หลังจากที่ผู้อำนวยการหลี่วางสายไป ลู่โจวที่อยู่ปลายสายก็วางสายเหมือนกัน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน
เฉินยู่ซานมองสีหน้าของลู่โจวที่เปลี่ยนจากรำคาญไปเป็นประหลาดใจแล้วลงท้ายด้วยสับสน เธอยิ้มมุมปากแล้วถามว่า ใครเหรอ?
…ตาแก่คนหนึ่งน่ะ ฉันว่าเขาไม่รู้วิธีใช้โทรศัพท์ด้วยซ้ำ โทรมาทีไรก็พูดแต่เรื่องไม่เข้าใจทุกที ถ้าจะคุยกันให้เข้าใจก็ต้องไปคุยกันต่อหน้า
ลู่โจวรู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายโทรมาไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เขาส่ายหัวแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า
ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่ในร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างโดดเด่นไม่เหมือนใคร เมื่อสิบนาทีที่แล้วพวกเขายังพูดเรื่องเขตท่าเรือไฮเทคแถบตะวันออกและเรื่องสตาร์โวยาจวันอยู่เลย
ส่วนเมื่อไม่ถึงสองนาทีก่อน หลังจากที่พวกเขาคุยเรื่องธุรกิจกันเสร็จแล้ว ผู้อำนวยการหลี่ก็โทรมาโยนระเบิดให้เขา
เพราะว่าชายสูงวัยคนนั้นพูดไวเสียเหลือเกิน ลู่โจวจึงจับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรกันแน่
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถ้าเป็นเรื่องอะไรสำคัญๆ ชายสูงวัยคนนี้จะไม่มีทางใช้เครื่องมือยุคใหม่อย่างอีเมลหรือโทรศัพท์แน่ๆ แต่เขาจะบินมาที่จินหลิงเพื่อมาคุยกันตัวต่อตัว หรือไม่ก็โทรหาฝ่ายเขาให้ไปเจอกันตัวต่อตัวอยู่ดี
ดังนั้น เขาจึงรู้ว่า สิ่งที่เขาโทรมาครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร
นอกจากนี้ลู่โจวยังได้เรียนรู้เพิ่มอีกเรื่องคือ ถ้าชายสูงวัยคนนี้พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแล้วล่ะก็ แปลว่าเขากำลังขอให้ลู่โจวช่วยอะไรสักอย่าง
มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เคสแบตเตอรี่ลิเธียมซัลเฟอร์แล้ว ทุกครั้งที่ผู้อำนวยการหลี่เจอปัญหา เขาจะพูดด้วยเสียงสุภาพโดยไม่รู้ตัวทุกครั้ง บ่อยครั้งเสียจนลู่โจวเชื่อว่ามันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของอีกฝ่ายไปแล้ว
อันที่จริงลู่โจวก็ไม่มีปัญหาอะไรกับการช่วยเขาหรอก แต่ภารกิจห่วงโซ่ ‘ควบคุมโลกและจันทรา’ กำลังใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว มันมาถึงช่วงระยะที่สำคัญที่สุด
เขาอยากเจอปัญหาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถึงแม้ลู่โจวจะบอกว่าเขาไม่สนใจ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังฉายความกังวลอยู่ เฉินยู่ซานยักไหล่แล้วทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เธอถอนหายใจแล้วพูดว่า ในฐานะที่เป็นเพื่อนกันมานาน ฉันขอแนะนำอะไรหน่อยได้ไหม?
ลู่โจวพูดว่า ว่ามา
ถ้าคำแนะนำมันห่วยก็ทำเป็นเมินไปก็แล้วกัน
ฉันว่านายน่าจะควรคิดเรื่องไปพักบ้างจริงๆ นะ เฉินยู่ซานพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เธอมองลู่โจวด้วยความจริงจังแล้วพูดต่อ ฉันได้ยินว่าหลังจากที่นายกลับมาจากการประชุมที่เซี่ยงไฮ้ นายก็ตรงดิ่งไปที่ศูนย์วิจัยทันที ต่อให้ห้องแล็บมันจะน่าสนใจแค่ไหน ฉันว่านายก็ควรจะ…
ลู่โจวกระแอมเบาๆ แล้วพูดแก้ตัวว่า นั่นเป็นสถานการณ์พิเศษน่ะ
ก็ไม่ใช่เรื่องโกหกนะ หลังจากที่ได้ของน่าสนใจมาจากมิติระบบแล้ว ใครมันจะไปหลับตานอนลงได้ล่ะ?
เป็นไปไม่ได้หรอก
ต่อให้เขาหลับตาเขาก็นอนไม่หลับอยู่ดี
เฉินยู่ซานมองใบหน้าดื้อรั้นของลู่โจว เธอกลอกตา
ทุกวันก็เป็นสถานการณ์พิเศษกับนายตลอดนั่นแหละ! ดูสิว่านายทำงานหนักแค่ไหน ฉันว่าพวกเขาติดหนี้ไม่ยอมเอารางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ให้นายด้วยซ้ำ
ลู่โจวส่ายหัวแล้วตอบว่า เรื่องนั้นมันไม่สำคัญแล้วล่ะ
ทำไมล่ะ? เฉินยู่ซานมองลู่โจวด้วยใบหน้าประหลาดใจ เธอใช้นิ้วจับหลอดแล้วเอามันคนน้ำแข็งในแก้วไปมาเล่นๆ แล้วเธอก็พูดต่อ นั่นรางวัลโนเบลเลยนะ นายไม่สนเลยจริงสิ?
ลู่โจวถอนหายใจ
พวกเขาควรจะเอาไปให้พวกคนหนุ่มๆ สาวๆ แทนดีกว่า
ถ้าคณะกรรมการรางวัลโนเบลตัดสินว่าจะให้รางวัลโนเบลกับเขา เขาก็ต้องรู้สึกพอใจอยู่แล้ว แต่มันก็เหมือนกับการเก็บเงินที่หล่นตามพื้นถนนได้นั่นแหละ เรื่องแบบนี้มันเป็นแค่ความพึงพอใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
เพราะเขาได้บางสิ่งบางอย่างที่มีค่ามากกว่ารางวัลโนเบลมาแล้ว มันเป็นสิ่งที่ประเมินค่าด้วยรางวัลและชื่อเสียงไม่ได้เลย ความสำคัญของมันมีมากกว่าตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ที่ประเทศหรือองค์กรใดบนโลกนี้จะมอบให้เขาได้
นั่นคือเกียรติยศในระดับจิตวิญญาณของมนุษย์
ตั้งแต่ตอนนั้นลู่โจวก็แทบจะไม่ได้สนใจเรื่องรางวัลเลย
เฉินยู่ซานอดไม่ได้ที่จะมองบน
นี่ไม่พูดแบบนั้นได้ไหม? คนหนุ่มอย่างงั้น คนสาวอย่างงี้…นายกำลังทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองแก่นะ
ลู่โจวไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาก็เลยยิ้มจางๆ แทน
ถึงเฉินยู่ซานจะเซนซิทีฟเรื่องอายุของเธอ แต่เอาจริงๆ แล้ว เขาไม่รู้สึกว่าเธอแก่ขึ้นเลย แต่กลับเป็นตรงกันข้ามต่างหาก เพราะเธอมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้นเธอจึงเปลี่ยนจากเด็กสาวที่ ‘บื้อและโง่’ ไปเป็นหญิงสาวที่มีความเป็นผู้ใหญ่และมีเสน่ห์
เสน่ห์ในแบบที่มากกว่าเด็กสาววัยรุ่นส่วนใหญ่มี
แน่นอนว่าการประเมินความสวยนี้มาจากมุมมองของเพื่อนคนหนึ่ง ในความคิดของลู่โจวแล้ว เธอห่างไกลจากจุดที่ต้องมานั่งเศร้าเรื่องอายุ
ยังมีเรื่องที่น่าทำมากกว่าการคว้ารางวัลโนเบล
มันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ระดับจักรวาล
หรือเป็นเรื่องเล็กอย่างเช่นความบันเทิงส่วนตัวก็ได้
การแคร์ความรู้สึกคนอื่นมันน่าเบื่อ
ลู่โจวนึกขึ้นได้ว่าเขามีเหตุผลอื่นอีกที่ชวนเธอมากินอาหารกลางวันในวันนี้ เขาจึงพูดขึ้นมาในทันทีว่า จะว่าไปแล้วฉันก็มีของให้เธอนะ
พอเฉินยู่ซานได้ข่าวว่าลู่โจววางแผนจะให้ของขวัญตัวเอง ใบหน้าของเธอก็กลายเป็นประหลาดใจ อินเนอร์ความเป็นนักธุรกิจสาวของเธอหายไป แล้วเธอก็เปลี่ยนร่างเป็นเด็กสาวขี้สงสัยคนหนึ่ง
เห จริงเหรอ จริงเหรอ? อะไรล่ะ?
ลู่โจวตอบ ที่มาสก์หน้าน่ะ
ที่…ที่มาสก์หน้า?
เฉินยู่ซานถูกดึงให้กลับโลกแห่งความจริงเมื่อเจอคำตอบนี้เข้าไป เธอมองลู่โจวแล้วถามว่า นาย…เริ่มวิจัยเจ้านี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
ไม่ได้วิจัย…
เอ่อจะอธิบายอย่างไรดีล่ะเนี่ย…
ลู่โจวอดรู้สึกปวดหัวไม่ได้
นี่มันเป็นแค่ผลพลอยได้จากการทดลองของเขาน่ะสิ จากการทดลองทางคลินิกของเขา เขาพบว่าจุลินทรีย์ Dr-111 ไม่เพียงแต่จะย่อยสลายและกลืนกินเคราตินและเมแทบอไลต์ส่วนเกินบนพื้นผิวหนังมนุษย์ได้เท่านั้น แต่มันยังช่วยชะลอวัยผิวหนังภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
แน่นอนว่า การชะลอวันนี้ทำได้แค่กับผิวหนังเท่านั้น มันไม่ได้ไปเปลี่ยนเทโลเมียร์ของดีเอ็นเอเพื่อช่วยยืดอายุหรืออะไรทำนองนั้นเลย
ของแบรนด์ไหนเหรอ?
สตาร์สกายเทคโนโลยี
พอเฉินยู่ซานได้ยินชื่อบริษัท ใบหน้าของเธอก็เริ่มแสดงความกังวล
นาย…ไม่ได้จะเอาฉันไปเป็นหนูทดลองใช่ไหม?
ลู่โจวกลอกตา
จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า! คิดว่าฉันจะเอามันออกมาจากห้องแล็บโดยไม่ตรวจเช็กเลยหรือไง? อีกอย่างนะ พวกเราก็เป็นบริษัทชื่อดังระดับโลกอยู่แล้ว เธอที่เป็นซีอีโอจะช่วยมั่นใจในแบรนด์เรากว่านี้ไม่ได้เหรอ?
นี่มันเจ็บนะเฮ้ย!
เฉินยู่ซานรู้สึกว่าเธอพูดแรงไป เธอเลยอธิบายอย่างรวดเร็วว่า …แต่ซีอีโอไม่เคยได้ยินเรื่องผลิตภัณฑ์สกินแคร์มาก่อนเลยนะ? ฉันจะไม่กังวลได้อย่างไรกัน?
ลู่โจวจึงพูดว่า …ช่างเถอะ ฉันก็แค่อยากแบ่งปันอะไรดีๆ กับเธอเฉยๆ ถ้าไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไร
เดี๋ยวสิไม่ใช่แบบนี้ ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่เอา! ฉันเอา!
เฉินยู่ซานเริ่มแพนิก เธอเกือบจะลุกจากเก้าอี้ขึ้นมาแล้วด้วยซ้ำ
ลู่โจวจึงเลิกล้อเธอเล่น เขาเอื้อมมือไปหยิบถุงพลาสติกข้างเก้าอี้มาแล้วนำมันมาวางบนโต๊ะ
เฉินยู่ซานถึงกับอึ้งเมื่อเธอเห็นถุงพลาสติกหน้าตาน่าเกลียดบนโต๊ะ
…เจ้านี่น่ะนะ?
เมื่อลู่โจวเห็นว่าเธอมีท่าทีขยะแขยงกับบรรจุภัณฑ์ที่ไม่น่าไว้ใจ เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบมันกลับมา แต่เฉินยู่ซานก็คว้าถุงนั้นไว้ก่อน
เขายักไหล่แล้วพูดอย่างอดทนว่า ไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก
โอเค ฉันเชื่อนายก็แล้วกัน… เฉินยู่ซานเช็กให้ชัวร์ว่าลู่โจวจะไม่มีทางหยิบถุงพลาสติกกลับไปได้อีก เธอเริ่มเล่นใหญ่ ถ้าผิวฉันพังนะ ฉันจะโทษนาย
ลู่โจวตอบ ไม่ต้องห่วง มันไม่พังหรอก เธอจะพอใจมันแน่ รู้สึกได้หลังจากที่ใช้เลยล่ะ
ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้บรรยากาศในห้องจู่ๆ ก็เริ่มกระอักกระอ่วนขึ้นมา คู่รักหนุ่มสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเราเริ่มคุยกัน
เฉินยู่ซานยิ้มมุมปาก ในขณะที่ลู่โจวเริ่มคิด
นี่ฉันพูดอะไรผิดไปอีกแล้วเหรอ?
เขาส่ายหัวแล้วตัดสินใจว่าจะช่างมันไป
แล้วไงใครแคร์…
เขาเชื่อว่าต่อให้ตอนนี้เฉินยู่ซานอาจจะไม่พอใจ แต่พอเธอกลับบ้านไปมาสก์หน้าแล้วล่ะก็เธอก็จะลืมความกังวลทุกอย่างที่เธอมีในตอนนี้ไปเลย
ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ…
เพราะเขาเห็นเคสของเด็กสาวสองคนมาด้วยตาตัวเองแล้วน่ะสิ เด็กสาวสองคนที่แมนกว่าเขาเสียอีก พอพวกเธอใช้ที่มาสก์หน้านี้เสร็จก็เหมือนเป็นคนละโลกกับตอนก่อนใช้เลย นักวิจัยเกือบจะเขียนลงรายงานการทดลองไปแล้วว่า ‘อาจจะส่งผลกระทบกับความฉลาด’
ด้วยความสงสัย หลังจากนั้นลู่โจวก็เลยทดลองใช้กับตัวเอง เขาพบว่าใบหน้าของเขามีความเรียบเนียนมากขึ้นเล็กน้อย นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรวิเศษเกิดขึ้นกับเขาเลย มันไม่ได้ทำให้เขาหล่อขึ้นด้วย
เขาก็เลยเลิกสนใจที่มาสก์หน้านี้
แต่ถึงเขาจะใช้ประโยชน์จากเจ้านี่ไม่ได้ มันก็ยังเป็นของขวัญที่ดีในการเอาไปมอบให้คนอื่นอยู่
ลู่โจวจินตนาการภาพเฉินยู่ซานมีความสุขมากหลังจากได้ใช้ที่มาสก์หน้า เธอจะต้องดีใจจนแทบร้องไห้แน่ๆ เขายิ้มกว้าง
เฮ้อ พวกผู้หญิง
ไม่มีเหตุผลกันเสียจริงๆ