ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ – ตอนที่ 34-1 คำขอร้อง
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ”
มีแขกมาเยี่ยมที่ตำหนักดงบี เขาเป็นชายที่กโยซึลไม่เคยพบหน้ามาก่อน ผมประบ่าถูกตัดอย่างเรียบร้อย เขาสวมซังทูกวันครอบไว้เฉพาะผมส่วนที่ถูกรวบขึ้น ซังทูกวันของเขาเป็นแบบเรียบง่าย ไม่ได้มีเครื่องประดับตกแต่งเลิศหรูใด
“เป็นเกียรติอย่างที่ได้พบพระองค์ อันที่จริงกระหม่อมเองได้เคยมาเยี่ยมไข้พระชายาเมื่อครั้งที่ทรงล้มป่วยแล้ว แต่ตอนนั้นกระหม่อมมิได้มีโอกาสมาถวายความเคารพ กระหม่อมคือเซจา มีนามว่าบินซองพ่ะย่ะค่ะ”
บินซองแนะนำตัวเองอย่างมีมารยาท เขาดูเป็นคนภูมิฐานและเรียบร้อย อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี จึงดูยังไม่โตเท่าไร แต่เขาสูงและไหล่กว้างมากจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นชายชาตรีโดยแท้
“ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันได้ยินจากแม่นมแล้วว่าพระองค์ทางมาเยี่ยม”
“กระหม่อมเสียใจมากที่ได้ทราบว่า ทรงล้มป่วยหลังจากที่กลับมาจากวังเหนือ”
“หามิได้เพคะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่หม่อมฉันไปเยือนวังเหนือเลย…”
ในขณะที่กโยซึลแลกเปลี่ยนคำทักทายกับบินซอง ดวงตาของนางก็สั่นไหว นางเหลือบมองไปเห็นยังที่ข้างๆ บินซอง ใช่แล้ว คนที่อยู่ข้างๆ บินซองไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นรูแฮที่กำลังนั่งอยู่นั่นเอง เขาส่งยิ้มอ่อนโยนที่คุ้นตา ราวกับตนเพิ่งจะได้เห็นมันมาเมื่อวาน รูแฮกล่าวคำทักทายเล็กน้อย
“ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยพ่ะย่ะค่ะ” คำทักทายของรูแฮ ทำให้บินซองเบิกตากว้าง พลางหันไปมอง
“ท่านพี่ฮวางเซจา ได้เคยพบเจอพระชายามาก่อนหรือ”
“ใช่แล้ว”
“องค์ฮวางเซจาได้เสด็จมาต้อนรับหม่อมฉัน เมื่อครั้งที่หม่อมฉันเพิ่งมาถึงยังอาณาจักรมกกุกแห่งนี้เพคะ” กโยซึลรีบตัดบท ราวกับว่าที่ตนพูดไปเมื่อครู่นั้นคือเรื่องราวทั้งหมด เพราะนางกลัวว่ารูแฮจะพูดอะไรออกมา รูแฮพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น”
“ว่าแต่ ท่านพี่รูแฮรับผิดชอบฝ่ายพิธีการหรือ” บินซองที่พยักขึ้นลงอยู่ก่อนหน้า หันหน้าไปทางขวาของตน “ไม่สิ งานของสำนักการค้าของฝ่ายพิธีการ ท่านพี่แทจาเป็นผู้ดูแลมิใช่หรือขอรับ”
แม้รูแฮจะดูแลรับผิดชอบฝ่ายพิธีการ แต่จำกัดอยู่เพียงในส่วนของการศึกษาและการสอบ หน้าที่หลักของเขาจริงๆ แล้วคือฝ่ายตุลาการต่างหาก กโยซึลสะดุ้งกับคำถามที่บินซองเอ่ยขึ้นอย่างสงสัย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขายังพยักหน้าคล้อยตามอยู่แท้ๆ แต่รูแฮก็เอ่ยตอบไปโดยไม่มีอาการลังเลใดๆ
“ถ้าจะพูดให้ถูกต้อง เดิมที่มันไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายพิธีการ ทว่าฝ่ายในของทางองค์ฮวางแทจาร้องขอมา”
“เช่นนั้น ท่านพี่ฮวางแทจาทรงมอบหมายอย่างนั้นหรือขอรับ”
“ฮึ”
รูแฮไม่ได้ตอบกลับไป เขาทำเพียงหัวเราะเพื่อข้ามมันไป บินซองประกบมือทั้งสองข้างเข้าหากันแล้วพูดด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
“ตามที่คาดไว้ ท่านพี่รูแฮนั้นมากความสามารถ จนท่านพี่ฮวางแทจามอบหมายให้ไปรับเสด็จพระชายาเอกซึ่งเป็นบุคคลสำคัญแทนตัวเอง”
บินซองกล่าวเพื่อยกย่องรูแฮ แต่คำชมของเขากลับทำให้หัวใจของกโยซึลจมดิ่งลงอีกครั้ง เพราะการไปต้อนรับพระชายาเอกเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่บีพาอันกลับมอบหมายให้ผู้อื่นไปทำแทนเสียได้ ช่างไม่ใส่ใจกันเลยจริงๆ นางอดไม่ได้ที่จะคิดว่าความสัมพันธ์ของตนกับบีพาอันนั้นผิดเพี้ยนมาตั้งแต่เริ่มต้น
“พอพูดถึงการไปรับเสด็จพระชายาฮวางแทจาซึ่งเสด็จมาจากแดนไกลแล้ว กระหม่อมก็อดนึกถึงตอนที่ชายาของข้าเพิ่งมาถึงพระราชวังแห่งนี้เสียไม่ได้”
บินซองผู้ซึ่งกำลังยกยอปอปั้นรูแฮอยู่ อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเรื่องมาคุยถึงอดีตของตัวเองกับฮเยจินไปเสียอย่างนั้น มือทั้งสองข้างที่ประสานอยู่ตรงอกถูกยกขึ้นสูง จนเกือบจะแตะที่ปลายจมูก ดวงตาที่เหลือบขึ้นมองเหม่อลอยไปในอากาศที่ว่างเปล่า เป็นประกายระยิบระยับเสียจนจะไม่แปลกเลย หากมีหมู่ดาวตกลงมาในตอนนั้น
“ในตอนนั้นนางแต่งกายด้วยชุดของอาณาจักรจินซอง ตกแต่งด้วยผ้าคลุมหน้าหลากสีและอัญมณีเม็ดใหญ่ นางดูเหมือนหญิงสาวสูงศักดิ์จากฟากฟ้า กระหม่อมไม่เคยเห็นหญิงสาวใดที่สวยดั่งชายาของข้ามาก่อนเลยในชีวิตนี้”
บินซองล่องลอยเข้าไปในความทรงจำที่หวนนึกถึงฮเยจิน เมื่อมองไปที่ท่าทางของเขาที่กำลังหวนนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับฮเยจิน ชายาของเขานั้น ก็สามารถเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งว่าบินซองรักฮเยจินมากเพียงใด ใบหน้าของชายที่มีความรักลึกซึ้งนั้น ช่างดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก
เขาดูมีความสุข รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบล้อมบินซองและฮเยจินเอาไว้ ความอบอุ่นนั้นมันร้อนแรงเสียจนสามารถแผดเผาฝ่ามือได้ แม้จะไม่ได้ไปแตะต้องหรือสัมผัสมันเลยก็ตาม ด้วยความรักที่ร้อนแรงเสียจนอาจทำให้เกิดบาดแผลไฟไหม้นี้ได้นั้น ทำให้กโยซึลไม่อาจทนดูต่อไปได้ นางพยายามหันหน้าหนีไปทางอื่น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือก จากการที่สายของนางที่หันหนีบินซอง ได้สบเข้ากับใบหน้าของรูแฮเข้า สีหน้าของรูแฮนั้น ไม่ได้ต่างไปจากใบหน้าของบินซองที่กำลังมัวเมากับความรักเอาเสียเลย รูแฮจ้องมองกโยซึลด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก แบบเดียวกันกับสายตาของบินซอง
พึ่บ ราวกับว่ามีเปลวไฟกำลังลุกไหม้ กโยซึลห่อไหล่ พร้อมกับก้มหน้ามองลงเบื้องล่าง ปลายนิ้วที่จับชายกระโปรงอยู่ก็พลอยร้อนวูบวาบไปด้วย สายตาของรูแฮนั้น แค่มองก็สามารถทำให้เกิดเปลวไฟร้อนแรงขึ้นได้แล้ว
เหตุใดถึงได้มองเราด้วยสายตาเช่นนั้น
หากหัวใจที่ไม่รักดีถูกล่วงรู้เข้าจากสายตานั่นจะทำอย่างไร ความกังวลของกโยซึลนำพามาซึ่งความร้อนรุ่มที่กำลังแผดเผาร่างกายตน
“ดังนั้นเมื่อกระหม่อมได้บังเอิญพบนางเข้า หลังจากที่นางมาอยู่ในวังได้ไม่นาน กระหม่อมก็ตกหลุมรักนางในทันทีตั้งแต่แรกพบ จึงได้รีบไปอ้อนวอนต่อท่านแม่และท่านพ่อ จนในที่สุดนางก็ได้กลายมาเป็นชายาเอกของกระหม่อม”
บินซองเล่าออกมาด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ฟังเรื่องในความทรงจำของบินซอง กโยซึลก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่จะว่าคล้ายก็คล้าย จะว่าไม่คล้ายก็ไม่คล้ายกัน เพราะมันเป็นเรื่องของหญิงสาวต่างแดนกับองค์ชายที่แต่งงานกันและมีใจให้กัน ดั่งคำพูดที่ว่ากินปูร้อนท้อง ในตอนนี้กโยซึลรู้สึกว้าวุ่นใจไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ความรู้สึกอึดอัดใจนี้ถูกแสดงออกมาอย่างชัดเจนทางสีหน้าของนาง
“กระหม่อมรู้สึกว่าตัวเองจะถลำลึกมากไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าจะคุยเรื่องอันใดกับใครก็มักจะนึกถึงใบหน้าของชายากระหม่อมขึ้นมาเสียทุกครั้ง”
“ดูแล้วช่างมีความสุขนัก ดียิ่งที่เจ้าแสดงความในใจทั้งหมดออกมาเช่นนี้”
บินซองพูดพลางหัวเราะดังลั่น ส่วนกโยซึลพอได้ฟังคำของรูแฮ ก็รู้สึกแปลกพิกล ราวกับว่ามีอะไรมาทิ่มแทงเข้าที่ใจ จนนางต้องชำเลืองตามอง รูแฮเองก็กลับมาทำสีหน้าตามปกติ หรือว่าที่เห็นเขามองด้วยสายตาเช่นนั้นเมื่อครู่ ตนจะคิดไปเอง รูแฮจ้องมองบินซองผู้ที่เพิ่งจะจบการอวดโอ้เรื่องของตัวเอง ด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน ใบหน้าของเขานั้นไร้ซึ่งความอาลัยรักต่อกโยซึล กโยซึลรู้สึกโล่งใจแต่ก็รู้สึกเสียใจด้วยในขณะเดียวกัน
ใช่แล้ว มันหาได้เป็นความรู้สึกที่ควรเปิดเผยออกมาไม่ เขาช่างเก็บซ่อนความรู้สึกได้เก่งเสียจริง
กโยซึลรู้สึกโล่งใจ ทว่าก็เศร้าใจในเวลาเดียวกัน
“พระองค์ทรงดูมีความสุขเสียจริงเพคะ หม่อมฉันอิจฉานัก”
อา วลีตอนท้ายนั่นไม่ควรจะพูดออกไปหรือเปล่านะ มันเป็นคำพูดที่พลั้งปากออกไป แต่ดีที่บินซองเอาแต่เหนียมอายเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่รูแฮที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเห็นว่าบินซองไม่สามารถเห็นสีหน้าของตนได้หรืออย่างไร เขาจึงจ้องมองกโยซึลด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย สายตานั้นทั้งจริงจัง แน่วแน่ และเต็มไปด้วยคำพูดกับความรู้สึกมากมาย สายตานั้นทำให้กโยซึลนึกถึงดอกไม้สีครามกับกระดาษเปล่าที่ถูกเอามาวางไว้ที่ริมหน้าต่างห้องทุกวัน นางกำหมัดแน่นจนชายกระโปรงที่ถูกกำเอาไว้ด้วยยับยู่ยี่
“ว่าแต่…ฮวางเซจามีเรื่องอันใดถึงได้เสด็จมาหาหม่อมฉันพร้อมกับองค์เซจาหรือเพคะ”
กโยซึลเลื่อนสายตาที่มองไปที่รูแฮ ผู้ซึ่งกำลังส่งสายตาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ไปที่บินซองดังเดิม นางตั้งใจพูดถึงบินซองเพื่อดึงตัวเองมาที่สถานการณ์ตรงหน้า และเพื่อเป็นการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปในตัว ที่จริงแล้วมันก็เป็นคำถามที่นางเองสงสัยมากจริงๆ รูแฮเปลี่ยนสีหน้ากลับไปเป็นสีหน้าของพี่ชายคนหนึ่งดังเดิม “บินซองเป็นน้องรักของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านพี่ฮวางเซจา”