กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – บทที่ 469 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (5)

บทที่ 469 ฮ่องเต้หญิง พวกเราแต่งงานกันเถิด (5)

ซูหลีไม่ได้ตอบคำถามทันที เพียงสบตาเขานิ่งๆ นางมองเห็นแววคาดหวังและรุ่มร้อนที่ปิดไม่มิดในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน แล้วจึงค่อยตอบด้วยเสียงอันแผ่วเบาและแช่มช้า “นางเป็น…มารดาที่ล่วงลับไปแล้วของซูหลีเพคะ”

ครั้นได้ยินคำว่า ‘มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว’ เขาก็สั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนัก เซถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าเป็นลูกสาวของซีซี? ซีซีนาง…”

“ไม่อยู่แล้ว” ซูหลีกล่าวอย่างใจเย็น แต่กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

ฮ่องเต้หายใจรวยริน “เช่นนั้น มารดาเจ้า…มารดาเจ้าเป็นผู้ใด?”

ซูหลีเงยหน้ามองเขา แล้วตอบว่า “มารดาของหม่อมฉันก็คือหยางซี ธิดาเทพคนก่อน นางถูกไล่ล่าเพราะทรยศและหนีออกจากแคว้น เร่ร่อนไปจนถึงแคว้นเฉิง นางได้รับการช่วยเหลือจากเซ่อเจิ้งอ๋อง จากนั้นเขาก็แต่งนางเป็นพระชายา ยามหม่อมฉันเกิดเสด็จแม่ถูกลัทธิธิดาเทพไล่ล่า เพื่อปกป้องหม่อมฉัน นางสับเปลี่ยนตัวหม่อมฉันกับทารกที่ตายตั้งแต่แรกคลอดของนางหลิ่วแห่งจวนอัครเสนาบดี หม่อมฉันจึงเติบโตมาในจวนอัครเสนาบดี ต่อมา…”

“พระชายาในเซ่อเจิ้งอ๋อง…สิ้นลมเพราะการตายของบุตรสาวและอาการป่วย…” ใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นติ้งพลันซีดเผือด เขากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ก่อนจะหมดสติล้มลงไป

หลางฉ่างกับซูหลีแทบจะยื่นมือออกไปพร้อมกัน พวกเขาประคองฮ่องเต้ที่ล้มลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง เขามองนาง นางก็มองเขา เพียงแต่ไม่นานสายตาของทั้งสองคนก็หันไปมองใบหน้าฮ่องเต้พร้อมกัน

ทุกคนแตกตื่น ฮองเฮารีบตะโกนสั่ง “เรียกหมอหลวงมาเร็ว!”

ซูหลีวางมือลงบนชีพจรของฮ่องเต้ ค้นพบว่าเลือดลมของเขาติดขัด ชีพจรหัวใจอุดตัน เขาเคยได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงดังที่นางคาดไว้จริงๆ คงเป็นเพราะตอนนั้นไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ต่อมามีเรื่องกลัดกลุ้มไม่เสื่อมคลาย จึงสะสมกลายเป็นโรคเรื้อรัง และมีอาการย่ำแย่ดังเช่นในตอนนี้ นางถ่ายเทกำลังภายในไปให้เขา เพื่อช่วยให้เลือดลมเดินคล่องทันที

หลางฉ่างถามด้วยความกังวล “เป็นอย่างไรบ้าง?”

ซูหลีขมวดคิ้วกล่าวว่า “ไม่ดีนัก ประคองเข้าไปในตำหนักก่อนเถิด”

ทุกคนล้อมวงเข้ามา ช่วยกันประคองฮ่องเต้เข้าไปในตำหนัก ฮ่องเต้กลับพ่นลมหายใจอย่างอิดโรย จับมือนางแน่น แล้วถามด้วยความร้อนใจ “บอกข้ามา…ปีนี้เจ้าอายุเท่าใดแล้ว? เจ้าเกิดเดือนใด?”

หลางฉ่างกล่าวด้วยความกังวล “เสด็จพ่อ! เข้าไปข้างในก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้พยายามขัดขืนและดันทุกคนออก เขาแทบยืนไม่อยู่ แต่กลับยังคงจ้องหน้านางนิ่งๆ คล้ายตั้งตารอคำตอบจากนาง

สายตาของซูหลีสับสน นางเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันอายุสิบเก้าปี เกิดเดือนห้าปีซวีอู่เพคะ”

ฮ่องเต้ถามเสียงดังด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน “มารดาเจ้าได้มอบอะไรไว้ให้เจ้าหรือไม่?”

ซูหลีลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะล้วงแหวนหยกขาวออกมาจากอกเสื้อ

ฮ่องเต้ยื่นมือออกไป แหวนหยกขาวสองวง รูปร่างลักษณะมันเงาวาววับเหมือนกัน ลวดลายบุปผา และร่องรอยแห่งกาลเวลาที่คล้ายกันทุกประการ เห็นได้ชัดว่าเกิดมาคู่กัน ลวดลายดอกบัวสามมิติที่ถูกสลักไว้ด้านบนของแหวนเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้อย่างพอดิบพอดี สิ่งนี้ก็คือของแทนใจของพวกเขาในอดีตนั่นเอง

เขาเงยหน้าอย่างตื่นตะลึง ดวงตารื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี เขากุมไหล่ซูหลีด้วยความซาบซึ้ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าเป็นลูกของข้า…ลูกของข้ากับซีซี!”

ซูหลีมองใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความปลื้มปีติของเขา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ

คำตอบที่ตามหามานาน ในที่สุดก็ได้รับการยืนยันในวินาทีนี้แล้ว หัวใจของนางกลับไม่ได้ยินดีและซาบซึ้งเหมือนที่คาดไว้ ความรู้สึกนับร้อยนับพันประดังประเดเข้ามา ครั้นนึกถึงเรื่องที่เสด็จแม่หักหลังบ้านเมืองเพื่อความรัก โดยไม่คำนึงผลที่จะตามมา สุดท้ายกลับไม่ได้รับการตอบรับจากคนรัก ต้องจมอยู่กับความสิ้นหวังทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ พรากจากชั่วนิรันดร์ นางผ่านความทุกข์ที่สุดในชีวิตมนุษย์มาหมดแล้ว จะต้องรู้สึกทรมานถึงเพียงใดกัน!

ครั้นคิดมาถึงตรงนี้ ซูหลีก็ก้าวถอยหลังโดยจิตใต้สำนึก พร้อมกับสะบัดมือเขาออก

ฮ่องเต้ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สายตาเจ็บปวด ถามด้วยน้ำเสียงรวดร้าว “เจ้า…ต้องเกลียดข้ามากแน่ๆ…”

ซูหลีเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เกลียดหรือ? หม่อมฉันไม่รู้ เสด็จแม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องชาติกำเนิดของหม่อมฉันเลย กระทั่งก่อนที่ท่านน้าจิ้งหวั่นจะตาย หม่อมฉันถึงได้รู้ว่าบิดาบังเกิดเกล้าของหม่อมฉันคือผู้อื่น”

ฮ่องเต้หายใจหอบอย่างแรง เขาเซถอยหลัง เจ็บปวดจนพูดไม่ออก

ซูหลีมองเขานิ่งๆ “ท่านน้าจิ้งหวั่นบอกว่า หลังจากที่เสด็จแม่หนีออกจากแคว้นเปี้ยนไป นางเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้พระองค์ แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับ หากพระองค์คือคนที่นางห่วงหามาทั้งชีวิต…เช่นนั้นช่วยบอกหม่อมฉันที ว่าเหตุใดพระองค์ต้องทอดทิ้งนางด้วย?”

ฮ่องเต้แหงนหน้ามองฟ้า ทอดถอนหายใจ ก่อนที่เขาจะหันไปมองหลางฉ่างแล้วบอกว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตอนเจ้าเด็กๆ เจ้าแอบเอากล่องนกเพลิงสยายปีกในตำหนักบรรทมของข้ามาเล่น แล้วถูกข้าลงโทษให้คัดพระคัมภีร์อยู่สามวัน?”

หลางฉ่างพยักหน้าตอบ “ย่อมจำได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ดี เจ้าไปเอามันมา”

หลางฉ่างมองซูหลี ก่อนจะรับคำแล้วออกไป

ยามนี้หมอหลวงมาถึงแล้ว ฮองเฮารีบประคองฮ่องเต้เข้าไปพักผ่อนในตำหนัก ฮ่องเต้มองซูหลีแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าอยากรู้เรื่องในปีนั้น ก็จงตามข้ามา”

คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในตำหนักอี๋หวา หมอหลวงตรวจชีพจร และใช้ยารักษาฮ่องเต้ทันที

ซูหลียืนอยู่ที่เดิม คล้ายยังคงลังเล

เจียงหยวนเดินมาหานาง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เขาบาดเจ็บหนักมาก ถึงแม้รักษามานานหลายปี แต่ชี่เดิมได้รับบาดเจ็บหนัก เกรงว่า…”

ซูหลีหันหน้าไปมองเขาทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

“ฮ่องเต้แคว้นติ้งอายุมากแล้ว อีกทั้งร่างกายยังได้รับบาดเจ็บหนัก บวกกับองค์รัชทายาทหายตัวไป ทำให้กลัดกลุ้มติดต่อกันหลายวัน ยามนี้ได้บาดเจ็บไปจนถึงดวงจิตแล้ว…ถึงแม้จะรักษาหาย แต่ก็เกรงว่าจะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”

ซูหลีหน้าเปลี่ยนสี “เจ้าคิดว่าเขา…ยังเหลือเวลาอีกเท่าไร?”

สายตาของเจียงหยวนหม่นหมอง “ข้าน้อยไม่แน่ใจ อย่างมากก็สามปีห้าปี อย่างน้อยก็หนึ่งปีครึ่ง…”

หน้าอกของซูหลีกระเพื่อมขึ้นลง นางมองประตูตำหนักที่อยู่ไม่ไกล ใบหน้าสับสนไม่แน่ใจ ผ่านไปไม่นานหลางฉ่างก็ย้อนกลับมา ในมือเขามีกล่องผ้าต่วนขนาดความกว้างเท่าฝ่ามือ ความยาวครึ่งฉื่ออยู่หนึ่งกล่อง บนกล่องสลักลวดลายมังกรและนกเพลิงสยายปีกเอาไว้ เพราะถูกผู้เป็นเจ้าของลูบคลำอยู่บ่อยๆ ลายนกเพลิงบนกล่องแทบจะราบเรียบไปกับผิวกล่องแล้ว เหลือให้เห็นเพียงร่องรอยที่เคยถูกสลักเท่านั้น

หลางฉ่างเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ซูหลี เจ้าตรากตรำเดินทางมาถึงที่นี่ ก็เพียงเพื่อคำตอบเดียวมิใช่หรือ? ไปหาเสด็จพ่อกับข้าเถิด!”

หัวใจของซูหลีสั่นสะท้านเล็กน้อย จ้องแผ่นหลังของเขาที่กำลังสาวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า นางสูดหายใจลึกๆ แล้วเดินตามไป

บรรยากาศในห้องเล็กๆ ซึ่งอยู่ภายในตำหนักเงียบสงัด ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดกำลังเหม่อลอย ครั้นเห็นกล่องผ้าต่วน สายตาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยน เขาค่อยๆ เปิดฝากล่อง ผ้าไหมสีเหลืองอ่อนผืนหนึ่งถูกพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมอย่างเป็นระเบียบ และวางไว้กลางกล่อง เขาหยิบจดหมายนั้นแล้วยื่นให้นาง เป็นเชิงบอกให้นางเปิดอ่านดู

ซูหลีรับไปด้วยมือที่สั่นเทา นางค่อยๆ เปิดออก อักษรขนาดเล็กลายมืองดงามปรากฏสู่สายตา ขอบตานางร้อนผ่าว เนื้อหาในจดหมายมีใจความว่า :

อาเจี่ยว:

เห็นจดหมายก็เหมือนเห็นตัวข้า

นับตั้งแต่ที่จากกันที่หุบเขา จนถึงยามนี้ก็สองเดือนกว่าแล้ว ท่านทราบแล้วว่าข้าเป็นธิดาเทพแห่งแคว้นเปี้ยน ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้แคว้นเปี้ยนให้มาสังหารบิดาท่าน โชคดีที่ทำไม่สำเร็จ จึงเลี่ยงความผิดพลาดครั้งใหญ่ได้ หวังว่าท่านจะให้อภัยข้าได้

ยังคงจำได้ดีว่าในวันนั้นสายตาของท่านตกตะลึงและเจ็บปวดเพียงใด ข้าเองก็ปวดใจเช่นกัน ท่านกับข้าได้พบกันเพราะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่เคยเคลือบแคลงสงสัย ข้ารักท่านอย่างเปิดเผย มอบให้ทั้งกายใจ ท่านเคยสาบานว่าจะไม่ทอดทิ้งข้าตลอดชีวิตนี้ คำสาบานนั้นยังคงดังก้องในหู จนใจที่สวรรค์กลั่นแกล้ง ท่านคือองค์รัชทายาทแคว้นติ้งที่ได้รับพระบัญชาให้มาจับตัวนักฆ่า ส่วนข้าคือธิดาเทพที่ลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นติ้ง…”

ฐานะแตกต่าง สุดท้ายก็ต้องพลัดพราก วันนั้นที่หุบเขา ข้าตั้งใจจะตัดขาดโชคชะตาที่มีร่วมกัน และตัดสินใจจะไม่พบท่านอีกตลอดชีวิต แต่ทว่าเมื่อกลับมาถึงลัทธิ กลับพบว่าในครรภ์มีเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านอยู่!

…………………………

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท