EP.150 การเติบโต
เมื่อตกดึก ทหารทั้งห้าสิบนายได้ตั้งที่พักชั่วคราวขึ้นกลางป่าพฤกษาศิลามลาย พวกเขาก่อไฟและทำอาหารกันตามปกติ
“ท่านหลินมู่อวี่ขอรับ!”
เว่ยโฉวผู้ถือกระบี่อยู่ในมือกระโจนเข้ามาหาหลินมู่อวี่พร้อมกล่าวว่า “ข้าพบเห็นบางสิ่งที่ด้านนั้น ท่านจะไปตรวจสอบมันกับข้าไหมขอรับ?”
“อืม!”
หลินมู่อวี่ชักทวนบุปผาแล้วเดินตามหลังเว่ยโฉวไปและได้กลิ่นเหม็นไหม้อย่างรุนแรง ทันใดนั้นพวกเขาพบศพร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่…ศพร่างนั้นสวมชุดเกราะสีดำและมีสัญลักษณ์ดาบคู่สลักอยู่ที่แขน
“คนผู้นี้สวมใส่ชุดเกราะที่มีสัญลักษณ์ดาบคู่ซึ่งเป็นตราประจำสำนักอัศวิน” เว่ยโฉวขมวดคิ้วก่อนกล่าวว่า “เหตุใดเขาถึงเข้ามายังส่วนลึกของป่าล่ามังกรเยี่ยงนี้…รนหาที่ตายชัดๆ ท่านหลินมู่อวี่ขอรับ เขาตายเพราะอะไรกัน?”
หลินมู่อวี่กวาดสายตาสำรวจทั่วร่างของศพ พบว่าส่วนหัวนั้นโดนบดขยี้จนเละ นอกจากนี้มีรอยกรงเล็บบนหน้าอกพร้อมกับหัวใจที่ถูกกินไปจนสิ้น ศพนี้คงถูกทิ้งมาได้สองถึงสามวันแล้ว มันกำลังเริ่มเน่าเปื่อย! “คงจะเป็นฝีมือของพยัคฆ์กระหายโลหิต”
“พยัคฆ์กระหายโลหิตหรือขอรับ!?” เว่ยโฉวตกตะลึงไปชั่วครู่
“อืม…พยัคฆ์กระหายโลหิตมักจะใช้กรงเล็บขยี้ศีรษะของเหยื่อก่อนที่จะกินหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น…รอยไหม้ตามร่างกายบ่งบอกได้ชัดเจนว่านี่จะต้องเป็นฝีมือของพยัคฆ์กระหายโลหิต”
หลังจากนั้นหลินมู่อวี่ได้ขยี้จมูกทันที “ฝังศพร่างนี้เสีย คืนนี้เราจะพักผ่อนกันให้เต็มที่ แล้ววันรุ่งขึ้นเราจะออกล่าพยัคฆ์กระหายโลหิต! มันคงยังวนเวียนอยู่แถวนี้เป็นแน่”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
ราตรีผันผ่าน…สุริยันสาดแสง แล้ววันใหม่เริ่มต้นขึ้น
หลินมู่อวี่จัดแจงทหารสิบนายให้เฝ้าค่ายที่พัก และอีกสี่สิบนายเข้าป่าไปกับเขา ทันใดนั้นเว่ยโฉวที่เดินอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยถามขึ้น “ท่านแม่ทัพ! เราจะแกะรอยพยัคฆ์กระหายโลหิตได้เยี่ยงไรหรือขอรับ?”
“ข้าไม่ได้แกะรอย ทว่าข้าจะหลอกล่อมันออกมา”
“หลอกล่อด้วยสิ่งใดหรือขอรับ?” เว่ยโฉวถามอย่างตกตะลึง
หลินมู่อวี่ยิ้มบางๆ ก่อนที่จะชักดาบเสียงปีศาจออกมาจากเอว แล้วแตะมันลงไปที่แขนของตนเบาๆ จากนั้นเลือดก็ค่อยๆ ไหลออกมา หลินมู่อวี่ยิ้มและกล่าวว่า “พยัคฆ์กระหายโลหิตมีต่อมรับรู้กลิ่นที่เฉียบคม มันสามารถได้กลิ่นเลือดสดๆ ของมนุษย์จากระยะไกลถึงสิบลี้ได้”
“ท่านแม่ทัพ!!”
เว่ยโฉวหรี่ตาลง “หากเราต้องสละเลือดใครสักคน เหตุใดจึงไม่ใช้เลือดของข้า? เลือดของท่านหลินมู่อวี่มีค่าเกินกว่าจะมาใช้เพื่อการนี้นะขอรับ”
“มิต้องกังวล…ข้าชินแล้ว”
หลินมู่อวี่ระลึกถึงเมื่อครั้งที่เขาและฉู่เหยาถูกใช้เป็นเหยื่อล่อ เขาเสียเลือดมากจนเกือบสิ้นชีพ เมื่อมองกลับมายังปัจจุบัน…เขาไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว…
“โฮก!” เสียงคำรามอย่างดุร้ายดังก้องมาแต่ไกล
“แปรทัพเตรียมพร้อมรบ!”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่ออกมาและใช้ยาสมานแผลที่แขนทันที เลือดหยุดไหลแล้ว การหลอกล่อของหลินมู่อวี่นั้นสำเร็จ เพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีอสูรตนนั้นก็ติดกับ มันคงอาศัยอยู่ใกล้ๆ นี้เป็นแน่
อุณหภูมิโดยรอบร้อนขึ้นทันที นั่นแปลได้ว่าอสูรพยัคฆ์กระหายโลหิตใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทักษะชีพจรวิญญาณของหลินมู่อวี่สามารถตรวจจับได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่มาจากอสูรตัวนั้น หลินมู่อวี่หันไปหาเหล่าทหารและพูดว่า “มันอยู่ตรงนั้น! ห้ามผู้ใดเคลื่อนไหว! ข้าจะจัดการมันเอง และเมื่อใดที่ข้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะส่งเสียงเรียกเอง”
ทหารทุกนายพยักหน้ารับ เหล่าองครักษ์รักษาพระองค์มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที พวกเขาไม่เคยรับมือกับพยัคฆ์กระหายโลหิตมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงอสูรวิญญาณตัวอื่นที่มีอายุกว่าหลายพันปีเลย สำหรับพวกเขา…สัตว์วิญญาณตัวนี้น่าสะพรึงกลัวราวกับยมทูตแห่งความตาย!
“แซ่ก แซ่ก แกร๊ก…” เสียงกิ่งไม้แห้งหักดังขึ้น ทันใดนั้นอสูรร่างยักษ์ได้ปรากฏกาย! เมื่อหลินมู่อวี่เห็นอสูรตนนี้ เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เพราะมันไม่ได้ดูคล้ายคลึงกับพยัคฆ์กระหายโลหิตอายุสี่พันปีที่เขาเคยพบเห็นที่ป่าสัตตะดารา! ขนของอสูรด้านหน้าเขานี้มีสีเข้มกว่า บนหน้าผากของมันมีเส้นสีทองห้าเส้นและเส้นสีเงินเจ็ดเส้น! บ่งบอกได้ว่าพยัคฆ์กระหายโลหิตตัวนี้อายุมากกว่าห้าพันเจ็ดร้อยปีแล้ว!
“ท่านเง็กเซงฮ่องเต้…โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับข้าเยี่ยงนี้…”
หลินมู่อวี่บ่นอยู่ในใจ แม้จะอยู่ขอบเขตนภาระดับที่หนึ่ง ทว่าสัตว์วิญญาณอายุกว่าห้าพันเจ็ดร้อยปีตัวนี้มันแกร่งกล้าเกินความสามารถของหลินมู่อวี่ที่จะปราบมันได้!
หลินมู่อวี่หยิบและกลืนโอสถผิวศิลาเข้าไป จากนั้นก็ดื่มโอสถเพิ่มพลังระดับห้า เขารู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของแขนราวๆ สิบเปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์ของโอสถระดับต่ำไม่ชัดเจนนัก มันเหมือนกับไอซิ่งที่เอาไว้ตกแต่งหน้าเค้กเท่านั้น นี่คงเป็นสาเหตุที่เหล่ยหง ชวีฉู่ และเหล่าผู้ชำนาญการขอบเขตปราชญ์ไม่ใช้โอสถใดๆ เลย เมื่อผู้ใช้โอสถวิเศษนี้แข็งแกร่งมากเท่าใด…ผลลัพธ์ของมันก็จะแย่ลงเท่านั้น เนื่องจากประสิทธิภาพของโอสถขึ้นอยู่กับการดึงสมรรถภาพของคนๆ หนึ่งออกมา ส่วนผู้ที่แข็งแกร่งอยู่ก่อนแล้วนั้นโอสถจะไม่สามารถดึงสมรรถภาพของตัวตนจริงๆ ของคนเหล่านั้นออกมาได้มากนัก จึงทำให้มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างอ่อนลงกว่าที่ควรจะเป็น
“ท่านหลินมู่อวี่โปรดระวังตัวนะขอรับ! มันเป็นถึงพยัคฆ์กระหายโลหิตอายุกว่าห้าพันเจ็ดร้อยปี!” เว่ยโฉวตะโกนขึ้นอย่างละล่ำละลัก
หลินมู่อวี่พยักหน้า “เจ้าห้ามโจมตีจนกว่าข้าจะสั่ง! ห้ามเข้าใกล้พยัคฆ์กระหายโลหิต! และถ้าข้าสั่งให้โจมตี พวกเจ้าควรใช้ลูกธนูยิงมันจากระยะไกลเท่านั้น!
“ขอรับ!”
‘โฮก!’
พยัคฆ์กระหายโลหิตส่งเสียงร้องคำรามยาวอย่างจองหอง คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับมันมานาน…มิเช่นนั้นมันคงไม่แผ่รังสีราชันเยี่ยงนี้ พยัคฆ์กระหายโลหิตกระโจนไปด้านหน้าหวังจะตะปบเข้าที่ศีรษะของหลินมู่อวี่และทำเขาให้ตายภายในครั้งเดียว
น่าเสียดายที่หลินมู่อวี่ในตอนนี้แข็งแกร่งและรวดเร็วกว่าเดิมมาก ทันใดนั้นเขาล้มตัวลงที่พื้นอย่างฉับพลันเพื่อหลบการโจมตีของพยัคฆ์กระหายโลหิต…ขณะเดียวกันนั้นหลินมู่อวี่ก็กลิ้งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับชักกระบี่เหลียวหยวนฟันเข้าไปที่กลางลำตัวของมันอย่างแรง
‘ฉัวะ! ฟู่ว…”
ทันใดนั้นทุกคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อพยัคฆ์กระหายโลหิตถูกห่อหุ้มด้วยไฟชีวิต ซึ่งมันสามารถหยุดการโจมตีจากกระบี่เหลียวหยวนลงได้
‘โฮก!’
พยัคฆ์กระหายโลหิตพลิกตัวกลับอย่างว่องไว…ทันใดนั้น…หางของมันเปลี่ยนเป็นเหล็กแหลมพุ่งเข้าใส่หลินมู่อวี่ด้วยท่าทางฉวัดเฉวียน! เขาไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีฉับพลันเช่นนี้ได้ทัน ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงยกมือคว้ากระดองเต่าทมิฬพร้อมกับปราการเกล็ดมังกรออกมาปกป้องร่างกาย เสียง ‘แกร๊ง’ ดังกึกก้องขึ้นเมื่อหางของพยัคฆ์กระหายโลหิตได้กระแทกเข้ากับโล่เหล็ก กระดองเต่าทมิฬเกิดรอยร้าว!
ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ฉวยโอกาสกระโจนออกไปปะทะกับอสูรพยัคฆ์และไถลไปด้านข้างของมัน เขากำฝ่ามือขวาเพื่อปลดปล่อยพลังของกระบี่จักรวรรดิเตโช ทว่าฝ่ามือซ้ายได้งอกลับเข้าตัวเพื่อดึงพลังปีศาจออกมาใช้…จากนั้นเขาก็ได้ใช้พลังที่ฝ่ามือซ้ายกระแทกเข้าไปที่สีข้างของพยัคฆ์กระหายโลหิต!
สองประทีประบำปีศาจ!
‘เปรี้ยง!’
เปลวเพลิงระเบิดออกมา พยัคฆ์กระหายโลหิตเป็นเพียงสัตว์ร้ายเท่านั้น…มันจะต้านทานพลังสุดยอดวิชาฌานเจ็ดประทีปได้อย่างไร? อสูรพยัคฆ์แผดเสียงเจ็บปวดขณะที่ก้าวถอยหลัง ไฟชีวิตที่ห่อหุ้มร่างกายเริ่มสลาย หลินมู่อวี่ยกฝ่ามือขวาขึ้นเพื่อปลดปล่อยเกลี่ยวมังกรคลั่งเข้าใส่ ‘ฉึก!’ กระบี่เล่มยาวพุ่งทะลุกลางลำตัวพยัคฆ์กระหายโลหิต ทันใดนั้น…เลือดของมันพลันพุ่งกระฉูดไหลทะลักออกมา รวมทั้งอวัยวะภายในไหลลงมากองกับพื้น
“ฮ่าๆ…ท่านหลิ่นมู่อวี่ผู้แข็งแกร่ง!” เว่ยโฉวและทหารคนอื่นๆ หัวเราะออกมา
ทักษะชีพจรวิญญาณของหลินมู่อวี่ตรวจจับได้ว่าความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของพยัคฆ์กระหายโลหิตมิได้ลดลงเลย! ทว่ามันกลับเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขีดสุด หลินมู่อวี่รีบตะโกนทันที “ระวัง! หมอบลงไปที่พื้น!”
ทุกคนหมอบลงพื้นอย่างพร้อมเพรียง
พยัคฆ์กระหายโลหิตคำรามก้องด้วยความโกรธเกรี้ยว เปลวเพลิงระเบิดออกไปทั่วทุกสารทิศจากแก่นจิตวิญญาณบนหัวของมัน!
‘เปรี้ยง!’
กำแพงน้ำเต้าสามารถต้านทานแรงปะทะของระเบิดได้แม้จะถูกโจมตีด้วยเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่องหลายระลอก หลินมู่อวี่ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าหาพยัคฆ์กระหายโลหิต เลือดในตัวของเขาเดือดพล่าน…สัตว์วิญญาณอายุห้าพันเจ็ดร้อยปีตัวนี้แข็งแกร่งอย่างน่าตกใจ มันไม่ยอมตายง่ายๆ เป็นแน่!
ทันทีที่หลินมู่อวี่เข้าประชิดพยัคฆ์กระหายโลหิต มันก็แผดเสียงเพื่อบันดาลโทสะพร้อมฟาดกรงเล็บลงบนกำแพงน้ำเต้า!
‘เปรี๊ยะ!’ กระดองเต่าทมิฬแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้วมีรอยลึกปรากฏขึ้นสามแห่งบนปราการเกล็ดมังกร ร่างกายหลินมู่อวี่สั่นสะท้านเพราะถูกกระแทกจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว…เลือดไหลออกจากมุมปาก ตอนนี้เขาก็ได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อกรกับสัตว์วิญญาณอายุห้าพันเจ็ดร้อยปีโดยปราศจากบาดแผล
หลินมู่อวี่ค่อยๆ ผายฝ่ามือออก ทันใดนั้นสายฟ้าก็ปรากฏขึ้น กระบี่เหลียวหยวนพุ่งเข้าใส่ก้อนหินก่อนจะถูกดึงออกมาด้วยกระบวนท่าพลังของกระบี่จักรวรรดิอัสนีบาต มันพุ่งทะลุร่างของพยัคฆ์กระหายโลหิตไป ครานี้การโจมตีได้กำจัดพลังวิญญาณของมันจนหมดสิ้น ทักษะชีพจรวิญญาณบอกเขาว่า…พยัคฆ์กระหายโลหิตได้สิ้นชีพแล้ว!
‘เฮือก…’ เสียงสิ้นลมหายใจของพยัคฆ์
หลินมู่อวี่ทรุดนั่งกับก้อนหินด้านหลังแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ตัดหัวของพยัคฆ์กระหายโลหิตเสีย ระวังอย่าให้เสียหายล่ะ มันคงน่าเสียดายถ้าทำให้ศิลาวิญญาณอัคนีอันล้ำค่านี้เป็นรอย!”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
เว่ยโฉวพุ่งตัวออกไปพร้อมชักกระบี่ออกมาผ่าครึ่งอสูรพยัคฆ์ด้วยการฟันครั้งเดียว เขาเฉือนร่างมันอีกสองครั้งเพื่อแยกส่วนหัวและส่วนหางของอสูรพยัคฆ์ให้หลุดจากลำตัว
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อกรกับสัตว์วิญญาณอายุห้าพันเจ็ดร้อยปีชนิดนี้ น่าเวทนาที่มันต้องเจอกับหลินมู่อวี่ผู้ครอบครองสุดยอดวิชาฌานเจ็ดประทีป…เพียงพลังของประทีปที่สองก็เพียงพอต่อการทำให้พยัคฆ์กระหายโลหิตตกอยู่ในสภาพปางตาย และใช้กระบวนท่าสุดท้ายเพื่อกำจัดมันอย่างง่ายดาย!
หลังจากนั้นไม่นาน เว่ยโฉวก็เดินถือศิลาวิญญาณที่เปื้อนเลือดซึ่งยังคงมีเปลวไฟปกคลุม เขายิ้มอย่างร่าเริงและพูดว่า “ท่านหลินมู่อวี่ เราล่าศิลาวิญญาณอัคนีก้อนแรกได้สำเร็จแล้ว! ศิลาวิญญาณจากพยัคฆ์กระหายโลหิตอายุห้าพันเจ็ดร้อยปี…นี่มันมีมูลค่าเกินกว่าที่ตำหนักเจ๋อเทียนกำหนดเสียอีก เราลุล่วงภารกิจไปขั้นหนึ่งแล้วขอรับ!”
“เป็นเรื่องน่ายินดี! ล้างทำความสะอาดเสียก่อนที่จะนำกลับด้วยล่ะ”
“ขอรับ!”
ศิลาวิญญาณอัคนีถูกมอบหมายให้ทหารรักษาพระองค์ชำระล้าง เว่ยโฉวปราดมองไปที่ร่างของพยัคฆ์กระหายโลหิตและตระหนักว่าจิตวิญญาณของมันยังไม่สลายไป เว่ยโฉวกัดริมฝีปากแน่นเผยสีหน้าด้วยความคาดหวังขณะที่กล่าวว่า “ท่านหลินมู่อวี่ จิตวิญญาณสัตว์ร้ายตัวนี้…”
หลินมู่อวี่หัวเราะออกมาขณะที่มองไปที่ร่างพยัคฆ์กระหายโลหิต “ข้าเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว จึงไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งจากการดูดซับจิตวิญญาณสัตว์ร้ายได้อีกต่อไป มันคงจะสิ้นเปลืองหากข้าจะใช้มัน ดังนั้นเจ้าใช้มันเถิด แต่โปรดระวังด้วย เจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าจะดูดซับพลังทั้งหมดของมัน เจ้าควรดูดซับเพียงหนึ่งส่วนในสามส่วนของจิตวิญญาณสัตว์ร้ายตนนี้เท่านั้น มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกแผดเผา!”
“เป็นพระคุณมากขอรับท่านหลินมู่อวี่!”
เว่ยโฉวแทบจะสะกดกลั้นความยินดีไม่อยู่ เขาหันกลับไปและเรียกปราณยุทธ์ออกมา นี่คือปราณยุทธ์ระดับสี่…วานรพิโรธ มันเป็นสัตว์ร้ายในตำนานที่ควบคุมธาตุไฟได้ เว่ยโฉวมีปราณยุทธ์ที่ดีมากมาตั้งแต่กำเนิด หาได้ยากที่สามัญชนจะมีปราณยุทธ์ระดับสี่ ด้วยเหตุนี้เว่ยโฉวจึงสามารถเข้าร่วมหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์ได้
จากนั้นวานรพิโรธที่ยืนอยู่บนไหล่ของเว่ยโฉวก็เริ่มกลืนกินและปรับแต่งจิตวิญญาณพยัคฆ์กระหายโลหิต กระบวนการนี้ค่อนข้างใช้เวลานาน
อาจเป็นเพราะเว่ยโฉวยังมีพละกำลังไม่มากพอ หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง เขาปรับแต่งวิญญาณไปได้เพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทั่วใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อกำลังจะหมดแรง
หลินมู่อวี่รักษาอาการบาดเจ็บ และค่อยๆ พยุงตัวเองออกมา เขายกมือขึ้นและปลดปล่อยพลังติ่งหลอม มันหลอมรวมส่วนที่สำคัญที่สุดของจิตวิญญาณพยัคฆ์กระหายโลหิตภายในเวลาน้อยกว่าสามนาที จากนั้นก็ป้อนพลังงานบริสุทธิ์ให้กับปราณยุทธ์วานรพิโรธ เว่ยโฉวเผยท่าทางประหลาดใจในทันที “ท่านหลินมู่อวี่?”
“เพ่งสมาธิกับการหลอมซะ”
“ขอรับ!” เว่ยโฉวแสดงสีหน้าอย่างซาบซึ้งใจ