EP.22 พิการแต่กำเนิด 2
“อาอวี่ พวกเราออกเดินทางเถอะ!”
ฉู่เฟิงมาเคาะประตูห้องหลินมู่อวี่แต่เช้า พอเด็กหนุ่มเปิดประตูออกมา ฉู่เฟิงก็รีบจูงมือหลินมู่อวี่มาที่ลานบ้านราวกับตัวเองเป็นเด็กน้อย วันนี้สำหรับฉู่เฟิงแล้วเป็นเหมือนวันที่เขาได้เกิดใหม่ เขาไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว
มีวิหารสงครามศักดิ์สิทธิ์เพียงแห่งเดียวในเมืองหยินซาน ซึ่งผู้คนเรียกกันสั้นๆ ว่า “วิหารศักด์สิทธิ์” ที่นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งแทบทุกคนต่างก็เดินออกมาจากวิหารแห่งนี้
ตอนที่ฉู่เฟิงพาหลินมู่อวี่มาถึงวิหาร มีผู้ทดสอบเฝ้าอยู่ที่นั่นเพียงคนเดียว เขาเป็นชายอายุราวสามสิบ ดวงตาหรี่เล็กเหมือนหนู ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนดีสักนิด เขาตบโต๊ะแล้วพูด “ต้องการทดสอบระดับพลังใช่ไหม หนึ่งเหรียญเงิน”
ฉู่เฟิงยื่นเหรียญเงินหนึ่งเหรียญให้ทันทีแล้วหันไปพูดกับหลินมู่อวี่ “รีบไปสิ!”
ผู้ทดสอบมองหลินมู่อวี่ แต่เขากลับพบว่าแทบจะไม่มีพลังใดๆ อยู่ในร่างของเด็กหนุ่มเลย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังของวิญญาณยุทธ์อีกด้วยด้วย นี่มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย นอกเสียจากว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่มีพลังใดๆ อยู่เลย ผู้ทดสอบเลื่อนลูกแก้วคริสตัลไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “วางมือเจ้าลงบนนี้ รวมพลังทั้งหมดที่มีไปที่ลูกแก้ววัดระดับ”
หลินมู่อวี่วางมือลงบนลูกแก้วอย่างว่าง่าย จากนั้นเคลื่อนลมปราณภายในร่างให้ไปรวมกันที่ฝ่ามือ คล้ายกับการใช้ฝ่ามือพิสุทธิ์ ลูกแก้ววัดระดับสว่างจ้า เครื่องวัดระดับที่อยู่ด้านข้างก็ขยับไม่หยุด
“เป็นไปไม่ได้…ค่าพลังรุนแรงอะไรแบบนี้” ผู้ทดสอบตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่เรื่องดีๆ มักไม่ยืนยาว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น แสงจากลูกแก้ววัดระดับค่อยๆ หรี่หายไป บนเครื่องวัดระดับไม่มีแม้แต่ขีดเดียว
“ฮ่าๆๆๆๆๆ…น่าขันเสียจริง สวรรค์ดันเล่นตลกแบบนี้เสียได้ ฮ่าๆๆๆๆ…” จู่ๆ ผู้ทดสอบเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ฉู่เฟิงจึงถามด้วยด้วยความประหลาดใจ “มันเกิดอะไรขึ้นหรือท่าน”
ผู้ทดสอบกวาดตามองหลินมู่อวี่ “พลังภายในร่างของเด็กคนนี้รุนแรงอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าข้าไม่เคยพบมาก่อนในชีวิตนี้ แต่น่าเสียดาย ร่างกายของเขาน่าจะ ‘พิการ’ ตามตำนานว่าไว้”
“พิการงั้นหรือ” ฉู่เฟิงอึ้งไปอีกครั้ง
ผู้ทดสอบยังคงหัวเราะ “อันคำว่าพิการ นั้นหมายถึงพิการด้านการฝึกยุทธ์โดยกำเนิด ชีพจรของเขาอุดตันแต่กำเนิด ดังนั้นจึงไม่อาจโคจรลมปราณได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งย่อมมิอาจเรียนรู้หรือใช้ทักษะการต่อสู้ได้ น่าเสียดายจริงๆ ท่านผู้เฒ่าพาเขากลับไปเถอะ เด็กนี่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์”
หลินมู่อวี่รู้สึกเหมือนตกลงสู่ก้นเหว ตนเองดันลมปราณ “พิการ” สวรรค์มิล้อเขาเล่นเกินไปหน่อยหรือ
“อาอวี่ปู่ขอโทษ…”
ระหว่างทางกลับ ฉู่เฟิงปลอบใจหลินมู่อวี่ไปตลอดทาง แต่หลินมู่อวี่กลับพูดขึ้นว่า “ท่านปู่ ข้าไม่เป็นไร ถึงจะฝึกยุทธ์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็ปรุงโอสถได้ มันก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ชายในชุดเกราะหนังสีแดงเพลิงมองไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ เขาถอดถุงมือวางบนโต๊ะ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียว “พิการงั้นหรือ…หลายพันปีแล้วกระมังที่ไม่มีพวกประหลาดแบบนี้โผล่ออกมา พิการ..ฮ่าๆ ๆ…”
ข้างชายคนนั้นมีทหารคนหนึ่งที่กำลังยืนรอพร้อมกับเครื่องแต่งกายชุดใหม่ในมือ “ท่านแม่ทัพนิ่ง งานประลองตำรับโอสถจะเริ่มแล้วขอรับ เชิญท่านเปลี่ยนอาภรณ์ ท่านเจ้าเมืองรอท่านอยู่ที่จวนเจ้าเมืองแล้ว อีกสักครู่ต้องไปต้อนรับผู้แทนพิเศษ”
“ตกลง!”
งานประลองตำรับโอสถจัดว่าเป็นงานใหญ่ของเมืองหยินซาน งานปีนี้ถึงกับได้รับความสนใจจากเมืองหลวง จักรพรรดิส่งผู้แทนมาที่เมืองด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าจักรวรรดิให้ความสำคัญกับการประลองนี้มาก
เหล่าศิษย์ของร้านโอสถไป่หลิงต่างตื่นเต้นยินดี พวกเขาเตรียมโอสถไว้สำหรับเข้าแข่งขันทั้งหมดสี่ชนิด หนึ่งในนั้นคือโอสถพลังเทวะที่ฉู่เฟิงเป็นผู้ปรุง โอสถผิวศิลาของหลินมู่อวี่ โอสถของฉู่เหยาและหวังหยิ่ง ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือโอสถพลังเทวะของฉู่เฟิง เนื่องจากเป็นโอสถระดับห้า จึงน่าจะมีโอกาสได้รับเลือกให้เป็นอันดับต้นๆ
งานประลองตำรับโอสถจัดขึ้นที่ลานกว้างหน้าจวนเจ้าเมือง ตอนที่หลินมู่อวี่ ฉู่เหยาและคนอื่นๆ มาถึง คนจากร้านโอสถอื่นๆ อีกนับร้อยมาถึงกันก่อนแล้ว เช่นเดียวกับประชาชนนับไม่ถ้วนที่มาเยี่ยมชม แม้เมืองหยินซานจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่เพราะงานในวันนี้จึงคึกคักเป็นพิเศษ
“ข้าได้ยินว่าวันนี้จะมีผู้แทนขององค์จักรพรรดิปรากฏตัว ไม่รู้ว่าเป็นใคร ต้องเป็นขุนนางใหญ่แน่ๆ” ชาวบ้านแสดงความคิดเห็น
“แหงล่ะ ไม่เช่นนั้นจะเป็นตัวแทนองค์จักรพรรดิได้อย่างไรเล่า”
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของประชาชน ขบวนทหารก็ค่อยๆ เดินทางมาถึง นำโดยเหล่าทหารม้าในชุดเกราะเต็มยศ ตามด้วยองครักษ์ถือดาบ ปิดท้ายด้วยรถม้าที่ลากด้วยม้าหกตัว ฉู่เหยารู้สึกประหลาดใจทันที “ม้าหกตัวเชียวรึ ตอนที่องค์จักรพรรดิเสร็จ รถม้าของพระองค์ยังใช้ม้าแค่เก้าตัว คราวนี้เป็นใครกันนะ”
หลินมู่อวี่เห็นธงที่ปักอยู่ข้างรถม้ามีอักษรคำว่า “ถัง”อยู่บนธงผืนนั้น
“ถัง?” หวังหยิ่งเองก็ประหลาดใจเช่นกัน “ม้าหกตัว อีกทั้งยังมาจากตระกูลถัง คงไม่ใช่ถังหลัน ชางหลันกงหรอกนะ”
ฉู่เฟิงรีบเอ็ดใส่ทันที “เจ้าอย่าพูดจาซี้ซั้วหวังหยิ่ง นามของชางหลันกงใช่ชื่อเจ้าเรียกได้อย่างนั้นรึ”
หวังหยิ่งก้มหน้างุด “อาจารย์ ข้าขอโทษ…”
ในตอนนี้เอง รถม้าค่อยๆ มาหยุดลงที่หน้าจวนท่านเจ้าเมือง จากนั้นผ้าม่านถูกเปิดออก เด็กสาวในชุดกระโปรงปรากฏขึ้นในสายตาทุกคน กระโปรงที่นางใส่ดูงดงามโดดเด่นอย่างยิ่ง ทั้งยังปักเย็บด้วยลวดลายวิจิตร แค่มองก็รู้ว่าถูกตัดเย็บขึ้นมาอย่างดี เรียวขาขาวดุจหยกนวลเนียนไร้ตำหนิใต้กระโปรง ราวกับเทพธิดาลงมาโปรดแดนมนุษย์ งดงามจนทำให้ผู้คนลืมหายใจ
ขณะที่ผู้คนกำลังตะลึงอยู่นั้น เด็กสาวก็กระโดดลงจากรถม้าเรียบร้อยแล้ว รองเท้าหุ้มข้องามประณีตเหยียบอยู่บนอิฐกำแพงเมือง เด็กสาวหัวเราะคิกคัก “ในที่สุดก็ถึงเสียที นั่งจนก้นบานหมดแล้วเนี่ย…”
ทุกคนเกือบหน้าคะมำ ใครจะไปคิดว่าเด็กสาวที่มีใบหน้าดุจเทพธิดาจะพูดจาซุกซนแบบนี้ออกมาได้
ฮว๋าเทียน เจ้าเมืองหยินซานเดินนำเหล่าขุนนางเข้ามาคุกเข่าคารวะกับพื้น
“กระหม่อมฮว๋าเทียน คารวะองค์หญิงซี!”