สำหรับโฮ่วกวงแล้วการไม่สามารถสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปได้ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องน่าเสียดาย โฮ่วกวงรู้สึกว่า การทำงานกับลู่โจวทำให้เขาเติบโตขึ้น
การเติบโตที่ว่าไม่ได้มีเพียงแค่ความสามารถทางวิชาการของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมกับความสามารถด้านผู้นำและการจัดการทีมวิจัยวิทยาศาสตร์อีกด้วย
ลู่โจวมีประสบการณ์การเป็นผู้นำอยู่ล้นเหลือ
เนื่องจากเขาเป็นหัวหน้านักออกแบบโปรเจกต์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้ เขาจึงชำนาญในด้านนี้เป็นอย่างยิ่ง
แค่ความสามารถนี้ไม่สามารถส่งต่อไปให้คนอื่นๆ ผ่านการสอนได้ มีเพียงประสบการณ์เท่านั้นที่จะทำได้
บางครั้งโฮ่วกวงก็คิดว่าเหตุผลที่ลู่โจวตัดสินใจถอนตัวจากแนวหน้านั้นเป็นเพราะเขาต้องการให้โฮ่วกวงได้เติบโตมากขึ้น
ทุกครั้งที่โฮ่วกวงคิดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาก็อดซับน้ำตาไม่ได้
คนในวงการวิชาการที่ให้โอกาสกับคนที่อยู่ตำแหน่งต่ำกว่ามีอยู่น้อยเท่าหยิบมือ
แต่นักวิชาการหวังเจิงกวง หัวหน้าวิศวกรของบริษัทนิวเคลียร์แห่งชาติจีนคิดถึงลู่โจวไปอีกทางหนึ่ง
ลู่โจวแคร์คนอื่นด้วยเหรอ?
ก็อาจจะนิดหน่อย
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักหรอก!
ลู่โจวแค่ไม่สนใจตำแหน่งเฉยๆ เขาเป็นคนขี้เกียจต่างหากล่ะ!
คนที่รู้จักลู่โจวดีจะรู้ว่าลู่โจวไม่เคยอยู่ในวงการไหนนานนัก ขนาดกับวงการคณิตศาสตร์ที่เป็นวงการโปรดของเขา แต่พองานวิจัยของเขามาถึงช่วงคอขวด เขายังชอบย้ายไปทำงานในวงการอื่นบ่อยๆ เลย
ข้อมูลนี้เห็นได้ชัดจากจดหมายของเขาที่ส่งมาหาพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสมัยที่เขายังเป็นหัวหน้านักออกแบบของโปรเจกต์นิวเคลียร์ฟิวชั่น
ลู่โจวเขียนมาชัดเจนว่าเมื่อสามารถคิดค้นนิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้สำเร็จแล้ว เขาจะย้ายไปทำอย่างอื่นแทน
ลู่โจวรู้สึกเหนื่อยเกินไปกับการทำตำแหน่งหัวหน้านักออกแบบ…
…
“ฮัดชิ่ว!”
บนถนนหลวง
ลู่โจวนั่งอยู่ที่นั่งหลังรถ กำลังชมวิวอยู่
หวังเผิงที่เป็นคนขับรถ มองกระจกมองหลังแล้วถามเขาว่า
“หนาวไปเหรอครับ?”
“ไม่หรอก กำลังดี…” ลู่โจวเช็ดจมูกตัวเองแล้วกลับมาสนใจเนื้อหาธีสิสที่อยู่บนตัก
ธีสิสนี้เป็นอันที่หลัวเหวินเซวียนโชว์ให้เขาดูเมื่อสัปดาห์ก่อน
ถึงแม้จะเป็นธีสิสอันเดียวกัน แต่เขาก็ได้ธีสิสนี้มาจากคนอื่นที่ไม่ใช่หลัวเหวินเซวียน
อันที่จริงแล้วลู่โจวไม่อยากจะอ่านเจ้านี่เลย แค่ดูบทคัดย่อเขาก็พูดได้ว่าในนี้ไม่มีอะไรนอกจากข้อคาดการณ์ทางทฤษฎีที่ไม่ได้แก้ไขปัญหาในชีวิตจริงได้สักข้อ มันอธิบายปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติไม่ได้ และใกล้เคียงกับการเป็นงานวิจัยที่ไม่มีค่าอะไรเลย
แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าหลัวเหวินเซวียนจะส่งงานนี้ไปให้ PRL จริงๆ ตามที่เขาโอ้อวดไว้ก่อนหน้า ยิ่งไปกว่านั้น PRL ยังขอให้เขาเป็นผู้ตรวจสอบธีสิสด้วย
เนื่องจากกระบวนการตรวจสอบที่ไม่บอกชื่อผู้ตรวจถึงสองขั้น ทำให้หลัวเหวินเซวียนไม่รู้เลยว่า ธีสิสของเขากำลังถูกเจ้านายตัวเองตรวจสอบอยู่
ถึงแม้ว่าความสนใจของเขาจะมีแนวโน้มขัดแย้งกันกับเนื้อหาของเจ้าธีสิสนี่ แต่ลู่โจวก็ยังยอมรับคำเชิญของ PRL ที่จะตรวจสอบธีสิส เขาพรินต์ธีสิสออกมาแล้วเริ่มอ่านมันระหว่างทางกลับเมืองบ้านเกิด
เอาตรงๆ เลยก็คือถึงแม้จะยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งถึงสองสัปดาห์ก่อนช่วงหยุดวันตรุษจีน ลู่โจวก็วางแผนจะกลับบ้านมาสองสามวันแล้ว
แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ก็มีคนมาหาเขาที่ออฟฟิศบ่อยเหลือเกิน บางคนก็มาถามเรื่องคะแนนสอบ บางคนก็เอาของขวัญมาให้ ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ทำให้เขารำคาญทั้งสิ้น
เพราะว่าตารางสอบปีนี้ถูกจัดให้สอบก่อนช่วงวันหยุด ทำให้เขามีแขกมาหาที่ออฟฟิศมากกว่าปกติ
ยังไม่นับว่ามีอาจารย์บางคนที่อยากทำงานให้เขาอีก
ลู่โจวบอกเหอชางเหวินให้ตรวจข้อสอบที่เหลือทั้งหมด แล้วจึงตัดสินใจกลับบ้านช่วงตรุษจีนเร็วกว่าปกติ
ส่วนถ้าถามว่าทำไมถึงนั่งรถยนต์กลับน่ะเหรอ?
การมีรถยนต์ช่วงวันหยุดน่ะ สะดวกจะตายไป
จริงๆ เขาอยากจะนั่งรถสปอร์ตกลับไปด้วยซ้ำ แต่รถคันเล็กๆ แบบนั้นมันไม่เหมาะกับการเดินทางนานๆ เท่าไร บวกกับที่หวังเผิงแนะนำมาด้วย พวกเขาก็เลยนั่งรถซีดานสีดำกลับแทน
รถซีดานนั่งสบายกว่ามาก ลู่โจวแทบจะนอนที่เบาะหลังได้ด้วยซ้ำ เป็นรถที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเดินทางไกลจริงๆ เจ้ารถอิเล็กทริคเพอร์เพิลมันไร้ประโยชน์สิ้นดี นอกจากเอาไว้โชว์คนอื่นน่ะนะ
“เขาเข้าใจเรื่องทฤษฎีมิติของมิงคอฟสกี้ดี แต่สกิลคณิตศาสตร์ของเขานี่มัน…หมอนี่มีวิทเทนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาจริงๆ เหรอเนี่ย?”
ปัญหาของธีสิสนี้ไม่ได้มีแค่ด้านการคำนวณเท่านั้น แต่ยังมีในด้านตรรกะอีกด้วย
สำหรับวงการฟิสิกส์เชิงทฤษฎีแล้วคณิตศาสตร์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น
แม้แต่นักวิชาการที่ใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ง่ายๆ ก็สามารถสร้างทฤษฎีใหม่ๆ ได้ อย่างเช่น แฟรงก์ วิลกเซค ที่ทำงานร่วมกับลู่โจวสมัยก่อน ก็ทำวิจัยขั้นลึกในหัวข้อของอนุภาคควาร์กได้ โดยไม่ต้องเข้าใจคณิตศาสตร์ลึกนัก
ส่วนนักฟิสิกส์อย่างเอ็ดเวิร์ด วิทเทน ที่สร้างเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ขึ้นมาด้วยตนเองและได้รับรางวัลเหรียญฟิลด์ อันนั้นถือเป็นส่วนน้อยของวงการ
ในธีสิสของหลัวเหวินเซวียนนั้น ไม่ใช่แค่คณิตศาสตร์ที่ผิด แต่ตรรกะก็ยังวิบัติอีกด้วย ที่ธีสิสนี้ผ่านขั้นพิชญพิจารณ์มาได้นี่ก็นับเป็นปาฏิหาริย์แล้วนะ
ลู่โจวยิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นเขาก็เขียนคำคำหนึ่งลงไปตรงข้างล่างของกระดาษว่า
[ไม่ผ่าน]
นี่คิดว่าฉันจะยอมให้ธีสิสนี้ได้ตีพิมพ์จริงๆ น่ะเหรอ?
ฝันไปเถอะ
ถ้าไม่นับเรื่องปัญหาทุกอย่างที่มีในธีสิสเรื่องนี้นะ…
ฉันบอกว่าฉันจะยอมกินโต๊ะถ้าเกิดว่าธีสิสนี้ได้ตีพิมพ์จริงๆ จะอย่างไรฉันก็ไม่มีทางทำแบบนั้นอยู่แล้ว
ลู่โจววางธีสิสไว้ข้างๆ แล้วหันไปมองวิวนอกหน้าต่าง แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“ตอนนี้เราถึงไหนแล้ว?”
หวังเผิงที่กำลังจับพวงมาลัยตอบว่า “อีกสิบกิโลเมตรจะถึงเจียงเฉิงครับ”
ลู่โจวพยักหน้าแล้วนึกขึ้นอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จะว่าไปแล้วกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ก็อยู่ในแถบชานเมืองเจียงเฉิงใช่ไหม?”
หวังเผิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าทำไมลู่โจวถึงถามเรื่องนี้ขึ้นมา
แต่เขาก็พยักหน้าแล้วตอบไปว่า “ใช่ครับ…ผมคิดว่าเป็นแถบชานเมืองตะวันออกของเจียงเฉิง”
ชานเมืองตะวันออกของเจียงเฉิงเหรอ?
นั่นเป็นที่ที่ซิลิคอนแวลลีย์แห่งใหม่ตั้งอยู่นี่นา…
ลู่โจวจำได้ว่าเฉินยู่ซานบอกมาว่าศูนย์วิจัยและผลิตเซมิคอนดัคเตอร์คาร์บอนตั้งอยู่แถวๆ นี้ เขาพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นไปดูหน่อยแล้วกัน”
“โอเคครับ”
หวังเผิงไม่ได้ทำอะไรต่อ เขาเปลี่ยนเลนอย่างเชี่ยวชาญ และขับต่อบนถนนหลวง
หลังจากทำงานขับรถให้ลู่โจวมาหลายปี เขาชินกับนิสัยของเจ้านายของเขาแล้ว
ลู่โจวเป็นคนที่คาดการณ์ไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะทั้งงานวิจัยหรือการใช้ชีวิตของเขา
เหมือนกับที่เขาไม่ได้บอกอะไรหวังเผิงมาก่อนหน้าเลย แล้วเขาก็ตัดสินใจกลับบ้านช่วงวันหยุดเร็วกว่าเดิมเสียอย่างนั้น
หวังเผิงชินแล้ว
แต่ถึงเขาจะชินแล้ว แต่ก็ยังมีคนที่ไม่ชินอยู่…
ตรงขาออกของถนนหลวงเจียงหลิง ซึ่งห่างออกไป 200 กิโลเมตร มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนรออย่างหนาวสั่น ในระหว่างที่ลมอันหนาวเย็นพัดผ่านร่างกายพวกเขา…
……………………