วันนี้ในพระราชวังค่อนข้างยุ่งวุ่นวายกับการเตรียมงานเลี้ยงฉลองวันประสูติของโดฮวาน ในขณะที่เหล่าข้ารับใช้กำลังวุ่นวายอยู่นั้น ในพระราชวังกลางที่อยู่ห่างจากที่จัดงานเลี้ยงไปนิดหน่อยกลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ตึงเครียด
ออฮยูลเจได้เรียกให้เหล่าองค์รัชทายาทที่พูดคุยกันเรื่องงานบ้านงานเมืองเสร็จแล้วกำลังจะกลับไปตำหนักของตนเองอยู่ต่อ บีพาอันยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องใด หรือเพราะไม่สนใจว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องใดกันแน่ อีกด้านหนึ่งสีหน้าของดึกวอลที่ร่าเริงอยู่ตลอดเวลากลับแข็งทื่อ เขายกยิ้มอย่างไม่สบายใจและเหลือบตามองไปที่บีพาอัน ส่วนรูแฮกับบินซองนั้นได้แต่สงสัยว่าออฮยูลเจเรียกพวกเขาไว้ทำไมเท่านั้น ไม่ได้คาดเดาหรือคิดสิ่งใด
ในพระราชวังที่เมื่อสักครู่เจื้อยแจ้วไปด้วยเสียงของเหล่าข้าราชบริพารตอนนี้ได้เงียบสงัดลง และออฮยูลเจก็เริ่มเปิดปากพูด พร้อมกับส่งเสียงไอออกมาเบาๆ
“เรามีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับรัชทายาททั้งสี่ จงอยู่ที่นี่ก่อน”
นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว ทันทีที่ออฮยูลเจเริ่มพูด ทุกคนที่ยืนก้มหน้าอยู่ก็มองขึ้นไปที่ออฮยูลเจ ออฮยูลเจที่ค่อยๆ ไล่มองทั้งสี่คน และพูดขึ้น พลางใช้มือลูบหนวดเคราที่เลี้ยงไว้ยาวไปด้วย ที่ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มเล็กๆ แฝงอยู่
“ในวันพรุ่งนี้ ในงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของแทฮวางกุน โดฮวาน เราจะแต่งตั้งเด็กคนนี้ให้เป็นฮวางแทซน”
ทุกคนจากวังทั้งสี่ต่างสะดุ้งตกใจยกเว้นบีพาอัน แม้จะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ แต่ที่ผิดคาดไปจากความคิดทุกคนคือโดฮวานนั้นยังมีอายุน้อยอยู่ พรุ่งนี้โดฮวานก็จะอายุสามขวบ สถานการณ์ในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ การที่เด็กน้อยคนนี้ถูกแต่งตั้งให้เป็นฮวางแทซนอย่างกะทันหันนั้น เขาจะต้องแบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงนัก นอกจากนี้ยังมีแทฮวางกุน มูที่ปีนี้อายุจะครบสิบปีอยู่อีกคน สีหน้ายิ้มแย้มของดึกวอล พ่อของมูนิ่งสนิทไปอย่างเห็นได้ชัด
“แม้จะมีรัชทายาทจากวังทั้งสี่ และเหล่าพี่น้องของข้าพเจ้า รวมถึงลูกของข้าพเจ้าอีกมากมายที่อยู่นอกราชสำนัก แต่มันเป็นความจริงที่ว่าบีพาอันนั้นแข็งแกร่งที่สุด ตัวข้าพเจ้านั้นไม่ได้เยาว์วัยแล้ว จักรพรรดิจะถูกเปลี่ยนเมื่อใดก็เป็นได้ นี่มิใช่เรื่องแปลกอันใด และจักรพรรดิองค์ต่อไปนั้นก็คือบีพาอันอย่างแน่นอนมิใช่หรือ”
“องค์จักรพรรดิ พระองค์ยังทรงมีพลานามัยที่แข็งแรงอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
บีพาอันพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่นิ่มนวลต่างจากคำที่พูดออกมา มันเป็นเพียงคำพูดตามมารยาท ทุกคนรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว ออฮยูลเจยิ้มให้กับบีพาอันที่รักษามารยาทนั้น
“บีพาอัน ในเมื่อเจ้าโน้มน้าวเก่งเยี่ยงนี้ แล้วอายุของโดฮวานจะมีปัญหาอันใด ในครานี้ที่เหล่าลูกหลานมีน้อยอย่างเห็นได้ชัดถึงเพียงนี้ การที่จะมารอคอยแทฮวางกุนหรือลูกหลานที่จะถือกำเนิดอีกนั้นนับเป็นเรื่องไม่ควรนัก ข้าพเจ้าคิดว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่เร็วเกินไป ทว่าสีหน้าเมื่อสักครู่ของดึกวอลทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ค่อยดีนัก”
สายตาอันแหลมคมของออฮยูลเจทิ่มแทงไปที่ดึกวอล แม้เขาจะยังคงใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอด แต่รอยยิ้มนั้นแข็งกระด้างขึ้น
“ในฐานะที่เจ้าเป็นบิดาของมู รู้สึกไม่สบายใจหรือที่โดฮวานจะได้เป็นฮวางแทซน”
แม้จะไม่ใช่การตวาด แต่น้ำเสียงที่สูงขึ้นของออฮยูลเจนั้นทำให้ดึกวอลต้องก้มหัวลง
“กระหม่อมจะไปมีความคิดที่ไม่ดีเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่มิอาจร่วมแสดงความยินดีได้อย่างสมควร เหตุว่ามีเรื่องน่ากังวลอยู่เรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องน่ากังวลอย่างนั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าพระบาท”
ออฮยูลเจเอียงตัวไปหาดึกวอล ส่วนดึกวอลคลานเข่าไปด้านหน้า แล้วก้มหัวลง
“มีข่าวลือที่รุนแรงถูกพูดถึงในหมู่ผู้คน…” ดึกวอลพูดอย่างกำกวม
ออฮยูลเจขยับคิ้วขึ้นลง ใช้กำปั้นทุบลงไปที่พนักเก้าอี้อย่างดัง
“ดึกวอลเจ้ากำลังพูดจาเล่นลิ้นเยี่ยงพวกคนเจ้าเล่ห์เพทุบายอะไรอยู่ ในฐานะที่เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ปกครองพระราชวังทั้งสี่เหตุใดจึงพูดจากำกวมเยี่ยงนี้”
การเทความสนใจและความตึงเครียดขึ้นสุด ดึกวอลที่พยายามเล่นลิ้นเพื่อต้องการให้ผู้คนตกตะลึงกับสิ่งที่ตนจะพูดออกมามากขึ้นนั้น สะดุ้งตกใจและรีบตั้งตัวตรง แม้ออฮยูลเจจะเป็นองค์จักรพรรดิผู้สูงวัยแต่ก็มิอาจเพิกเฉยต่อความน่าเกรงขามของเขาได้เลย ดึกวอลรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ไหลไปตามแผ่นหลังของตน เขารู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะพูดตอนนี้นั้นอันตรายเพียงใด และเพราะว่ามันอันตรายจึงจำเป็นที่จะต้องพูดในตอนนี้
“ขอโปรดทรงกรุณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าจะกระทำการผิดพลาด เนื่องจากข่าวลืออันทุเรศพวกนี้ที่พวกนางรับใช้ต่างพูดถึงกัน”
“ข่าวลือรุนแรง ข่าวลือทุเรศ พูดจากซ้ำซาก” ทันทีที่ออฮยูลเจขึ้นเสียง ดึกวอลก็รีบก้มหัวลง
“ยังไม่รีบพูดอีกรึ”
ริมฝีปากของดึกวอลที่กำลังก้มหัวอยู่เริ่มเผยรอยยิ้ม ตอนนี้ตนได้ทำให้ออฮยูลเจเดือดดาลแล้ว เพราะฉะนั้นคำพูดที่จะพูดออกไปนั้นต้องมีผลเป็นอย่างมากแน่นอน
“กระหม่อมเกรงกลัวที่จะพูดสิ่งนี้ออกมา ทว่ามีคำพูดพล่อยๆ ที่ว่าบิดาของแทฮวางกุน โดฮวานนั้นมิใช่
ฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ดึกวอลพูดจบ ในท้องพระโรงก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา ใบหน้าของดึกวอลที่ก้มอยู่นั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
การที่พูดอะไรออกไปแล้วเกิดความเงียบขึ้นนั้นมีผลมากกว่าการมีการตอบสนองในทันที แต่ในความเป็นจริงนั้นสีหน้าของบีพาอันที่กำลังถูกพูดถึงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่แม้แต่จะมองไปที่ดึกวอล ออฮยูลเจที่กำลังพิจารณาใบหน้านั้นของบีพาอันลูบริมฝีปากของตน นิ้วอันเรียวยาวของออฮยูลเจแทรกเข้าไปตามเคราที่เลี้ยงไว้จนยาว
“เป็นเรื่องที่น่าสนุกยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้นบิดาแท้ๆ ของโทฮวานคือผู้ใดกันแน่”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของดึกวอลนั้นอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นสีหน้าระทม เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่รูแฮที่กำลังหน้าซีด
“กระหม่อมเกรงที่จะบอกให้ทราบว่า ฮวางเซจาเป็น….”
“ยังมิหุบปากอีกหรือ!”
ปัง!
ในที่สุดออฮยูลเจก็ตวาดออกมา ออฮยูลเจที่หน้าแดงขึ้นไม่ได้เพียงแค่ทุบไปที่พนักเก้าอี้อย่างแรงเท่านั้น แต่เขาจับพนักเก้าอี้ไว้แน่น แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“แทจารู้ตัวใช่หรือไม่ว่าตนเองกำลังพูดสิ่งใดอยู่ การพูดจาพล่อยๆ อย่างบังอาจเช่นนี้ พูดมาได้อย่างไรว่าบิดาของโดฮวานมิใช่ฮวางแทจา แต่เป็นฮวางเซจา”
แม้ออฮยูลเจจะพูดตะคอกใส่ดึกวอล แต่เขากลับจ้องมองไปที่รูแฮที่อยู่อีกฝั่ง สายตาเฉียบแหลมของออฮยูลเจนั้นสังเกตุเห็นสีหน้าที่ซีดเผือด และมือที่กำหมัดเพื่อซ่อนความสั่นเทาของรูแฮ และตอนนี้สายตาของออฮยูลเจก็มองไปที่บีพาอัน แต่แน่นอนว่าสีหน้าของบีพาอันนั้นไม่เปลี่ยนไปเลย ออฮยูลเจที่กำลังแอบยิ้มอย่างลับๆ ให้กับท่าทางของบีพาอันที่เป็นไปตามที่เขาหวังไว้นั้น เลื่อนสายตาไปมองรูแฮทันที
“ฮวางเซจา! เจ้าจงแถลงไข ข่าวโคมลอยเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้เยี่ยงไรกัน”