ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes – ตอนที่ 49

ตอนที่ 49

ด้านล่างของต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยรากไม้หนาทึบ เจสันสามารถมองเห็นโพรงที่มีลูกสุนัขจิ้งจอกขนาดพอดีมือหลากสี

มีพื้นที่เพียงพอสำหรับเจสันที่จะมุดผ่านรากต้นไม้ใหญ่ที่หนาทึบ หลังจากที่ยกซากหมาป่าออกไป

เนื่องจากโพรงอยู่ใต้ต้นไม้แสงแดดส่องถึงด้านล่างไม่มากนัก แต่สิ่งที่เจสันสงสัยนั้นเป็นอย่างอื่น

ภายในโพรงมีอุโมงค์หลายแห่ง ที่นำไปสู่ที่ไหนสักแห่งและเจสันสามารถมองเห็นแสงสีดำจำนวนมากที่ส่วนท้ายของโพรง

อาจมีลูกสุนัขจิ้งจอกจำนวนมากที่อยู่ข้างในและเจสันก็สงสัยว่ามีลูกสุนัขจิ้งจอกกี่ตัวเพราะเขาสามารถมองเห็นฝูงพวกมันต่อหน้าเขาได้แล้ว

‘สุนัขจิ้งจอกทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อให้กำเนิดลูกหลานของพวกมันในโพรงใหญ่นี้งั้นหรอ ทำไมพวกมันถึงทำอย่างนั้น ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของพวกมันนี่หน่า? มีอะไรเกิดขึ้น ….ฉันหวังว่านั่นจะเป็นสัตว์ร้ายกลุ่มเดียวที่อพยพ…’

เมื่อมองไปที่ลูกสุนัขจิ้งจอกซึ่งแทบจะมองไม่เห็น เจสันก็เริ่มเศร้า

พ่อแม่ของพวกมันถูกฆ่าโดยมนุษย์ เพราะพวกมันถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อนักเรียนมัธยมต้น ที่ฝึกฝนในเขตป่าระดับหนึ่งถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม

เจสันรู้สึกเศร้า แต่ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้ โลกถูกสร้างขึ้นตามลำดับชั้นที่ผู้ที่แข็งแกร่งปกครองและผู้อ่อนแอต้องทนทุกข์ทรมานและตาย สิ่งนี้ชัดเจนยิ่งกว่าภายนอกโดม

เมื่อสี่วันก่อนเจสันได้ฆ่าสัตว์ป่าอย่างไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเศร้า?

ความคิดของเขาเองก็ยังยากที่จะเข้าใจแม้กระทั่งสำหรับตัวเอง แต่ยิ่งเขาเผชิญกับความจริงนานเท่าไหร่เขาก็ยิ่งพยายามหาจุดสมดุลที่ดีให้กับมันมากขึ้นเท่านั้น

เจสันไม่ต้องการฆ่าสัตว์ร้ายแต่ละตัวอย่างโหดเหี้ยม แต่เขาจะไม่เมินเฉยต่อสัตว์ที่ร้ายที่คุกคามสัตว์ตัวอื่นๆ

เจสันไม่ต้องการฆ่าสัตว์ที่มีลูกเล็กๆ แต่นอกเหนือจากข้อยกเว้นบางประการ

คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าเจสันเป็นคนใจอ่อนเกินไปเพราะลูกสัตว์ร้ายสามารถเติบโตเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและอันตรายได้ในอนาคต แต่เจสันไม่สนใจความคิดเห็นของคนพวกนั้นจริงๆ

แต่เจสันก็ต้องเตือนใจตัวเองว่า ถ้าเขาไม่ฆ่าพวกสัตว์ร้ายเหล่านั้นเพิ่มเสริมความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ของเขา และอีกอย่างสัตว์ร้ายเหล่านั้นอาจจะกลับมาทำร้ายตัวเองได้

แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอน! เจสันจะไม่ฆ่าลูกสัตว์เหล่านี้…พวกมันไม่ได้ทำอะไรผิดและบางทีพวกมันอาจทำตัวเป็นสัตว์พันธะที่น่ารักของใครบางคนและมีชีวิตที่ดี

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเกิดมาไม่กี่วันที่ผ่านมาเมื่อพ่อแม่มาถึงและพวกเขาจะไม่รอดหากไม่มีนมแม่และดูเหมือนว่าเขาจะต้องทำตัวให้เร็วที่สุดเพราะพวกเขามองเขาด้วยความหิวโหย

ก่อนอื่นเจสันต้องพาลูกสุนัขจิ้งจอกนี้ออกไปข้างนอก

เจสันนำกรงสัตว์ออกมาเพื่อที่จะนำลูกจิ้งจอกออกมาจาโพรง

หลังจากนั้นเจสันก็เพิ่มพลังให้กับกรงด้วยมานาในปริมาณที่พอเหมาะสำหรับกรงที่จะเริ่มทำงาน

โชคดีสำหรับเจสัน ที่เขี้ยว กรงเล็บและพลังธาตุของลูกสัตว์เหล่านี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำร้ายอะไรใครได้

เจสันค่อยๆ หยิบลูกจิ้งจอกออกมาทีละตัว และสังเกตว่าอาร์เทมิสมองเขาอย่างหลงใหลเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงหลังจากที่เขาหยิบพวกมันออกมาได้ทั้งหมด

เสื้อผ้าของเจสันสกปรกไปหมดเช่นเดียวกับมือและใบหน้าของเขาในขณะที่เขาคาดว่ามีลูกสุนัขจิ้งจอกธาตุร้อยกว่าตัวที่อพยพมา แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีลูกจิ้งจอกจำนวนมากขนาดนี้

มีลูกสุนัขจิ้งจอกธาตุ 150 ตัวเป็นอย่างน้อยและเจสันก็ต้องตกใจเมื่อเห็นกรงสัตว์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองขนาด 20 ตร.ม. นั้นคับแคบเหลือเกิน….

เจสันกลืนน้ำลายและเปิดใช้งานดวงตามานาอีกครั้ง เพื่อดูว่าเขาลืมลูกสุนัขจิ้งจอกหรือไม่

แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้นเขาสังเกตเห็นความแตกต่างของออร่าสีดำที่แผ่ออกมาจากสัตว์ร้ายเหล่านี้

เขาแทบจะรู้ได้ในทันทีว่าสัตว์ร้ายตัวใดมีศักยภาพที่ดีกว่า … หรือมีขีดจำกัด ที่สูงกว่า

เจสันได้เห็นทฤษฎีที่ตั้งขึ้นเอง ซึ่งก่อตัวขึ้นในใจของเขาอย่างช้าๆ เจสันคิดว่ายีนแม่ของลูกจิ้งจอกที่มีสีทึบจะต้องแข็งแกร่งกว่าและดูเหมือนว่าความสามารถแบบนั้นจะมี บทบาทในการเป็นออร่าสีฟ้าด้วย สุนัขจิ้งจอกที่มีธาตุจะมีสีดำที่เปล่งประกายอย่างอ่อนโยน ในขณะที่สุนัขจิ้งจอกสีแดงมีสีที่เปล่งประกายราวกับเปลวไฟ

แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่าง เนื่องจากปริมาณสีที่แผ่ออกมานั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกมันอย่างที่เจสันคิด

ในตอนแรกเจสันได้ดูลูกสุนัขจิ้งจอกสองตัวจากชุดเดียวกันและสีหนึ่งของพวกมันทึบกว่า เจสันจึงคิดว่าลูกสัตว์ตัวหนึ่งได้รับยีนที่โดดเด่นหรือความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย

และอีกครั้ง … เกิดคำถามขึ้นมากมายเกินไปทำให้จิตใจของเขาไม่เป็นสุข

แต่มีอย่างอื่นที่เจสันสังเกตเห็น

สัตว์ป่าตัวอื่นๆ พวกมันพยายามหนีเมื่อมองเห็นเจสัน แต่หลังจากที่พวกมันมองลึกเข้าไปในดวงตาของเจสัน พวกมันก็หยุดเคลื่อนไหวและบางตัวยังเดินมาให้เจสันได้ลูบหัว

แต่เขาต้องทำให้หัวใจของเขาแข็งแกร่ง … เขาไม่สามารถเลี้ยงดูสุนัขจิ้งจอก 150 ตัวได้ด้วยหลายเหตุผล

ประการแรกสัตว์ป่าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมือง ยกเว้นที่เจดีย์สัตว์ร้ายเพื่อใช้ในการขายหรือเป็นสัตว์พันธะ

เราต้องมีใบอนุญาตในการขายหรือทำสัญญากับสัตว์ร้ายหากต้องการรับพวกมัน

เจสันมั่นใจในโลกแห่งจิตวิญญาณของเขา แต่พลังวิญญาณของเขาปฏิเสธความคิดนี้ทันที

มันค่อนข้างน่าเศร้าเพราะพวกมันน่ารักมากและ เจสันก็อยากลองใช้ทฤษฎีความบริสุทธิ์ของเขา

และความคิดที่จะมีกองทัพจิ้งจอกที่ทรงพลังอยู่ข้างหลังเขาในขณะที่ขี่อาร์เทมิสตัวใหญ่ก็น่าพอใจ

อาร์ทิมิสรู้สึกได้ถึงความคิดของเขาและปฏิเสธทันทีเพราะ แม้ว่ามันจะเติบโตขึ้นมันก็ไม่ต้องการให้ใครมาขี่มัน !!!

อาร์เทมิสไม่มีใครยอมให้ขนของมันสกปรก !!!!! (> ‘o’)>

กรงสัตว์ร้ายที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองมีขนาดใหญ่พร้อมแล้ว แต่ก่อนที่เจสันจะเริ่มเดินทางกลับไปที่เต็นท์ของเขา เจสันต้องทำอะไรบางอย่างลูกสุนัขจิ้งจอกที่ไม่เคยสัมผัสกับแสงอาทิตย์มาก่อน

เขาหยิบผ้าปูที่นอนที่ซื้อมาสำหรับนอน ออกมาสองสามผืนแล้วโยนมันไว้เหนือกรงสัตว์ร้าย เพื่อปิดกั้นแสงแดดก่อนที่การเดินทางกลับไปที่โดม

นาน ๆ ครั้งลูกสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งจะหลุดออกมาจากกรงสัตว์ร้าย เนื่องจากลูกกรงอยู่ห่างกันเกินไป อาร์เทมิสจึงต้องคอยหยิบมันขึ้นมาและใส่กลับเข้าไปในกรง

ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes

ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes

จากการสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก เขาต้องเอาชีวิตรอดในโลกที่เขามองไม่เห็น … คนตาบอดที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนกาฝากตามทาง

ในสังคมยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้และจิตวิญญาณในการบังคับให้เติบโต

ความคิดของเขานั้นแตกต่างจากคนรอบข้างในขณะที่เขาไม่รังเกียจที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของเขาเอง วันที่เขาถูกปลุกดวงวิญญาณของเขา

คือวันที่เขาร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังในขณะที่พระเจ้าเล่นตลกกับเขา เนื่องจากการปลุกดวงวิญญาณของเขาเป็นพรจอมปลอม

ใครๆก็คิดว่าเขานั้นตาบอด จนกระทั่งวินาทีที่เขาเบิกเนตรสีทองของเขาที่กระพริบเป็นประกาย

ที่รอคอยที่จะกลืนกินทุกคนที่กล้าขัดขวางเส้นทางของเขาไปสู่ยอดเป้าหมาย โปรดติดตามเจสันในการเดินทางผจญภัยทั่วโลกอันกว้างใหญ่นี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท