ในพระราชวังตะวันตกนั้นมักเต็มไปด้วยเสียงหายใจกระเส่า เหล่าข้ารับใช้ต่างก้มหัว หลับตาและปิดหู แม้จะมองเห็นก็ต้องทำเป็นมองไม่เห็น แม้จะได้ยินก็ต้องทำเป็นไม่ได้ยิน เหล่าข้ารับใช้อยู่ในความสงบอย่างผิดปกติ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงครางกระเส่าที่ทุกคนไม่อาจรับฟังได้ มีเงาดำเงาหนึ่งเคลื่อนกายฝ่าเข้ามา
เงานั้นตรงไปที่ห้องโถงโดยไม่ผ่านเหล่าข้ารับใช้ เป็นการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ที่ไม่ส่งสัญญาณให้ใครได้เห็น เขากางม่านไม้ใผ่ยาวๆ ไว้ที่กลางห้อง ด้านหลังของไม่ไผ่ที่เรียงติดกันถี่นั้นแขวนผ้าผืนบางไว้ ส่วนอีกด้านของของม่านไม้ใผ่นั้น ด้านในมีเงามืดมัวอยู่
“เหตุใดถึงกลับมาเร็วนัก” ดึกวอลที่กำลังลูบไล้ผิวของโอรันอยู่ถามขึ้น เขารับรู้ได้ทันทีที่เงามืดนั้นเข้ามาอย่างเงียบๆ เงามืดนั้นปรากฏตัวออกมาแล้วหมอบลงไป เงาที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีดำจนถึงใบหน้านั้นคือข้ารับใช้ของดึกวอลนั่นเอง
“ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นไร” มือของดึกวอลยังคงไม่หยุด เขาเอ่ยคำถามที่สั้นกระชับออกไป ส่วนโอรันที่นอนอยู่บนตักของดึกวอลนั้นไม่ได้สนใจข้ารับใช้คนนั้น นางจดจ่ออยู่ที่มือของดึกวอลที่เคลื่อนไหวไปมาบนตัวนาง
“กระหม่อมมั่นใจพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่ว่าข้ารับใช้จะรายงานสิ่งใด ดึกวอลก็ยังคงใช้นิ้วมือลูบไล้ร่างกายโอรัน เสียงหอบครางดังออกมาจากปากโอรัน ในขณะเดียวกันข้ารับใช้ก็ทำสีหน้าเฉยชา แล้วรายงานต่อ
“พระชายาฮวางแทจากับฮวางเซจานั้นยังคงแอบเจอกันอยู่ลับๆ เจอกันอยู่บ่อยๆ ที่ตรอกซอยระหว่างพระราชวังตะวันออกและพระราชวังใต้พ่ะย่ะค่ะ พระชายาฮวางแทจาทรงติดต่อเรื่องสถานที่นัดพบผ่านทางข้ารับใช้ของตน แล้วก็ยังเจอกันบ่อยครั้งที่สวนหลังวังฝ่ายนอกอีกด้วย แน่นอนว่าเป็นการพบกันที่ไม่ได้นัดหมาย เป็นการไปพบกันโดยบังเอิญพ่ะย่ะค่ะ”
“มิใช่สิ” ดึกวอลส่ายหัวเพราะคิดว่ามันไม่ใช่ “หลายครั้งหรือ บ่อยครั้งหรือ นั่นมันไม่ชัดเจนสักนิด”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมตรวจสอบแล้วว่าทรงแอบพบกันอย่างลับๆ ที่พระราชวังตะวันออกสี่ครั้ง และที่พระราชวังใต้สองครั้ง ส่วนที่สวนหลังวังฝ่ายนอกนั้นฮวางเซจาจะเสด็จไปในเวลาที่ว่างเว้นจากงานจนมาถึงตอนนี้สองครั้งพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ฮวางเซจากับพระชายาฮวางแทจาก็ทรงอยู่ที่ส่วนหลังวังฝ่ายนอก และนี่ก็เป็นการพบกันโดยบังเอิญเป็นครั้งที่สามในสวนหลังวังฝ่ายนอกพ่ะย่ะค่ะ”
โอรันบิดเอวแล้วหัวเราะเย้ย “แมวที่เรียบร้อยปีนขึ้นไปบนเตาร้อน พระชายาฮวางแทจาทรงน่ารังเกียจด้วยสีหน้าไร้เดียงสา”
“นั่นแหละที่สำคัญ เห็นการกระทำที่น่ารังเกียจนั่นหรือไม่” ดึกวอลรับคำพูดจากโอรัน แล้วถามข้ารับใช้ ข้ารับใช้จึงพยักหน้าตอบว่า
“มีการใกล้ชิดกันเกินงามที่ขัดต่อมารยาทที่ควรจะเป็น มีการจับมือถือแขน เอาตัวพิงกัน โอบกอดกันบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ยังถือว่าเบาเกินไปนัก” ดึกวอลไม่ค่อยพอใจกับการรายงานของข้ารับใช้เท่าไร มือของดึกวอลที่ลูบไล้ไหปลาร้าของโอรันที่นอนคว่ำหน้าอยู่นั้น ยื่นเข้าไปในเสื้อของนางอย่างรวดเร็ว แล้วจับหน้าอกนางไว้แน่น
“เราต้องการเรื่องที่แรงกว่านี้”
“แค่นั้นก็น่าจะสร้างเรื่องฉาวโฉ่ได้แล้วนะเพคะ” โอรันไม่อาจทนต่ออารมณ์ที่พุ่งสูงได้จนตัวสั่น ร่างกายของนางเริ่มร้อนรุ่ม “เพียงเท่านี้ก็สามารถเขี่ยวังตะวันออกกับวังใต้ให้พ้นทางได้ในครั้งเดียวแล้ว เรารีบหาหลักฐานแล้วเปิดเผยมันไม่ดีหรือเพคะ”
“ไม่ ไม่สิ” ดึกวอลยังคงนิ่งเฉย เขาเคาะมือไปที่ร่างกายของโอรัน ที่ตอนนี้อารมณ์กำลังพุ่งสูง “การทำให้เรื่องจบโดยเร็วนั้น มันไม่สนุก”
“แต่โอรันไม่อยากเห็นใบหน้าอันไร้เดียงสาของนางอีกแล้ว” โอรันบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
นางเกลียดกโยซึลตั้งแต่เจอกันครั้งแรกในอุทยานดอกไม้แล้ว ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วจะไม่ค่อยมีคนที่นางชอบนัก ทว่าในหลายๆ ด้านของกโยซึลนั้นช่างขัดหูขัดตานางยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่น่ารักไร้เดียงสา การที่นางเป็นนายหญิงแห่งวังตะวันออก รวมทั้งท่าทางที่เข้ากับคนง่าย ไม่รู้เรื่องราวนั่นด้วย
“นางผู้นั้นคงจะทำให้โอรันไม่พอใจอยู่ไม่น้อย”
“จะต้องรออีกนานเท่าไรหรือเพคะ กำจัดนางที่ขัดหูขัดตาออกไปทันทีเลยไม่ได้หรือเพคะ”
“เรื่องนี้มิใช่ว่าน่าสนใจมากหรือ คงยากที่จะพบเจอเหตุการณ์ที่น่าสนุกเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง”
ดวงตาดำสนิทของดึกวอลโค้งลง แม้ดูเหมือนเป็นรอยยิ้มธรรมดา ทว่าเบื้องหลังนั้นมีความคิดเจ้าเล่ห์หลบซ่อนอยู่
“เรามีลางสังหรณ์ว่าหากอดทนเฝ้ารอดู จะได้เห็นอะไรที่น่าจะสนุกมากกว่านี้”
“จะทรงรอดูสิ่งที่สนุกแค่ไหนกัน ถึงได้ทรงหยุดมือลงเช่นนี้เพคะ” โอรันโอบกอดเอวของดึกวอลไว้อย่างนั้น ดึกวอลหัวเราะอย่างหยาบโลน ราวกับว่าไม่อาจทนต่อการเร่งเร้าของนางได้
“เอาล่ะ ในเมื่อชายาของเราร้องขอถึงเพียงนี้ เราจะขอดูความสนุกเรียกน้ำย่อยสักนิดก่อนก็ได้”
แผล่บ ดึกวอลแลบลิ้นออกมาอย่างน่าขัน ปลายลิ้นของเขาสัมผัสผิวกายของโอรันอย่างรวดเร็ว
***
วันนี้ช่างแปลกที่รูแฮเรียกนางให้ไปพบที่ด้านหลังพระราชวังเหนือ ไม่ใช่ตอนกลางคืน หรือเช้ามืดแต่กลับเป็นตอนบ่าย ให้ไปพบในพระราชวังเหนือในช่วงเวลาที่มีหูมีตาคอยจ้องอยู่เต็มไปหมด แม้จะสงสัยแต่
กโยซึลก็ไปที่พระราชวังเหนือแต่โดยดี
ณ มุมห่างไกลทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง กโยซึลมองไปรอบๆ กายแล้วเดินตามกำแพงพระราชวังไปอย่างระมัดระวัง กำแพงสูงที่ต้องหันมองไปจนสุดด้านหลังถึงจะเห็นปลายกำแพง ได้แสดงถึงเกียรติยศของพระราชวัง และเนื่องจากมันน่าจะเป็นที่ที่ไกลมากจึงไม่มีทหารและข้ารับใช้ในวังอยู่เลย
“กโยซึล” กโยซึลหันไปทางเสียงที่เรียกนาง รูแฮเดินยิ้มเข้ามาหาอย่างสดใส
“เนื่องจากกำแพงเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้นกว้างใหญ่ แล้วสถานที่ก็ไม่ชัดเจน ข้าจึงกังวลว่าจะได้พบกันหรือไม่ โล่งอกไปทีที่ได้เจอกันเช่นนี้”
“นั่นคืออะไรหรือ” คำถามออกมาจากปากของกโยซึลก่อนการทักทายเสียอีก ดูเหมือนรูแฮจะถือปิ่นโตไม้อันใหญ่อยู่ เขายิ้มให้กับคำถามงงงันนั้น แล้วหยิบปิ่นโตไม้ขึ้นมาเขย่า
“ข้าเอาข้าวปั้นกับของว่างมานิดหน่อย”
“ข้าวปั้นกับของว่างหรือ”
“ข้ากำลังจะชวนท่านออกไปเที่ยวเล่น”
“ออกไปเที่ยวเล่นหรือ”
ออกไปเที่ยวเล่นอะไรกัน กโยซึลมองรูแฮด้วยดวงตากลมๆ ราวกับถามว่าที่พูดนั้นหมายถึงอะไร
“ข้าได้เตรียมไว้เพื่อกโยซึลที่คิดถึงการเที่ยวเล่นสมัยอยู่ฮวากุก และที่ดูน่าจะป่วยบ่อยๆ เพราะไม่สามารถแสดงนิสัยที่ชอบเที่ยวเล่นออกมาได้ในพระราชวังแห่งนี้”