EP.123 โอรสคนรองของจี้หนิงอ๋อง
“ท่านอ๋องน้อย?”
หลินมู่อวี่หันหลังกลับ ยิ้มพูด “ข้ารู้จักพี่ฉินเหลยพี่ชายของท่าน พวกเรารับใช้วิหารศักดิ์สิทธิ์ ต่อไปยังมีโอกาสประลองฝีมือ ไม่ต้องรีบร้อนตอนนี้ก็ได้กระมัง”
ฉินเหยียนแย้มพระโอษฐ์ด้วยพระพักตร์ที่หล่อเหลา “ข้ารู้ว่าท่านเป็นสหายของพี่ชายข้า วางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ ข้าเพียงแค่อยากจะทดสอบดูสักหน่อย ว่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์นี้ใครเป็นผู้ที่มีการป้องกันแข็งแกร่งที่สุด”
“การป้องกันแข็งแกร่งที่สุดหรือ”
“ใช่แล้ว” พระพักตร์ของฉินเหยียนไม่เหมือนกับฉินเหลย ฉินเหยียนทรงสง่างามกว่านิดหน่อย ทรงถือทวนยาวไว้ในมือ หลังจากเปล่งพระสุรเสียงออกมาเบาๆ พลังงานที่มีรูปร่างเป็นมังกรสีทองตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นปกคลุมร่างของเขา มันค่อยๆ ก่อตัวอยู่บนชุดศึกของวิหาร เขาแย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสขึ้น
“ท่านก็เห็นแล้ว ในฐานะคนของตระกูลฉิน ถึงแม้จะไม่สามารถปลุกโซ่เทวะที่มีสายเลือดของมังกรที่แท้จริงได้ แต่ก็สามารถปลุกเกราะเกล็ดมังกรฝั่งตระกูลพระมารดาได้ เกราะเกล็ดมังกรเป็นวิญญาณยุทธ์สายอาวุธป้องกันระดับสาม ได้รับการขนานนามว่าเป็นวิญญาณยุทธ์ป้องกันอันดับหนึ่งในใต้หล้า นี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้าต้องการประลองกับท่านอย่างไรเล่า”
“เช่นนั้นท่านอ๋องน้อยคิดจะประลองอย่างไร” หลินมู่อวี่ถามยิ้มๆ
พระพักตร์ของฉินเหยียนยังทรงพระเยาว์ ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเกาพระเศียร “แบบนี้แล้วกัน ภายในหนึ่งก้านธูป พวกเราโจมตีได้ทั้งคู่ ใครทำลายวิญญาณยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามได้ก่อน ถือว่าชนะไป เป็นอย่างไร”
หลินมู่อวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ในใจมีแผนการไว้แล้ว “อือ ตกลงพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินเหยียนยกพระพาหาขึ้นทันที ก่อนตรัสขึ้น “ผู้ดูแลเกอหยาง ขอเชิญท่านมาเป็นพยานให้กับพวกข้าด้วยขอรับ แล้วก็…ท่านจางเหว่ย เชิญท่านมาตัดสินแพ้ชนะให้ข้ากับพี่หลินจื้อด้วยขอรับ”
เกอหยางมีสีหน้าจนใจ “ท่านอ๋องน้อย นี่…นี่ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบของวิหาร ห้ามไม่ให้มีการต่อสู้ส่วนตัวกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกข้าแค่จะดูว่าใครแพ้ชนะ มิได้จะฆ่ากัน ผู้ดูแลเกอหยางวางใจได้!”
จางเหว่ยกลับประสานหมัดยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มกล่าว “ท่านหลินจื้อ ท่านต้องต่อสู้เพื่อเหล่าผู้ช่วยฝึกของวิหารแล้วล่ะ!”
ในตอนนี้ มีคนจำนวนมากได้ยินข่าวทยอยกันเข้ามา พริบตาเดียวก็มีคนมารายล้อมอยู่ด้านข้างยี่สิบกว่าคน ส่วนเกอหยางก็จุดธูปขึ้น แล้วกล่าวขึ้น “ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เมื่อธูปหมดดอกจะต้องหยุดต่อสู้ทันที”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่กับฉินเหยียนประสานหมัดคำนับกันและกันอยู่ห่างๆ วินาทีต่อมา ฉินเหยียนก็พลันสะบัดทวนอสรพิษเพลิงในพระหัตถ์ ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟปกคลุมขึ้นบนทวน เขาเป็นพระอนุชาของฉินเหลย ความสามารถของฉินเหลยนั้น หลินมู่อวี่ทั้งเคารพและเกรงกลัว ฉินเหยียนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ฝีมือก็คงไม่ด้อยไปกว่าพระเชษฐานัก มิเช่นนั้นคงจะไม่ท้าสู้กับตนหรอก
“ชิ้ง!”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่เหลียวหยวนพร้อมปล่อยปราณยุทธ์ออกมา กระบี่ยาวมีเปลวไฟทะลักออกมาโดยพลัน เขาไม่รอช้า พุ่งออกไปทันที ใช้เพลงกระบี่วายุฟันติดต่อกันสามครั้งจนเกิดประกายฟ้าแลบแปลบปลาบ
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง…”
เกิดเสียงมังกรคำรามดังขึ้น เกราะเกล็ดมังกรที่อยู่รอบกายฉินเหยียนแสดงอาการตอบสนอง กระบี่เหลียวหยวนโจมตีสามกระบี่ติดต่อกัน ยังไม่สามารถทำอะไรเกราะเกล็ดมังกรได้แม้แต่น้อยตามที่คาดไว้ แต่กลับทำให้แขนของหลินมู่อวี่ชาไปทั้งแถบแทน แถมทุกกระบี่ที่ฟันลงไปนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังฟันหินยักษ์อายุกว่าหมื่นปี เกราะเกล็ดมังกรได้รับการขนานนามว่าเป็นวิญญาณยุทธ์สายป้องกันอันดับหนึ่งในใต้หล้า ช่างสมคำร่ำลือยิ่งนัก
“ไม่เป็นไร ข้ายังไหว ไม่ต้องออมแรง!”
ฉินเหยียนทรงพระสรวล สะบัดทวนเหล็ก วิญญาณสัตว์อสรพิษเพลิงตัวหนึ่งก็ออกมารัดอยู่บนกำแพงน้ำเต้าของหลินมู่อวี่ ทันใดนั้นมันก็กระแทกจนชั้นนอกสุดของกระดองเต่าทมิฬเกิดรอยร้าวเป็นทางเล็กๆ แต่ด้วยพลังฟื้นฟู รอยร้าวเล็กๆ นี้ก็ซ่อมแซมตัวเองจนสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ฉินเหยียนชำนาญด้านกลยุทธ์การป้องกัน ความสามารถด้านการโจมตีนั้นอยู่ในระดับธรรมดา อย่างน้อยก็เทียบไม่ได้กับกลยุทธ์ที่สละพลังการป้องกันทั้งหมดทิ้งเพื่อเข้าโจมตีของจ้าวจิ้นได้
“เป็นน้ำเต้าที่ยอดเยี่ยมนัก น่าสนใจ!”
ฉินเหยียนหน้าแดงจัด เจ้าเด็กนี่เป็นพวกคลั่งยุทธ์ตามคาด
“ตึ้ง” ทวนอสรพิษเพลิงโจมตีอย่างหนักหน่วงจนหลินมู่อวี่ต้องทะยานถอย กระบี่ก็พลอยหลุดมือไปด้วย ฉินเหยียนรีบฉวยโอกาสนี้ ส่งทวนกระแทกเข้าใส่ด้ามกระบี่เหลียวหยวน หมายจะกระแทกให้กระบี่กระเด็นลอยไป ทว่าในตอนนั้นเองก็มีอสนีบาตผ่าลงมากลางอากาศ ราวกับมือที่ไร้รูปร่างข้างหนึ่งมาคว้ากระบี่เหลียวหยวนเอาไว้แน่น สายอสนีบาตวูบผ่านไป แล้วกระบี่เหลียวหยวนพร้อมด้วยประกายแสงแวววับของอสนีบาตก็พุ่งเข้ามา
“หา?”
ฉินเหยียนไม่ทรงทราบว่าหลินมู่อวี่ใช้ธาตุทั้งสี่ควบคุมกระบี่ได้ รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว สองเท้าดั่งเสาเหล็กปักลงไปกลางแผ่นหิน เกราะเกล็ดมังกรเปล่งรัศมีช่วงโชติ พลังป้องกันของกำแพงศิลาบวกกับเกราะโล่สองอย่างผสานเข้าด้วยกันบนเกราะเกล็ดมังกร ได้ยินเพียงเสียงตู้ม กระบี่เหลียวหยวนก็ดีดตัวออก ส่วนเกราะเกล็ดมังกรก็เกิดรอยแตกเล็กๆ ขึ้นมา
“ท่านหลินจื้อยอดเยี่ยมจริงๆ” ฉินจื่อหลิงกับผู้ช่วยฝึกคนอื่นๆ ตบมือโห่ร้องดีใจกันยกใหญ่
ฉินเหยียนเองก็ทรงตกตะลึง ความอับอายฉีดพุ่งขึ้นพระพักตร์ทันที ทรงสะบัดพระพาหา แล้วพลังโจมตีติดต่อกันของทวนอสรพิษเพลิงก็ถาโถมเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราด หลินมู่อวี่ควบคุมกระบี่เหลียวหยวนให้แหวกอากาศเข้ามาต้านทานเอาไว้ เกิดประกายไฟกระเซ็นออกเป็นสาย กระบวนท่าโจมตีชุดนี้หลินมู่อวี่ใช้กำแพงน้ำเต้าทั้งหมดต้านไว้ การโจมตีของฉินเหยียนนั้นดุเดือดเกินไป หากไม่ต้านเอาไว้คงจะได้รับบาดเจ็บได้โดยง่าย
อีกอย่างฉินเหยียนเป็นอนุชาของฉินเหลย นับว่าเป็นคนกันเอง หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรทำร้ายเขา
พริบตาเดียวธูปก็ใกล้จะหมดดอกแล้ว กระดองเต่าทมิฬของหลินมู่อวี่ถูกแทงจนพรุน ปราการเกล็ดมังกรก็เสียหายไม่น้อย แต่พลังฟื้นฟูของต้นจิ้นหมู่กำลังแปรปราณยุทธ์ให้กลายเป็นชั้นพลังการป้องกันของกระดองเต่าทมิฬกับปราการเกล็ดมังกรไม่หยุด ส่วนพลังทะลวงโจมตีของฉินเหยียนมีขีดจำกัด จึงย่อมหมดทางโจมตีหลินมู่อวี่ได้ต่อ
กลับกัน หลินมู่อวี่ใช้แค่เพียงพิฆาตอสนีบาต ผวาอัสนีคลื่นคลั่ง เพลงกระบี่วายุ และเพลงกระบี่อื่นๆ ตอบโต้ ไม่ได้ใช้แก่นเพลิงมังกร อัคคีบังคับกระบี่ ที่มีอานุภาพสังหารรุนแรง ดังนั้นแม้แต่เกราะโล่ของฉินเหยียนจึงไม่ถูกโจมตีเสียหายแม้แต่น้อย
“ท่านฉินเหยียนสู้เขา!” เหล่าครูฝึกของวิหารที่เพิ่งเข้ามาใหม่จำนวนไม่น้อย ตะโกนให้กำลังใจฉินเหยียนกันเซ็งแซ่ พวกเขากับฉินเหยียนเข้ามาวิหารพร้อมกัน เลยถือว่าตัวเองเป็นคนของจวนจี้หนิงอ๋องด้วย ดังนั้นย่อมไม่อยู่ฝั่งหลินมู่อวี่เป็นธรรมดา
กลับเป็นเกอหยาง จางเหว่ยและคนที่คุ้นเคยกับกระบวนยุทธ์ของหลินมู่อวี่ที่ยิ้มแย้ม เพราะพวกเขามองออกว่า ถึงแม้หลินมู่อวี่จะดูเหมือนตกเป็นรอง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาอ่อนข้อให้ฉินเหยียน เนื่องจากเพลงกระบี่สังหารที่แข็งแกร่งที่สุดที่เอาชนะจ้าวจิ้นได้นั้น ซึ่งก็คือการใช้อัคคีควบคุมกระบี่ เขายังไม่ได้เรียกออกมาใช้ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่า หลินมู่อวี่ยังมีเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งกว่านั้น นั่นก็คือพลังเจ็ดประทีป!
แน่นอนว่า หลินมู่อวี่เองก็ไม่กล้าที่จะใช้พลังเจ็ดประทีปในโลกมนุษย์ตามอำเภอใจ อย่างไรเสียอานุภาพของพลังเจ็ดประทีปนี้ก็น่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินไป อีกอย่าง ราชันย์ปีศาจเจ็ดประทีปมี “ประวัติอันรุ่งโรจน์” เพียงใดกันแน่ ตอนนี้ตัวเขาก็ยังไม่กระจ่างนัก หากเผยพลังเจ็ดประทีปออกมา อาจจะนำพาความตายมาสู่ตัวเองก็เป็นได้
“ธูปหมดดอกแล้ว สิ้นสุดการประลอง!”
เกอหยางประกาศด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย “ชั้นพลังป้องกันของหลินจื้อถูกทำลายมากกว่าฉินเหยียน ดังนั้นการประลองในครั้งนี้ฉินเหยียนเป็นฝ่ายได้เปรียบเล็กน้อย สรุป…ถือว่าเสมอกัน!”
หลินมู่อวี่กระดิกนิ้ว กระบี่เหลียวหยวนก็แหวกอากาศพุ่งคืนสู่ฝัก เขาประสานหมัดกล่าวว่า “ท่านอ๋องน้อย ออมมือแล้ว”
พระพักตร์ของฉินเหยียนแดงขึ้นเล็กน้อย ใครก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปี อายุน้อยกว่ากับฉินอินและถังเสี่ยวซีด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มอายุสิบแปดก็มีพลังขอบเขตนภาแล้ว น่ากลัวเพียงใดกัน
“พี่หลินจื้อ ความจริงเป็นท่านที่ชนะ ข้ารู้!”
ฉินเหยียนนั้นทรงมีนิสัยที่ซื่อตรงอย่างมาก เขาประสานหมัดคารวะ “ฉินเหยียนอาศัยข้อได้เปรียบของเชื้อสายตระกูล ด้วยเกราะเกล็ดมังกรวิญญาณยุทธ์ระดับสาม สามารถเอาชนะวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าเขียวระดับสิบของท่านได้ เดิมทีก็มิใช่เรื่องที่จะมาภาคภูมิใจอะไร หลังจากนี้ฉินเหยียนจะฝึกยุทธ์ในวิหาร หวังว่าท่านพี่หลินจื้อจะชี้แนะข้าบ้างสักเล็กน้อย!”
หลินมู่อวี่อดที่แอบชื่นชมมิได้ เขายิ้มแย้ม “ท่านอ๋องน้อยเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านยังหนุ่มยังแน่น หากท่านโตเท่าข้า ฝึกยุทธ์อีกสามถึงห้าปี เกรงว่าข้าคงมิใช้คู่ต่อสู้ของท่าน”
ฉินเหยียนได้รับคำชื่นชมเช่นนี้ จึงทรงอดที่จะแย้มพระสรวลอย่างเบิกบานพระทัยมิได้ เขาเกาพระเศียร “ท่านพี่หลินจื้ออย่าเรียกข้าว่าท่านอ๋องน้อยเลย ท่านกับพี่ข้าเป็นสหายกัน ท่านก็ย่อมเป็นสหายกับข้าฉินเหยียนเช่นกัน ท่านเรียกข้าว่าฉินเหยียนก็พอ เรียกแต่ชื่อข้า คนในจวนอ๋องต่างก็เรียกกันเช่นนี้”
“เช่นนั้นก็ได้…”
หลินมู่อวี่ก็มิใช่คนตามแบบแผนอะไรนัก รีบพูดขึ้นทันที “เช่นนั้นต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าฉินเหยียนล่ะนะ กินข้าวกันเถอะ เวลากินข้าวของวิหารไม่รอใคร ไปสายจะไม่มีอะไรเหลือ”
“อือ!”
ฉินเหยียนรีบก้าวตามหลินมู่อวี่ แย้มพระสรวลตรัสถาม “พี่หลินจื้อ เพลงกระบี่ของท่านร้ายกาจถึงเพียงนี้ ร่ำเรียนมาจากผู้ใดหรือ”
หลินมู่อวี่มองสายตาที่เต็มไปด้วยความกระหาย ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคิดจะทำอะไร จึงพูดขึ้น “ท่านอยากจะเรียนวิชาควบคุมกระบี่ใช่หรือไม่ แต่นี่มันยากมาก อีกอย่าง ท่านฝึกการป้องกันเป็นหลัก ข้าว่าท่านน่าจะศึกษาให้มากขึ้นว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถปรับระดับการป้องกันของเกราะเกล็ดมังกรให้สูงขึ้นได้มากกว่า”
“ไม่ ข้าอยากเรียน”
ฉินเหยียนประสานหมัด “ศาสตร์ทั้งหกแห่งการต่อสู้ ประกอบไปด้วยกระบี่ ขี่ม้า ทวน ดาบ ขวาน ธนู มีวิชากระบี่เป็นหลัก ข้าอยากจะเรียนเคล็ดวิชากระบี่มาโดยตลอด แต่อาจารย์ที่เสด็จพ่อเชิญมาส่วนใหญ่มีชื่อเสียงจอมปลอม วิชาควบคุมกระบี่ของพวกเขาอ่อนแอไม่มีพลัง เพียงแค่ถูกแรงปะทะเข้าก็ไร้ทางควบคุมต่อ เมื่อครู่ข้าเห็นแล้วว่า วิชาควบคุมกระบี่ของท่านพี่หลินจื้อนั้นมีพลังที่กล้าแข็ง ได้โปรดสอนข้าด้วยเถอะ…”
“คือว่า…” หลินมู่อวี่ยังคงลังเล เขาเริ่มสอนให้ฉู่เหยาฝึกฝนวิชาควบคุมกระบี่แล้ว หากยังสอนฉินเหยียนเพิ่มอีก จะดูเหมือนเปิดสำนักรับศิษย์แล้ว หากผู้เฒ่ากระบี่รู้เข้าก็จะดูไม่ค่อยดีนัก
เมื่อทรงเห็นหลินมู่อวี่ลังเล ฉินเหยียนจึงรีบตรัสขึ้น “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเตรียมของขวัญชุดใหญ่สำหรับเป็นค่าเล่าเรียนวิชาควบคุมกระบี่ สี่แสนเหรียญทอง เป็นอย่างไร แล้วยังเพิ่ม…ยังเพิ่มหยกงามจากต่างอาณาจักร…ที่เป็นเครื่องบรรณาการอันล้ำค่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนของท่านข่านจากทะเลทรายทางเหนือ เป็นอย่างไร”
หลินมู่อวี่อดที่จะหัวเราะออกมามิได้ “ฉินเหยียน ท่านเป็นน้องชายของพี่ฉินเหลย อย่ามองข้าเป็นคนละโมภเช่นนั้นสิ ก็ได้ ข้าจะสอนวิชาควบคุมกระบี่ขั้นพื้นฐานที่สุดให้แก่ท่าน แต่ข้าสอนให้ได้เพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นอย่าให้ข้าต้องสอนท่านเลย พวกนั้นต้องอาศัยตัวท่านไปเรียนรู้เอง”
ฉินเหยียนดีพระทัยแทบคลั่ง พยักพระพักตร์ แล้วประสานหมัดคารวะทันที “ขอบคุณท่านมากพี่หลินจื้อ!”
เนื่องจากฉินเหยียนเรียกท่านพี่ไม่หยุด ผลก็คือคนในวิหารต่างปากอ้าตาค้างกันเป็นแถบ คาดไม่ถึงว่าท่านอ๋องน้อยของจี้หนิงอ๋องจะนับพี่นับน้องกับคนในวิหาร นี่เท่ากับยิ่งเป็นการยืนยันตำแหน่งอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์แห่งวิหารของหลินมู่อวี่เข้าไปอีก
ช่วงบ่าย หลังจากการฝึกซ้อมตามปกติ หลินมู่อวี่ก็สอนเคล็ดวิชาใช้ใจบังคับกระบี่หนึ่งท่อนให้แก่ฉินเหยียน ให้เขาได้ไปฝึกด้วยตัวเอง ฉินเหยียนกับฉินเหลยนั้นเหมือนกันคือเป็นพวกคลั่งยุทธ์ หลังจากได้รับเคล็ดวิชามาท่อนหนึ่ง เขาก็ศึกษาอยู่ภายในห้องที่เรือนด้านข้างด้วยจิตใจที่แน่วแน่ ด้วยฐานะที่สูงศักดิ์ของเขา จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน
หลินมู่อวี่มีเวลาว่าง จึงออกจากวิหารไปเยี่ยมฉู่เหยาที่สมาพันธ์โอสถ นานแล้วที่ไม่ได้เจอพี่สาวคนนี้ ในใจเขาดูเหมือนจะคิดถึงนางอยู่