บทที่ 40 สงครามเริ่มขึ้นแล้ว
วีรยุทธเห็นรพีพงษ์ยอมรับ ก็แอบแสยะยิ้มในใจ
“ไอ้รพีพงษ์นี่มันไร้น้ำยาซะจริงๆ รู้อยู่กับใจว่าเรื่องมัน เป็นยังไง แต่ก็ยังพูดคลุมเครืออีก ถึงเขาจะอธิบายจริงๆ ศศินัดดาก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี”
เมื่อตอนกลางวัน เขาคิดวางแผนเพื่อที่จะป้ายสีรพีพงษ์ ให้เป็นแพะรับบาปแทน แบบนี้ล่ะก็ เขาจะได้ไม่ต้องเสียเงิน สักบาทสักสตางค์ แถมยังได้ทีวีเครื่องนั้นเป็นของตัวเองอีก
เดิมทีเขาเตรียมข้อโต้แย้งไว้มากมาย แต่ตอนได้เห็น ปฏิกิริยาตอบสนองของ รพีพงษ์แล้ว เขาคิดว่าคำพูดพวก นั้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เท่ากับว่าไอ้ไร้น้ำยานี่มันยอมรับผิด ด้วยตัวเอง
“น้องนัดดา ยิ่งพูดอีกก็ถูกอีก คนประเภทนี้ใจมันลึกเกิน ไป ยังไงก็ให้อยู่ที่นี่ไม่ได้” วีรยุทธเปิดปากพูด
“พี่วี ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่จริงๆนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ ฉันก็ คงดูไม่ออกว่ารพีพงษ์ไอ้คนไร้ประโยชน์นี่มันร้ายซะขนาด นี้ ไม่คิดเลยว่ามันจะมาแว้งกัดกันได้” ศศินัดดามองไปทาง วีรยุทธด้วยความซาบซึ้งใจ
” แหมน้องล่ะก็ จะขอบคุณหรือไม่ขอบคุณ ก็ไม่จำเป็น อีกแล้วล่ะ ติดเพียงแค่ทีวีเครื่องนั้นถูกไอ้รพีพงษ์ทำพัง ฉัน ก็ไม่รู้จะให้เงินเธอยังไง อีกหน่อยยังต้องหาคนมาซ่อมทีวี เครื่องนั้นอีก คงจะต้องจ่ายอีกไม่น้อย”
วีรยุทธทำหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ พูดราวกับว่าศศินัดดาต้อง
ให้เงินเขาอีก
ศศินัดดาได้ยินวีรยุทธก็ไม่คิดจะให้เงินอีก ความซาบซึ้งใจเมื่อครู่สลายหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ที่วีรยุทธพูดก็ถูก เรื่องนี้ไม่ควรให้วีรยุทธรับผิดชอบเรื่องเงิน
เธอโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่ รพีพงษ์ ตอนนี้ กลายเป็นว่า รพีพงษ์เป็นคนทำให้เธอเสียเงินไปกว่าสี่หมื่น หยวน
“แกนี่มันไอ้ไร้ประโยชน์ ไม่รู้จักพัฒนาปรับปรุงตัวเอง รู้จักแต่จะมาแว้งกัด ตอนนี้เป็นไงล่ะ ทำให้ฉันเสียเงินไปตั้ง สี่หมื่นหยวน เงินนี้แกจะทำยังไง! ” ศศินัดดาจ้องรพีพงษ์ ตาถลึง
“ผมไม่ได้เป็นคนทำทีวีพัง หรือจะพูดว่า ทีวีมันไม่ได้พัง ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” รพีพงษ์พูดเรียบๆ
“แกหมายความว่ายังไง แกหาว่าฉันโกหกหรอ ฉันอายุปูน นี้แล้ว จำเป็นต้องมาโกหกเพียงเพราะแค่เงินสี่หมื่นหยวน หรือไง น้องนัดดาถ้าสงสัยฉันล่ะก็ ไปบ้านฉันด้วยกันตอน นี้เลย เราไปดูให้เห็นมันกับตาว่าทีวีมันพังหรือไม่พัง! “วีร ยุทธพูดกระโชกโฮกฮาก
ศศินัดดาเห็นวีรยุทธโมโห ก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี “พี่วี อย่าโกรธเลยนะ ไอ้รพีพงษ์คนพิการทางสมองนี่มัน เป็นคนยังไงพี่ก็รู้ อย่าลดตัวลงไปต่อปากต่อคำกับมันเลย แค่พี่พูดฉันก็เชื่อแล้ว”
วีรยุทธส่งเสียงหีในลำคอ พลางสะบัดมือ พูดเสียงเย็น “อย่างนั้นฉันก็คงต้องขอตัวก่อนล่ะ ถ้าพวกเธอไม่เชื่อล่ะก็ อยากจะไปดูที่บ้านฉันเมื่อไหร่ก็เชิญ ถ้าขืนฉันอยู่ต่อไป ไม่รู้ว่าจะมายัดข้อหาอะไรให้ฉันอีก”
พูดจบ วีรยุทธก็หมุนตัวเดินออกไปจากบ้านของศศิ นัดดา ด้วยท่าทางราวกับเสียใจที่ถูกใส่ร้าย
ศศินัดดาเองก็รีบเดินตามไปส่ง ปากพูดเอาใจไม่หยุด จริงๆแล้วในใจเธอก็แอบสงสัยว่าเป็นเพราะวีรยุทธไม่ อยากให้เงิน ก็เลยตั้งใจพูดแบบนี้
แต่เธอเป็นคนรักษาข้าตา ยังไงก็ไม่สามารถว่าญาติตัว เองซึ่งๆหน้าได้
อีกทั้ง เทียบกับความสงสัยที่มีต่อวีรยุทธ แล้ว เธอยอมที่ จะเชื่อมากกว่าว่ารพีพงษ์เป็นเนรคุณ
หลังจากที่ส่งวีรยุทธเรียบร้อยแล้ว ศศินัดดาปิดประตู บ้าน มองไปทางรพีพงษ์ด้วยความโกรธเกลียดเต็มประดา
“แกทำให้ฉันสูญเงินตั้งสี่หมื่นหยวน เรื่องนี้จะปล่อยไปไม่ ได้ แถมแกยังมากินมานอนบ้านฉันนานเป็นปีๆขนาดนี้ รวมๆแล้วแกต้องจ่ายเงินให้ฉันทั้งหมด สองแสนหยวน หย่า กับแคลร์ของฉัน จากนั้นก็ไสหัวออกไปจากบ้านฉัน” ศศิ นัดดาพูดอย่างไร้เยื่อใย
อารียารีโต้กลับ “แม่ แม่ไม่คิดว่ามันมีอะไรแปลกๆหรอ เรื่องที่รพีพงษ์จะไปถวงเงิน เขาบอกหนูไว้ก่อนแล้ว เป็นไป ไม่ได้ที่เขาอยากจะหุบเงินแม่ไว้ แม่ก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอาวี เป็น คนยังไง ทำไมแม่ถึงต้องสงสัยรพีพงษ์ด้วย”
“แคลร์ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ไอ้หมอนี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ปอดแหก แต่จริงๆแล้วในใจมันคิดยังไงใครจะไปรู้ เงินตั้งสี่ หมื่นหยวนเลยนะลูก ลูกคงจะไม่ได้อยากให้แม่ไปดูที่บ้าน อาวี จริงๆใช่ไหม เงินนี้ยังไงรพีพงษ์ก็ต้องหามาคืน”
อารียารู้สึกผิดแทนรพีพงษ์อย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้
เธอเองเพิ่งเข้าใจว่ากี่ปีมานี้รพีพงษ์ต้องทนกับอะไรมาบ้าง “ทีวีเครื่องนั้นรพีพงษ์เป็นคนซื้อ ถึงเขาจะเป็นคนทำพัง จริงๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องชดใช้อะไร” อารียาพูดด้วยความโมโห
ศศินัดดาทำหน้าดูถูกเหยียดยาม พลางพูด “แคลร์ ถึงลูก จะอยากพูดแทนเขา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องโกหกแม่หรอก รพี พงษ์กี่ปีมานี้กินแต่ข้าวบ้านเรา เขาจะมีเงินซื้อทีวีที่แพง ขนาดนี้ได้ยังไง คงจะให้ลูกควักแทนมากกว่า”
อารียาเริ่มรู้สึกว่าศศินัดดาพยายามหาเรื่องโดยไร้
เหตุผล ไม่ว่าเธอจะพูดยังไง เกรงว่าศศินัดดาก็จะยังโยน เรื่องนี้ให้รพีพงษ์อยู่ดี ศศินัดดาหันไปทางรพีพงษ์ พลางพูด “แกนี่มันไร้ ประโยชน์ซะยิ่งกว่าสัตว์จริงๆ เรื่องเกิดแล้วยังจะให้ลูกสาว
ฉันรับหน้าแทนอีก ถ้าแกมีเงินซื้อทีวีราคาแพงขนาดนี้จริงๆ
ล่ะก็ ลูกสาวฉันคงไม่ต้องมาทนลำบากไปกับแกแบบนี้
“เงินพวกนั้น ผมจะหามาคืนให้” รพีพงษ์เอ่ยปาก
ศศินัดดาเบ้ปาก พูด “อย่ามาทำเป็นพูดอวดดีไปหน่อย เลย แกมีดีแค่ไหนกันเชียว วีรยุทธขึ้นชื่อว่าลื่นซะยิ่งกว่า ปลาไหลถ้าแกเอาเงินคืนจากเขามาได้ พระอาทิตย์คงจะ ขึ้นทางทิศตะวันตกแน่ล่ะ”
รพีพงษ์ได้แต่เงียบกับอารียา ศศินัดดารู้ทั้งรู้ว่าไอ้วีรยุทธ นี่มันปลิ้นปล้อนแค่ไหน แล้วยังจะพูดแทนเขาอีก นี่สินะที่ เรียกว่าถึงจะตายก็ขอรักษาหน้าไว้ก่อน
“เรื่องจะไปถวงเงิน แกเป็นคนพูดเองนะ ถ้าเอาคืนมาไม่ ได้ล่ะก็ แกไม่ต้องมากินข้าวบ้านนี้อีก แล้วฉันจะให้แกหย่า กับแคลร์คอยดู!
ศศินัดดาพูดอีกประโยค ก่อนที่จะหมุนตัวเดินเข้าห้องไป ศักดาเองก็มองไปทางพวกเขาอย่างลำบากใจ ก่อนจะ
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเดินตามเข้าห้องไป
ไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจเท่านั้น เปรียบ เทียมกับรพีพงษ์แล้ว เขาต่างหากที่สมควรถูกเรียกว่าหนู ตกถังข้าวสารของจริง
“รพีพงษ์ ขอโทษจริงๆนะ แม่ฉันหัวแข็งมาแต่ไหนแต่ไร แล้ว ฉันเชื่อว่านายไม่ได้เป็นคนทำทีวีพัง อย่าคิดมากเลย นะ” อารียาพูดด้วยความรู้สึกผิดเต็มใบหน้า
รพีพงษ์ยิ้มอ่อนๆ พลางพูด “ไม่เป็นไรหรอก ฉันชินแล้ว
ล่ะ” ไม่รู้ว่าทำไม คำพูดว่าชินแล้ว ที่ออกมาจากปากของรพี พงษ์ ถึงทำให้อารียารู้สึกปวดใจแทน
“เธอก็ไม่ต้องคิดมากแล้วนะ เงินก้อนนี้ฉันจะเอาคืนมาให้ ได้ เธอไม่ต้องกังวลแทนฉันหรอก” รพีพงษ์พูดไปพลางดัน อารียาเข้าห้อง
อารียาเม้มปากเบาๆ ในใจคิด ถ้ามีโอกาสล่ะก็ เธอจะต้อง ทำอะไรชดเชยให้รพีพงษ์ให้ได้
วันต่อมา หลังจากที่ส่งอารียาไปทำงานเรียบร้อยแล้ว รพี พงษ์เองยังไม่ได้กลับไป
เขามาระแวกใกล้ประตูทางเข้าบ้านของวีรยุทธ หลี่ตาม
องเข้าไปข้างในครู่หนึ่ง ก่อนจะควักมือถือออกมาโทรหา
ไตรทศ
“พาคนมาที่เราเจอกันเมื่อวานนี้ วันนี้แหละที่สงครามจะ เริ่มขึ้น”
รพีพงษ์ไม่ใช่คนกระจอกงอกง่อย เขาให้โอกาสวีรยุทธ แล้ว ในเมื่อไม่เห็นค่า ก็คงต้องใช้วิธีที่มันพิเศษขึ้นไปอีกสัก หน่อย