ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 9-1 การแอบพบกัน และความเข้าใจผิด
แม่นมพยายามที่จะอยู่ข้างกายกโยซึลเสมอ เพราะเป็นห่วงนางที่กำลังมีอาการคิดถึงบ้าน แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดทุกครั้งกโยซึลไปที่สวนหลังวังฝ่ายนอก แม่นมมักจะแยกตัวออกไปเสมอ วันนี้ก็เช่นกัน แม่นมตามกโยซึลไปถึงแค่เพียงทางเข้า แล้วยืนรอนางอยู่ที่นั่น กโยซึลเดินเข้าไปในสวนหลังวังเพียงคนเดียว นางเดินมุ่งหน้าไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่กลางสวน
ทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้นะ…
กโยซึลถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพิงตัวที่ต้นไม้ ใบหน้าสดชื่นเบิกบานใจนั้นดูอ่อนแรง เนื่องจากเนื้อแก้มที่ตอบลงไป นางไม่มีวันใดรู้สึกสบายใจได้เลยเพราะโดนบีพาอันปฏิเสธตนทุกครั้งเวลาที่ตนจะเข้าไปทักทายเขายามเช้า รวมถึงยังตนยังมีอาการคิดถึงบ้านอีกด้วย พอเริ่มมีอาการแบบนี้ความอยากอาหารก็ลดลง และน้ำหนักก็ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เนื้อแก้มที่หายไปยิ่งทำให้ตาโตๆ ของนางดูใหญ่ขึ้น และยังทำให้
กโยซึลดูเด็กลงกว่าเดิมมาก เครื่องประดับตกแต่งที่ปักอยู่บนวิกผมคาเชส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งไปกับสายลมที่พัดผ่าน กโยซึลก้มหน้าลง เอาหน้าผากแตะไว้ที่ต้นไม้และหลับตาลง เมื่อหลับตาลงเสียงที่ลอยเข้ามาในหูก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ในตอนแรกได้ยินเสียงนกน้อย แล้วก็เสียงลม
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินอย่างเบาๆ มาแต่ไกล ริมฝีปากของนางยกยิ้มขึ้น
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ”
กโยซึลลืมตาขึ้นเพราะเสียงอันนุ่มนวลของชายหนุ่มแล้วหันไปมองทางนั้น ใบหน้าของกโยซึลสดใสขึ้นเหมือนกับตอนอยู่ฮวากุก นางยกยิ้มกว้าง
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ากโยซึลคือคนที่กโยซึลอยากพบจนนางต้องมาตามหาที่สวนหลังวังที่อยู่ไกลจากพระราชวังตะวันออกอย่างมากในทุกๆ วัน เขาคือคนเดียวที่มอบรอยยิ้มให้กับกโยซึลที่กำลังอ่อนเพลียจากปฏิบัติอย่างเยือกเย็นของบีพาอัน
“ยูอึลจิน”
มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ทั้งๆ ที่เพียงแค่พูดชื่อเขาเท่านั้น เพียงแค่ชื่อสามพยางค์ก็ทำให้ตนรู้สึกสบายใจราวกับได้กลับไปที่ฮวากุก ชายเสื้อของกโยซึลปลิวสะบัดไปกับสายลม นางเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้นที่กำลังคุกเข่าทำความเคารพตนอยู่ เมื่อกโยซึลวางมือของตนลงบนไหล่ เขาก็ลุกขึ้น
ยูอึลจิน ก็คือฮวางเซจา รูแฮ องค์รัชทายาทอันดับที่สามแห่งมกกุก เขายังไม่ได้บอกฐานะของตนให้กโยซึลได้รับรู้ และยังคงพูดคุยกับกโยซึลด้วยชื่อ ‘ยูอึลจิน’ ตอนที่บังเอิญเจอกันในห้องหนังสือนั้นรูแฮได้แนะนำสวนหลังวังฝ่ายนอกนี้ให้กับกโยซึลที่รู้สึกว้าเหว่ แล้วหลังจากนั้นทั้งสองคนก็พบเจอกันบ่อยๆ ที่สวนหลังวังฝ่ายนอกแห่งนี้
เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน บางครั้งคนใดคนหนึ่งก็ออกมาเดินเล่นในสวนอยู่คนเดียวแล้วก็กลับไป แต่ว่าการได้พบเจอกันในสวนหลังวังแบบไม่ได้นัดหมายเช่นนี้ มันก็ทำให้สบายใจต่อทั้งกโยซึลและรูแฮ รูแฮเป็นคนเดียวในพระราชวังแห่งนี้ที่ทำให้กโยซึลหายใจได้อย่างสะดวก ตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ที่คำพูดที่ใช้พูดคุยกันของทั้งคู่เปลี่ยนไปเป็นกันเองมากขึ้น
“วันนี้ออกมาด้วยหรือ”
“วันนี้กระหม่อมทำงานเสร็จเร็วขอรับ แน่นอนว่าในตอนบ่ายก็จะต้องกลับเข้าไปอีก”
“ออ งานที่ว่านั่น ยูอึลจินที่เป็นเชื้อพระวงศ์ก็ต้องทำงานทุกวันอย่างนั้นหรือ”
“คนในพระราชวังนี้ยุ่งทุกคนขอรับ”
รูแฮเพียงแค่อธิบายผ่านๆ ที่จริงแล้วที่รูแฮยุ่งนั้นเป็นเพราะว่าเขาเป็นฮวางเซจานั่นเอง เขานั้นเป็นข้าราชการชั้นดีและยังโดดเด่นในด้านวิชาการ จึงถือเป็นบัณฑิตที่น่าภาคภูมิใจของพระราชวังแห่งนี้ และเขาก็ยังรับผิดชอบงานสำคัญรองลงมาจากฮวางแทจา รวมทั้งยังรับผิดชอบงานที่เกี่ยวกับกฎหมายของฝ่ายตุลาการ และงานด้านการศึกษาของฝ่ายพิธีการอีกด้วย
“ไม่น่าจะใช่ทุกคน”
กโยซึลหมุนริมฝีปากไปมาพร้อมแย้งกลับไป
“เราเป็นชายาฮวางแทจา แต่ว่าเราไม่ยุ่งเลยสักนิด กลับน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ งานที่ยากลำบากของเราคือการใช้เวลาให้ผ่านไปในแต่ละวัน”
ชายาฮวางแทจาเป็นตำแหน่งอันดับสองของตำแหน่งหญิงสาวในพระราชวัง หากบอกว่าคนตำแหน่งอย่างนางไม่มีงานทำแล้ว คนที่อยู่ตำแหน่งรองลงมาจากนางเองก็คงจะเหมือนๆ กัน
“แต่ก็ถือว่ายังสะดวกสบายมิใช่หรือขอรับ”
รูแฮชายหนุ่มผู้ที่อยู่ในราชสำนักมายี่สิบเอ็ดปี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูแลในเรื่องของเหล่าหญิงสาวในพระราชวัง แต่เขาก็รู้ดีว่าพวกนางนั้นมีความใกล้ชิดกับอำนาจต่างๆ เพียงใด แม้แต่การร่วมดื่มชาในตอนกลางวันก็ยังมีละครหน้ากากการเมืองให้ได้ดู ช่างเป็นเรื่องที่ห่างไกลจนกโยซึลจินตนาการไม่ออกอย่างแน่นอน กโยซึลยังคงคิดถึงอาณาจักรบ้านเกิดของตน และพยายามปรับตัวในการใช้ชีวิตในพระราชวังนี้ เพียงเท่านี้เกินกำลังของนางแล้ว
“งานของเรานั้นมีเพียงการที่ต้องคอยแต่งหน้าแต่งตัวทุกชั่วโมง นอกจากนั้นก็มิมีอย่างอื่นอีกเลย”
“เช่นนี้ พระองค์จะทรงเป็นฮวังฮูได้อย่างไรกันขอรับ”
“…”
เมื่อรูแฮพูดถึงฮวังฮูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม กโยซึลก็พลันรู้สึกอารมณ์ไม่ดี เธอปิดปากเงียบสนิทกอดอกแล้วหันขวับไปอีกฝั่ง แม้รูแฮจะหัวเราะกับปฏิกิริยาที่ดูเหมือนเด็กของกโยซึลแต่เขาก็ต้องกลืนเสียงหัวเราะนั้นเข้าไป แล้วพูดว่า
“พระชายาฮวางแทจา กโยซึล”
“…”
“พระชายาฮวางแทจา”
ไม่ว่าเขาจะเรียกกี่ครั้งกโยซึลก็ไม่หันกลับมา ภาพด้านหลังของนางช่างดูน่าเวทนา ศีรษะที่ดูเล็กเหมือนกำปั้น ไหล่ที่ผอมแห้ง ร่างเล็กกับกระโปรงที่บานสะพรั่ง แผ่นหลังน้อยๆ นั่นชวนให้ยื่นมือออกไปหา
“ชายาฮวางแทจา”
รูแฮควบคุมหัวใจตัวเองอย่างอยากลำบาก เขาเรียกนางสั้นลง แต่แค่นั้นก็แทบจะทำให้หัวใจของรูแฮเต้นจนแทบจะระเบิด กฎระเบียบของราชสำนักที่เข้มงวดนี้ การเรียกชื่อคนอื่นให้สั้นลงสามารถสื่อความหมายได้มากมาย แน่นอนว่าเรื่องนี้มีแค่รูแฮที่เติบโตมาในพระราชวังนี้ที่รู้ ส่วนกโยซึลนั้นไม่รู้เรื่องอันใดเลย กโยซึลไม่รู้เลยว่าที่รูแฮเรียกตนว่าชายาฮวางแทจา แทนที่จะเป็นพระชายาฮวางแทจานั้นเขาตื่นเต้นแค่ไหน เมื่อพูดออกมามันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเคี้ยวน้ำตาลอยู่ แล้วรูแฮก็เอาแต่เรียกกโยซึลว่าชายาฮวางแทจาซ้ำไปซ้ำมา
“ชายาฮวางแทจา ไม่ได้ออกมาเพื่อเจอกระหม่อมหรือขอรับ หากทรงหันหลังให้กันเช่นนี้ก็จะทรงไม่ได้เห็นหน้ากระหม่อมนะขอรับ”
“…ช่างมันเถอะ”
“หมายความว่าไม่ต้องเห็นหน้ากันก็ได้อย่างนั้นหรือขอรับ ชายาฮวางแทจา ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนนะขอรับ”
รูแฮเดินถอยหลังกลับไปไม่กี่ก้าว กโยซึลที่ยืนหันหลังอยู่ตกใจเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป นางจึงหันกลับไปแล้วก็ได้สบตากับรูแฮที่กำลังยิ้มอยู่
“แกล้งเราหรือ”
ดวงตาของกโยซึลเริ่มเปียกชื้น นางเป็นคนที่มีน้ำตาเยอะพอๆ กับรอยยิ้ม รูแฮรู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่ได้เห็นน้ำตาของกโยซึล เขานึกถึงภาพกโยซึลที่นั่งอยู่บนแคร่ น้ำตาไหลไม่หยุด กลิ่นของน้ำตายังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก ขณะที่กโยซึลเอามือไขว้หลังและพิงอยู่ที่ต้นไม้ นางก็ขึ้นเสียงใส่รูแฮ