยกห้อยเอวชิ้นนี้ฉ่างเอ๋อร์เป็นคนมอบให้นางเมื่อหนึ่งปีก่อน…”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ถามเสียงเข้ม “ฮองเฮาเชื่อคำพูดนางหรือ?”
“หม่อมฉันย่อมไม่เชื่อเพคะ…”
“เช่นนั้นก็หาทางทำให้นางพูดความจริงออกมา มิเช่นนั้นแคว้นติ้งของเราคงไร้ผู้สืบทอดแล้วจริงๆ!” เอ่ยจบ เขาก็พลันกระแอมไออย่างหนัก
ซูหลีตกตะลึง ฟังจากวาจาของฮ่องเต้ คล้ายเห็นว่าหยกห้อยเอวชิ้นนี้เป็นเบาะแสเพียงหนึ่งเดียวของหลางฉ่าง?
ฮั่วเสี่ยวหมานร้อง “ใช้วิธีทรมานเลยดีกว่าเพคะ หากทรมานแล้วยังต้องกลัวนางไม่พูดความจริงอีกหรือเพคะ”
ครั้นวาจานี้หลุดออกไป ทุกคนล้วนตกตะลึง ฮ่องเต้กล่าวเพียงประโยคเดียว แต่กลับไอไม่หยุด
ฮองเฮาตำหนิทันที “หมานเอ๋อร์ห้ามกล่าววาจาส่งเดช! แคว้นติ้งของเราปกครองไพร่ฟ้าด้วยคุณธรรมเสมอมา ถึงแม้เป็นนักโทษโฉดชั่วเพียงใด ก็น้อยนักที่จะใช้วิธีทรมาน ยิ่งไปกว่านั้นสตรีนางนี้เพียงน่าสงสัย ไม่ใช่คนร้ายจริงๆ เสียหน่อย!”
ซูหลีหันไปมองฮองเฮา ในใจก็อดอุทานด้วยความเลื่อมใสไม่ได้ เล่าลือกันว่าฮองเฮาน่าหลันแห่งแคว้นติ้งฉลาดปราดเปรื่องเปี่ยมด้วยคุณธรรม เป็นดังคำเล่าลือจริงๆ นางพลันถอนหายใจกล่าวว่า “องค์รัชทายาทช่างโชคดียิ่งนัก…”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ ฮ่องเต้ก็พลันหยุดไอ เขาเงยหน้าถาม “เจ้าก็คือสตรีนางนั้น?”
“เพคะ ฝ่าบาท” ซูหลีมองไปทางฮ่องเต้ผู้สูงส่งตรงๆ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินไปหาเขา สององครักษ์ข้างกายยกดาบพาดขวาง นางชะงักฝีเท้า แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงอยากรู้หรือไม่ว่าเหตุใดองค์รัชทยาทจึงมอบหยกห้อยเอวให้หม่อมฉัน?”
ฮ่องเต้กล่าวเสียงเบา “ให้นางเข้ามา”
“ไม่ได้นะเพคะ!” ฮองเฮากล่าวด้วยความตกใจ “สตรีนางนี้เอาแต่ร้องขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อครู่ยังคิดจะหนีออกจากวัง คนของนางมีวรยุทธ์ร้ายกาจ หากอนุญาตให้นางเข้าใกล้ เกิดนางมีจุดประสงค์ร้ายแอบแฝง…”
ฮ่องเต้กล่าว “ข้าต้องกลัวสตรีที่ไร้อาวุธในครอบครองด้วยหรือ? เหลวไหล! องครักษ์หลวงสิบกว่าคนที่อยู่ในที่แห่งนี้เป็นเพียงเครื่องประดับงั้นหรือ? ปล่อยให้นางเข้ามา!”
ฮองเฮาจนใจ ทำได้เพียงก้าวถอยหลังไปเงียบๆ องครักษ์หลีกทาง ซูหลีเยื้องย่างเข้ามาช้าๆ และหยุดยืนห่างจากเกี้ยวสิบฉื่อ
ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้า “เจ้าว่ามา เหตุใดรัชทายาทจึงมอบหยกนี้ให้เจ้า?”
ซูหลีกล่าว “หากฝ่าบาทอยากทราบ ก็โปรดตอบคำถามหม่อมฉันมาก่อนเพคะ”
“เจ้าช่างใจกล้านัก กล้าต่อรองกับฝ่าบาทเชียวหรือ!” ฮั่วเสี่ยวหมานตะโกนเสียงดัง
ซูหลีไม่สนใจนาง เพียงจับจ้องเงาร่างเลือนรางที่อยู่ในเกี้ยวด้วยสายตาหนักแน่น แล้วถามว่า “หม่อมฉันอยากทูลถามฝ่าบาท หยกขององค์รัชทายาท เคยเป็นของฝ่าบาทเมื่อสิบเก้าปีก่อนใช่หรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ถูกต้อง เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”
ซูหลีไม่ตอบ กลับถามต่ออีกว่า “เช่นนั้นยามนั้นพระองค์ได้มอบหยกนี้ให้ผู้อื่นหรือไม่เพคะ?”
“หยกของรัชทายาทก็เท่ากับชีวิตของรัชทายาท ข้าย่อมไม่มีทางมอบให้ผู้อื่น! องค์รัชทายาทเองก็เช่นกัน”
หัวใจของซูหลีสั่นไหว “เช่นนั้นสิบเก้าปีก่อน พระองค์เคยเสด็จไปยังสถานที่ที่ชื่อว่าหุบเขาอวี๋ชิง และพบกับ…”
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ฮ่องเต้พลันตัดบทนางอย่างระแวดระวัง ถามเสียงขรึม “เหตุใดจึงต้องสนใจเรื่องเมื่อสิบเก้าปีก่อนถึงเพียงนี้ด้วย? เจ้าอยากรู้เรื่องอะไรกันแน่?”
“สิบเก้าปีก่อน?” ฮั่วเสี่ยวหมานเอียงคอครุ่นคิด จู่ๆ ก็ปิดปากแล้วร้องขึ้นด้วยความตกใจ “นั่นมันปีที่พระญาติก่อกบฏไม่ใช่หรือ? หรือว่าเจ้าเป็นลูกหลานของโจรกบฏ? จับพี่ชายรัชทายาทไป ตอนนี้ก็มาแก้แค้นฝ่าบาทอีก?”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึง เสียงชักดาบดังขึ้น องครักษ์นับสิบชักดาบออกจากฝักพร้อมกัน แล้วเล็งไปที่ซูหลี เจียงหยวนและฉินเหิงพลันตึงเครียด รีบซัดองครักษ์ที่อยู่ข้างหน้าตนเองออกไปทันที ก่อนจะพุ่งเข้าไปคุ้มกันอยู่ข้างกายซูหลีด้วยความเร็วดั่งภูตผี
ฮองเฮาตื่นตระหนก รีบตะโกนเสียงดัง “คุ้มกันฝ่าบาท!”
สถานการณ์พลันแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
ใบหน้าของซูหลียังคงเรียบนิ่ง นางหันไปจ้องฮั่วเสี่ยวหมานด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าสิบเก้าปีก่อนแคว้นติ้งเกิดเหตุการณ์พระญาติก่อกบฏ เป่ยผิงโหวช่วยฝ่าบาทปราบการจลาจล เป็นถึงขุนนางอันดับหนึ่งที่มีผลงานโดดเด่น! หากข้าเป็นลูกหลานกบฏจริง คงจะจับตัวคุณหนูฮั่วเพื่อแก้แค้นเป่ยผิงโหวก่อนเป็นคนแรก!”
ฮั่วเสี่ยวหมานตกใจ ผงะถอยหลังด้วยความแตกตื่น นางคว้าตัวองครักษ์คนหนึ่งมายืนบังหน้า แล้วตะโกนเสียงดัง “ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
…………………..