วันนี้กโยซึลกออกไปพบรูแฮมาทั้งวัน และกลับมายังตำหนักดงบีในตอนที่ฟ้าเริ่มมืดลง หลังจากที่นางกินข้าวเย็น แล้วกำลังใช้เวลาว่างในยามค่ำอยู่นั้น กโยซึลก็ไม่อาจอดกลั้นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจไว้ได้ นางลุกขึ้นในทันใด แล้วเดินออกไปนอกห้องบรรทมอย่างรวดเร็วเพื่อมองดูการเคลื่อนไหวภายนอก เหล่าข้ารับใช้ในตำหนักดงบีลดน้อยลงกว่าครึ่งแล้ว และแม่นมเอง หลังจากค่ำลงก็ไม่ได้สอดส่องกโยซึลมากนัก กโยซึลเคลื่อนไหวออกจากห้องบรรทมอย่างว่องไว และเดินออกจากตำหนักดงบีไปอย่างเงียบเชียบ นางเดินฝ่าแสงจันทร์มุ่งหน้าไปยังทิศใต้
ในตอนนี้กโยซึลคุ้นชินกับตำหนักนัมชอนพอๆ กับตำหนักดงบีแล้ว นางเดินตรงไปที่หน้าต่างของตำหนักอย่างไร้ซึ่งความลังเลแล้วเคาะไปที่หน้าต่าง ไฟจากตะเกียงภายในห้องยังคงส่องสว่าง แม้รูแฮจะยังไม่นอน ทว่าเขาก็ไม่อาจได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างได้ในทันที กโยซึลเคาะอยู่อย่างนั้นจนมือเริ่มชา ในที่สุดก็มีเงาลางๆ จากอีกฟากหนึ่งเคลื่อนเข้ามา นางเคาะหน้าต่างอีกครั้ง หลังจากนั้นหน้าต่างจึงถูกเปิดออก
“กโยซึล!” รูแฮเมื่อเห็นว่ากโยซึลยืนอยู่ข้างนอกก็ตกใจ ร้องตะโกนออกมา ทว่าหลังจากนั้นเขาก็หันซ้ายหันขวา มองสำรวจรอบๆ แล้วลดเสียงลง
“เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ในยามนี้ รู้หรือไม่ว่ามันอันตราย”
“ไม่ต้องห่วง เพราะแม้แต่แม่นมก็ไม่รู้ว่าเรามาที่นี่ เรามีเรื่องที่ต้องพูดกับรูแฮในวันนี้ ในตอนนี้ จึงได้มาพบรูแฮ”
“ตอนนี้หรือ”
รูแฮมักจะไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน กโยซึลมักจะลงมือทำในทันที ทว่าถึงกระนั้นนางก็ไม่อาจมาหาตนถึงตำหนักอย่างกะทันหันเช่นนี้ได้ รูแฮนั้นตกใจเป็นอย่างมาก ถึงขั้นพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก พร้อมทั้งจ้องมองไปที่กโยซึลอย่างงุนงง ทันใดนั้นกโยซึลที่ยืนอยู่ข้างนอกก็ยื่นมือออกมา
“จะปล่อยให้เรายืนอยู่อย่างนี้หรือ”
รูแฮจึงดึงนางเข้ามาข้างใน หลังจากที่กโยซึลเข้ามาภายในห้องบรรทมของรูแฮแล้ว นางก็เข้าเรื่องโดยทันที ก่อนที่รูแฮจะได้ปิดหน้าต่างเสียอีก
“บอกเรามาเถิด”
“เรื่องใดหรือ”
รูแฮปิดหน้าต่างและลั่นดาลเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับมา กโยซึลยังคงจ้องมองเพียงแค่รูแฮ และจดจ่ออยู่กับหัวข้อสนทนา ต่างกับรูแฮที่ยังคงเอาแต่มองไปรอบตัว และกังวลกับการมาเยือนอย่างกะทันหันของนาง
“รูแฮยังคงกังวลกับคำทำนายประหลาดนั่นอยู่ใช่หรือไม่”
ตาของรูแฮเบิกกว้าง พร้อมทั้งเหลือบมองรอบตัวไปมา
“ดูออกถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
“เห็นได้ชัดเจนนัก”
กโยซึลจับมือของรูแฮเข้าหาตัว ทั้งคู่นั่งจับมือกันอยู่บนเตียง ต่างจ้องมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม กโยซึลไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดรูแฮถึงได้กังวล เพราะนางย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจอยู่แล้ว
เพราะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างชายาฮวางแทจาและฮวางเซจา
เพราะทั้งคู่ต่างมีพระสวามีและชายาของตนอยู่แล้ว
เพราะถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ทั้งคู่ก็ยังคงมอบใจให้กัน
กโยซึลเริ่มเปิดประเด็นอย่างกะทันหัน เหมือนกับที่นางมาปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้
“รูแฮบอกเองไม่ใช่หรือ ว่ามันเป็นเพียงคำพูดล่อลวงให้หลงเชื่อเพียงเท่านั้น เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมของคนค้าขายที่ต้องการเงินเพียงเท่านั้น”
รูแฮที่ได้เห็นกโยซึลกำลังประนามหมอดูแก่คนนั้นอย่างเต็มกำลัง พลันก็เหยียดยิ้มขึ้น และรอยยิ้มนั้นก็ทำให้กโยซึลยิ่งโมโหขึ้นไปอีก
“จำได้หรือไม่ นางที่เอาแต่พรั่งพรูคำที่ยากจะเข้าใจ อยู่ๆ ก็ละความสนใจจากเรา แล้วจมอยู่กับความคิดของตนเอง”
“ราวกับว่านางถูกเข้าทรง”
“ใช่แล้ว นั่นเป็นการปั้นแต่งขึ้นทั้งสิ้น มันไม่เป็นธรรมชาติเลยสักนิด ไม่เลย เพราะอย่างนั้นเราถึงมองออกอย่างไรเล่า”
“ในตอนนั้นเจ้ามองออกอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ ในตอนแรกเราเองก็โอนอ่อนตามไปอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อกลับมาคิดดูอีกที มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน หากเราสงสัยและถามสิ่งใดเพิ่ม นางจะต้องเรียกร้องเงินจากเราเป็นแน่”
รูแฮลูบหัวกโยซึลราวกับกำลังพยายามจะทำให้นางใจเย็นลง ไม่รู้ว่าในช่วงเวลาอันสั้นนี้ นางโมโหมากเพียงใด เขาถึงสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากศีรษะของนางเช่นนี้
“ข้ารู้ ข้ารู้ดี ข้าเองก็คิดอย่างนั้นอยู่เช่นกัน ในหัวคิดเช่นนั้น ทว่า…”
แววตาของรูแฮสั่นไหวอีกครั้ง แววตาเศร้าหมองที่ใช้มองกโยซึลในช่วงนี้กลับขึ้นมาอีกครั้ง กโยซึลจับมือทั้งสองข้างของรูแฮไว้แน่น
“เราลืมมันไปหมดแล้วว่านางพูดอะไรบ้าง ที่จริงแล้วเราจำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะนางเอาแต่พร่ำคำแปลกประหลาด และไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ใช่แล้ว เป็นคำพูดที่หาที่ไปที่มาไม่ได้เลยสักนิด”
“เพราะรูแฮนั้นฉลาดเฉลียวจึงยิ่งถูกคำพูดตื้นเขินเหล่านั้นชักจูง เพราะเอาแต่พยายามวิเคราะห์ถึงความหมายของมัน”
“กโยซึลพูดถูกแล้ว”
รูแฮจุมพิตลงบนนิ้วมือของกโยซึลที่จับมือของตนอยู่ และนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงเริ่มพูดต่อ ทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังคงสัมผัสนิ้วมือของกโยซึล
“มันไม่ได้เป็นเพราะคำทำนายนั่นหรอก เพียงแค่ความกังวลที่อยู่ในใจของข้ามันเพิ่มขึ้นเท่านั้น ข้าทำให้เจ้าพลอยเป็นกังวลไปด้วยเสียแล้ว ช่างเป็นคนไม่เอาไหนเสียเลย”
มือของกโยซึลรู้สึกจักจี้เพราะริมฝีปากของรูแฮ ทันทีที่ลมหายใจของเขาสัมผัสที่นิ้วมือของนาง ไออุ่นที่ส่งมานั้นก็ทำให้หัวใจของนางสั่นไหว
“หากความสัมพันธ์ของเราไม่เป็นเช่นนี้ ก็คงจะไม่ต้องมาคอยกังวล คงจะนั่งหัวเราะออกมา ด้วยเพราะมันเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งสิ้น”
“คงจะเป็นอย่างนั้น หากความสัมพันธ์ของเราไม่เป็นเช่นนี้”
ความสัมพันธ์เช่นนี้
ทั้งคู่ทุกข์ใจอยู่มากนัก จนถึงขึ้นเรียกความสัมพันธ์ของพวกตนอย่างนั้น
“แต่ขอให้รู้ไว้อย่างหนึ่งว่า” กโยซึลจ้องมองไปที่รูแฮอย่างตั้งมั่น ราวกับกำลังพยายามที่จะลืมเลือนความทุกข์ใจนั้น “มีเพียงรูแฮเท่านั้น ที่เรารักได้”
“ข้าเองก็เช่นเดียวกัน”
รูแฮวางมือลงบนแก้มของกโยซึล กโยซึลวางมือของตนลงบนหลังมือนั้นอีกทีหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า
“อย่าได้กังวล และหวั่นเกรงสิ่งใดเลย” น้ำเสียงอ่อนโยนของกโยซึลถูกส่งตรงไปยังรูแฮ
“ถึงแม้จะไม่มีผู้ใดรู้ ถึงแม้จะบอกผู้ใดไม่ได้” น้ำเสียงหนักแน่นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูแฮตั้งใจฟังกโยซึลพูด ราวกับไม่ต้องการพลาดแม้แต่คำเดียว
“รูแฮคือคนของเรา และเราคือคนของรูแฮ”
คนของเรา ของเราเพียงผู้เดียว
ความเงียบบังเกิดขึ้นระหว่างกโยซึลและรูแฮ ทว่าสายตาที่ทั้งคู่ส่งให้กันนั้นมันลึกซึ้งนัก ราวกับว่าทั้งคู่พูดคุยกันมากกว่าครั้งไหน หลังจากที่ทั้งสองคนจ้องมองกันอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง รูแฮก็ซบหน้าผากของตนลงที่ไหล่ของกโยซึล
“ในตอนนี้ข้ากลับต้องพึ่งพิงเจ้าที่เคยร้องไห้อยู่บนเกี้ยวเสียแล้ว”
มันเป็นความกังวลใจที่เขาสร้างขึ้นเอง เป็นความหวาดกลัวที่ทำให้มันเกิดขึ้นมาเอง ทว่ารูแฮได้รู้แล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องอดทนกับมันเพียงคนเดียวอีกต่อไปจากหญิงสาวตรงหน้านี้