ผมอยากได้ทุกตำแหน่งนั่นแหละ!
ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์อยากพูดคำนี้ออกไปดังๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ตามกฎที่ไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรของวงการวิชาการ ตำแหน่งผู้ประพันธ์บรรณกิจและผู้ประพันธ์อันดับแรกจะต้องเป็นของเขาทั้งหมด จะไม่มีการต่อรองอะไรในข้อนี้เป็นอันขาด
เขาจะมอบตำแหน่งผู้ประพันธ์อันดับแรกให้กับนักศึกษาที่ทำผลงานได้ดีที่สุดจริงๆ
เขาไม่ต้องการจะปล่อยผลงานวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ดีเยี่ยมไป ยังไม่นับว่างานนี้ยังมีลู่โจวเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย
แต่…
“…เอาตามใจเธอก็แล้วกัน”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ก็หยิบปากกาของเขาขึ้นมาแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไปบนใบขอจบการศึกษาของเสี่ยวถง
เขามองเด็กสาวแล้วเผยรอยยิ้มขึ้นมาขณะพูดว่า “คุณอยากได้จดหมายแนะนำไหม?”
“ถ้าคุณจะช่วยเขียนให้ก็ขอบคุณมากค่ะ”
ไม่มีใครอยากปฏิเสธจดหมายแนะนำอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะมีจดหมายแนะนำจากพี่ชายของเธออยู่แล้ว จดหมายแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษาในระดับปริญญาโทจะช่วยการศึกษาระดับปริญญาเอกของเธอแน่นอน
ถึงแม้ว่าเธอจะยังกังวลในตัวของฟอร์สเตอร์เล็กๆ
เสี่ยวถงโค้งให้กับเขาอย่างสุภาพแล้วรับใบขอจบการศึกษามาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
จะอย่างไรก็แล้วแต่ เธอก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มาจากศาสตราจารย์คนนี้ในช่วงสองปีที่ผ่านมามาได้ค่อนข้างมาก
แน่นอนว่าในทางกลับกัน เธอก็ช่วยศาสตราจารย์เป็นการตอบแทนด้วย
ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ไม่ได้มอบหมายโปรเจกต์ให้เธอเพราะเหตุผลที่สูงส่งอะไรหรอก แค่จะให้เธอช่วยฟอร์สเตอร์ ‘ทำ’ ธีสิสได้มากขึ้นก็เท่านั้นเอง
พอเขาได้มีชื่อปรากฏอยู่ในธีสิสของวารสารเศรษฐศาสตร์มิติแล้ว เขาจึงมีความสุขดี
เพราะถ้าเป็นตัวฟอร์สเตอร์เองก็คงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหรือสองปีในการเขียนธีสิสแบบนั้น…
ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ และเอนหลังไปพิงเก้าอี้ เขาพูดอย่างเรื่อยๆ ว่า “ด้วยความยินดี ผมขอให้คุณโชคดีในเส้นทางข้างหน้า
ถ้าคุณตัดสินใจได้ว่าคุณอยากไปมหาวิทยาลัยไหนและคุณอยากไปเป็นลูกศิษย์ปริญญาเอกของศาสตราจารย์คนไหนแล้วล่ะก็ บอกผมได้เลย เดี๋ยวผมจะส่งจดหมายรับรองของคุณไปให้”
นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ถึงแม้ฟอร์สเตอร์จะไม่สามารถยื้อเสี่ยวถงไว้ให้อยู่กับตัวเองได้ เขาก็ไม่อยากจะทำให้เธอไม่พอใจ จะดีกว่าถ้าเขาจะปล่อยเธอไป และยังคงความสัมพันธ์อันดีนี้ไว้
หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในวงการวิชาการมาหลายปี เขาก็รู้ดีว่าใครบ้างที่เขาไม่ควรทำให้ไม่พอใจ
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นหนึ่งในคนจำพวกนั้น
เขารู้สึกว่าเขาจะได้เจอกับเสี่ยวถงอีกครั้งในอนาคต
พวกเขาอาจจะได้ทำงานร่วมกันก็ได้
ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์มองที่ประตูแล้วถอนหายใจ
“บ้าเอ๊ย ลู่โจว…ทำไมฉันไม่มีพี่ชายเป็นคนได้รางวัลโนเบลบ้างวะ?
ถ้ามีนี่…ป่านนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องว่าจะได้รางวัลราชบัณฑิตสภาทางวิทยาส่งวิทยาศาสตร์อะไรนั่นแล้ว”
เขาส่ายหัวแล้ววางปากกาลง
สงสัยพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้ว
นี่ฉันอิจฉานักศึกษาปริญญาโทคนหนึ่งจริงๆ ด้วย…
…
ฉันกำลังจะเรียนจบแล้ว!
ในที่สุด!
ฉันดีใจจัง!
หลังจากที่เดินกลับมาที่หอ เสี่ยวถงก็เริ่มกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข เธอกระโดดขึ้นบนเตียงแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นเธอก็โทรหาลู่โจวที่อยู่อีกฟากหนึ่งของซีกโลก
สายติดแล้ว เธอพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีทันที
“พี่คะ! หนูเรียนจบแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า จุ๊บ หนูรักพี่จัง!”
ลู่โจวได้ยินเสียงที่ตื่นเต้นของเธอก็ยิ้มออกมา
“เธอได้ใบจบมาแล้วเหรอ?
“ใช่!” เสี่ยวถงนั่งบนเตียงแล้วกอดหมอน เธอเริ่มเล่าให้ลู่โจวฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ได้ยินเรื่องจากปากของเสี่ยวถง ลู่โจวก็พยักหน้า
“รับมือได้ดีนี่
พี่หวังว่าเธอจะยังจำอย่างหนึ่งได้นะ ไม่ว่าจะเป็นวงการไหน จะเป็นสาขาประยุกต์หรือเชิงทฤษฎี ก็มีลำดับขั้นตอนของมันอยู่ แต่จะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือคนที่สามารถทำงานวิจัยดีๆ ขึ้นมาจะไม่มีวันถูกละเลยเป็นอันขาด”
เสี่ยวถงพยักหน้า
“หนูเข้าใจค่ะ”
“ดีแล้ว พอเธอเจอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้อีกในอนาคต พี่จะช่วยเธอเอง” ลู่โจวยิ้มแล้วพูดต่อ “อ้อใช่ มีอีกเรื่อง ถ้าเธอวางแผนจะกลับบ้านช่วงวันตรุษจีนแล้วล่ะก็ กลับไปเจียงหลิงเลยนะ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับบ้านแล้ว เพราะอย่างนั้น พี่จะไม่อยู่ที่จินหลิง”
เสี่ยวถงตอบอย่างมีความสุขว่า “ได้ค่ะ หนูไม่ได้กลับบ้านมานานแล้ว”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นค่อยคุยกันนะ”
ลู่โจวกำลังจะกดวางสายตอนที่เสี่ยวถงพูดขึ้นมาพอดีว่า
“เดี๋ยวก่อนพี่”
“มีอะไรเหรอ?”
“ถ้าพี่เป็นหนู พี่จะทำอย่างไรอะ?”
“ถ้าพี่ถูกกั๊กไว้ไม่ให้เรียนจบน่ะเหรอ?” ลู่โจวลูบคางแล้วพูดออกมาว่า “คำถามยากแฮะ…พี่ไม่เคยกังวลเรื่องเรียนจบมาก่อนเลย”
ตอนที่เขากำลังเรียนปริญญาโท นักวิชาการลู่ก็แสดงออกว่าชอบความสามารถของเขาอย่างชัดเจนและต้องการให้เขาอยู่ต่อ แต่เขาก็ยังยอมให้ลู่โจวเรียนจบ ในทางกลับกันศาสตราจารย์เดอลีงย์ได้ให้อิสระกับเขามาก แม้กระทั่งอนุญาตให้เขาเลือกโปรเจกต์ธีสิสของตัวเองด้วยซ้ำ
อาจารย์ที่ปรึกษาส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครอยากปล่อยนักศึกษาที่มีพรสวรรค์ไปกันทั้งนั้น
แต่ถ้าคนคนนั้นมีพรสวรรค์จริงๆ แล้วล่ะก็ อาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวไม่สามารถเก็บคนคนนั้นไว้ได้นานหรอก
เสี่ยวถง “…”
เธอรู้ว่าเธอไม่ควรจะให้ลู่โจวได้มีโอกาสอวดตัวเองด้วยความถ่อมตนเลย
หลังจากที่ลู่โจววางสายไป เขาก็หยิบโทรศัพท์ของเขาใส่กระเป๋า
หลัวเหวินเซวียนที่นั่งอยู่ข้างเขาถามขึ้นมาอย่างสบายๆ ว่า “น้องสาวเหรอ?”
ลู่โจวพยักหน้าแล้วบอกว่า “อ่าฮะ เรียนปริญญาโทเศรษฐศาสตร์อยู่ที่ออกซฟอร์ด”
หลัวเหวินเซวียนมีท่าทีสนใจขึ้นมาทันที
“ไว้สักวันแนะนำฉันให้เธอรู้จักบ้างสิ”
“ไปไกลๆ เลยโว้ย”
หลัวเหวินเซวียนสั่น เขารีบพยายามอธิบายทันควัน
“เดี๋ยวๆ คิดอะไรอยู่ ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้วไง แค่อยากจะรู้จักเธอเฉยๆ … เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป ไอเดียที่ฉันคุยกับนายก่อนหน้านี้น่ะ อยากดูไหมล่ะ?”
เขารีบยื่นกระดาษธีสิสปึกหนาให้ลู่โจว
“ลองอ่านดู ฉันไม่เขียนชื่อนายลงไปหรอก!”
พอลู่โจวเห็นชื่อธีสิส เขาแทบจะหัวเราะออกมาดังลั่น
[เดินทางข้ามเวลาในมิติของมิงคอฟสกี้…]
“ถ้านายเอาเจ้านี่ไปตีพิมพ์ใน PRL ได้นะ ฉันยอมกินโต๊ะเลย”
หลัวเหวินเซวียนกระแอมแล้วเกาหัวตัวเอง
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ! ถ้าเกิดเขายอมให้ตีพิมพ์ขึ้นมา นายจะทำอย่างไรล่ะ?”
ลู่โจวส่ายหัวแล้วเมินหลัวเหวินเซวียน เขาเริ่มเดินกลับไปที่ออฟฟิศตัวเอง แล้วหลัวเหวินเซวียนก็ตามมา
แต่ในขณะที่ลู่โจวกำลังเดินผ่านระเบียงทางเดินนั้น เขาก็เห็นเด็กสาวแต่งตัวดีไว้ผมหน้าม้าคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูออฟฟิศของเขา เธอมองเข้าไปทางกระจกออฟฟิศด้วยท่าทางเป็นกังวล
หลัวเหวินเซวียนสังเกตเห็นเด็กสาวหน้าตาดีคนนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่เขาเผยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ออกมา
“มองหาศาสตราจารย์ลู่อยู่เหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ…” เด็กสาวมองหน้าหลัวเหวินเซวียน จากนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่าลู่โจวยืนอยู่ข้างหลังหลัวเหวินเซวียน ดวงตาของเธอเป็นประกายขณะที่เอ่ยถามว่า “คุณคือศาสตราจารย์ลู่เหรอคะ?”
ลู่โจวพยักหน้าแล้วตอบคำถาม “ใช่แล้วล่ะ เธอมีอะไรเหรอ?”
“เอ่อ…พวกเราไปคุยกันสองคนได้ไหมคะ?” เด็กสาวพูดอย่างลังเลขณะมองไปทางหลัวเหวินเซวียน
“เอางั้นก็ได้” หลัวเหวินเซวียนยื่นธีสิสให้ลู่โจวแล้วโบกมือลา
ลู่โจวมองเด็กสาวที่ดูตื่นกลัวคนนั้น
“เข้าไปคุยกันข้างในก็แล้วกัน”
เพราะช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุด จึงไม่มีใครอยู่ในออฟฟิศเลย
ลู่โจวเปิดประตูออฟฟิศ แล้ววางธีสิสลงบนโต๊ะกาแฟในห้อง จากนั้นเขาก็นั่งลงบนโต๊ะ
ลู่โจวมองเด็กสาวที่เดินตามเขาเข้ามาในออฟฟิศแล้วบอกว่า
“เชิญนั่งเลย เธอต้องการอะไรเหรอ?”
เด็กสาวดูลังเลอยู่นิดหน่อยและตัดสินใจไม่นั่งลงบนโซฟา เธอกัดริมฝีปากแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะข้างหน้า
“เอ่อ…ศาสตราจารย์คะ มีเรื่องที่หนูอยากจะถามคุณหน่อยน่ะค่ะ”
ลู่โจว “ไม่มีปัญหา ผมเต็มใจจะช่วยคุณเรื่องปัญหาทางคณิตศาสตร์อยู่แล้ว แต่ต้องไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับข้อสอบนะ”
“เอ่อ…มันเกี่ยวกับข้อสอบน่ะค่ะ เทอมนี้หนูยุ่งมาก เพราะหนูต้องสอบภาษาอังกฤษระดับหกแล้วก็มีภาระจากสภานักศึกษาด้วย…หนูเลยไม่ค่อยมีเวลาเรียนเท่าไหร่” เด็กสาวก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วพูดว่า “ได้โปรดนะคะศาสตราจารย์ลู่ อย่าให้หนูติดเอฟเลยนะคะ หนูยอมทำทุกอย่างเลย”
การติดเอฟหมายถึงจะไม่มีทุน
และยังอาจจะหมายถึงการไม่ได้เรียนต่อปริญญาโทอีกด้วย
ดังนั้นแล้วเด็กสาวคนนี้จึงเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเสียบางอย่างมาเรียบร้อยแล้ว…
ตอนที่ลู่โจวลุกขึ้นยืน เด็กสาวก็กำมือแน่นด้วยความกระวนกระวาย
เธอพยายามเตรียมใจอยู่
เขาจะไม่พาฉันไปเลี้ยงข้าวก่อนเหรอ?
ลู่โจวเดินไปยืนอยู่ข้างเธอแล้วมองเธออยู่แป๊บหนึ่ง
“ทำทุกอย่างเลยเหรอ?” เขาถาม
เด็กสาวหน้าแดง เธอพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ในขณะที่ศาสตราจารย์ลู่เดินมาหาเธอ หัวใจของเธอแทบจะเต้นแรงออกมาจากอก จากนั้นศาสตราจารย์ลู่ก็พูดขึ้นมาอีกรอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปตั้งใจเรียนแล้วเตรียมตัวสอบเสริมได้แล้ว”
เด็กสาว “???”
ลู่โจวมองดูเด็กสาวที่ทำหน้างงๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมา
เขาทำงานให้ระบบการศึกษาชั้นปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยจินหลิงมามากแล้ว ต่อให้คณะคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจินหลิงจะไม่ได้ดีระดับโลก แต่ก็มีนักเรียนจำนวนมากอยู่ดี
ทำไมเขาต้องได้นักเรียนหัวทึบตลอดเลยนะ?
สงสัยจะต้องทำงานพัฒนาระบบการศึกษาให้หนักเสียแล้ว…
………………………….