พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 39

บทที่ 39

บทที่ 39 ใส่ร้ายป้ายสี

วีรยุทธกำลังนั่งอยู่บนโซฟาอย่างได้อกได้ใจ มองทีวี มูลค่าสามหมื่นแปดพันกว่าหยวนตรงหน้าตัวเอง ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่อย่างมีความสุข

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเขาที่ได้ดูทีวีแพงขนาดนี้ ถึงจะมี อะไรหลายๆอย่างที่เขาไม่รู้เรื่อง แต่เขารู้ว่าของแพง แน่นอนว่าต้องเป็นของดี

“ศศินัดดายัยผู้หญิงโง่นั่น เชื่อว่าฉันจะจ่ายเงินสี่หมื่น หยวนเพื่อซื้อทีวี อยากได้กำไลแค่สองพันจนตัวสั่น ถึงกับ ทนไม่ได้ยกทีวีมาให้ฉันก่อน”

“อย่างนั้นทีวีเครื่องนี้ฉันก็ขอดูก่อนแล้วกัน ถ้าพวกเขา อยากจะมาเอาเงินล่ะก็ ฉันก็จะบอกว่าไม่มี ยืดไปสักสี่ห้าปี ถึงเวลาค่อยเอาทีวีไปคืนพวกเขา แบบนี้ก็จะประหยัดเงิน ค่าทีวีใหม่ไปได้ตั้งเยอะ”

วีรยุทธภูมิใจในความฉลาดแกมโกงของตัวเอง กี่ปีมานี้ เขาใช้วิธีสกปรกพวกนี้หลอกคนอื่นไว้ไม่น้อย

ในขณะที่ดูทีวีอย่างสบายใจเฉิบ อยู่ๆก็มีเสียงคนเคาะ ประตู หลังจากเปิดประตู ก็พบว่าเป็นรพีพงษ์ เห็นดังนั้นก็ รีบปิดประตูแน่นสนิทกลับเหมือนเดิม

รพีพงษ์คิดไม่ถึงว่าไอ้วีรยุทธนี่ จะไม่สนใจตัวเองเลย แม้แต่น้อย ก็เลยทำได้เพียงแต่เคาะประตูอีกครั้ง

วีรยุทธลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างรำคาญใจ พูดด้วยน้ำ เสียงหงุดหงิด “แกทำอะไรของแก รนหาที่ตายหรือไง ฉัน ไม่ต้อนรับแก รีบไสหัวไปซะ”

ชื่อเสียงของรพีพงษ์ทั่วทั้งเมืองริเวอร์ไม่มีใครทั้งนั้นที่ไม่รู้ พวกหนีหนี้อย่างวีรยุทธ ไม่เคยที่จะมีเขาอยู่ในสายตา

“อาวี ผมมาเก็บเงินค่าทีวีสี่หมื่นหยวนที่ลุงซื้อ ทีวีลุงก็เอา ไปแล้ว อย่างนั้นก็คิดเงินเลยละกัน” รพีพงษ์พูดอย่างไม่ อ้อมค้อม

“แกคิดว่าแกเป็นใครกัน กล้ามาทวงเงินฉันถึงบ้าน รพี พงษ์ มีใครหน้าไหนไม่รู้บ้างว่าแกอยู่ในตำแหน่งอะไร ศศิ นัดดาสั่งให้แกมาเอาเงินอย่างนั้นหรอ ดูท่าแกคงจะมา หลอกเอาเงินฉันมากกว่าล่ะสิ” วีรยุทธก่นด่า

รพีพงษ์ขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน ในใจคิดไอ้วีรยุทธนี่นน้า ด้านจริงๆ พูดยังไม่ถึงครึ่งประโยค พูดจาไม่ไว้หน้ากันสัก นิด

“อาวี ไม่ว่าใครจะมาถวง ลุงก็ควรจะจ่ายเงินจำนวนนี้เห

มือนๆกัน” รพีพงษ์อดทนพูดต่อ ที่เขาคิดก็คือ ถ้าวีรยุทธยอมคืนเงินดีๆล่ะก็ เขาก็จะไม่ เรียกให้ไตรทศกับพวกลงมือ แต่ถ้าวีรยุทธไม่ยอมให้ล่ะก็

อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจก็แล้วกัน

วีรยุทธเดิมทีอยากที่จะด่ารพีพงษ์สักกี่ประโยค แต่อยู่ๆ เขาก็ฉุกคิดได้ พลิกลิ้นเปลี่ยนหน้าอย่างฉับพลัน พลางยิ้ม ให้รพีพงษ์

“เออ ฉันรู้แล้วน่า เห็นนายมาด้วยตัวเองแบบนี้ วันนี้ตอน เย็นฉันจะเอาเงินไปให้ศศินัดดาเอง” วีรยุทธพูด

รพีพงษ์ชะงักไป คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆวีรยุทธจะเปลี่ยนคำพูด ยอมเอาเงินไปคืนกับตัว

เขาคิดว่าวีรยุทธจะต้องหาเรื่อง ไม่ยอมเขาแน่นอน ยังไง สุดท้ายก็จะไม่ยอมคืนเงิน
ในเมื่อวีรยุทธยอมรับปาก อย่างนั้นเขาเองก็ไม่จำเป็น ต้องสั่งให้พวกไตรทศขึ้นมาแล้วล่ะ

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นรบกวนอาวี ด้วยนะครับ” รพี

พงษ์พูด “เอ้อใช่แล้ว รพีพงษ์ นายมาช่วยฉันดูทีวีหน่อยสิ ฉันยัง

ใช้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่” วีรยุทธเอ่ยปากพูด

รพีพงษ์เดินเข้าไป สอนวีรยุทธใช้ทีวีเล็กน้อย ก่อนจะเดิน ลงชั้นล่างไป

พวกไตรทศเห็นรพีพงษ์ลงมา ก็รีบพุ่งเข้าไปหา พลาง

ถาม “พี่ รพี เป็นไงบ้าง ให้พวกเราขึ้นไปจัดการไหม”

“ตอนนี้ยังไม่ต้อง พวกแกกลับกันไปก่อน รอมีเรื่องฉัน ค่อยเรียกพวกแกอีกที” รพีพงษ์ตอบ

ไตรทศพยักหน้า พาลูกน้องที่มาด้วยด้านหลังเดินออกไป จากที่นี่

พอถึงตอนเย็น วีรยุทธก็มาที่บ้านของศศินัดดาจริงๆ

ศศินัดดาเปิดประตูไปเห็นว่าเป็นวีรยุทธ คิดว่าจะต้องเอา เงินมาคืนแน่ๆ ก็รีบทำการต้อนรับเขาให้เข้ามาอย่างดีอก ดีใจ

วีรยุทธนั่งลงที่โซฟา โดยไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด ยื่น มือไปหยิบของกินบนโต๊ะกินอย่างสบายใจเฉิบ

กินไปได้พอประมาณ ก็วางมาดเอนตัวพิงหลังลงกับ โซฟา อย่างกับที่นี่เป็นบ้านตัวเองยังไงอย่างอย่างนั้น

ศศินัดดาเห็นเขาแบบนั้น ในใจก็แอบกังวลขึ้นมา ลองเอ่ย ถามออกไป “พี่วี ทีวีของฉันน่ะ พี่ก็เอาไปดูได้สองวันแล้ว

เรื่องเงิน..”
“อะไรกัน! ” วีรยุทธอยู่ๆก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา “เธอยัง

มีหน้ามาพูดเรื่องทีวีกับฉันอีกหรอ แถมยังจะอยากได้เงิน อีก จริงๆแล้วฉันก็อยากจะเอาเงินมาให้อยู่หรอก แต่ว่าตอน นี้น่ะ ไม่ว่าสักบาทสักสตางค์ฉันก็ไม่ให้เธอ”

ศศินัดดาได้ยินเขาพูดดังนั้น ก็ใจหาย อารียาเองกับ

ศักดาสองคนก็รีบเข้ามาดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“พี่วี นี่มันอะไรกัน ทีวีเครื่องนั้นของฉันเพิ่งซื้อมาใหม่เลย นะ” ศศินัดดาพูดอย่างร้อนใจ “ทีวีเครื่องนั้นของเธอก็ใหม่จริงนั่นแหละ แถมยังเป็นของ แท้อีก ฉันดูไปก็ว่าดี จริงๆวันนี้ฉันกะจะเอาเงินมาจ่ายให้

เธอ” วีรยุทธเอ่ยปาก

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ” ศศินัดดาพูดอย่างไม่เข้าใจ

วีรยุทธหันหน้าไปจ้องรพีพงษ์ พลางพูด “จริงๆแล้วทีวี เครื่องนั้นก็ดี แต่ว่าวันนี้รพีพงษ์มันไปถวงเงินที่บ้านฉัน ฉันก็ ตกลงจะจ่าย มันก็ไปตรวจเช็คทีวีอยู่สักพัก พอฉันดูอีกที ทีวีก็พังซะแล้ว”

ศศินัดดากับอารียาเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าเรื่องมันจะเป็น แบบนี้

รพีพงษ์เพิ่งตาสว่างตรงนี้ ว่าทำไมเมื่อตอนกลางวันวีร

ยุทธถึงเปลี่ยนคำพูดอย่างกะทันหัน แถมยังให้เขาไปเปิด

ทีวีให้ คิดไม่ถึงจริงๆว่าทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อที่จะใส่ร้ายเขา แทน “อีกอย่างนะน้อง พี่จะบอกให้ รพีพงษ์หมอนี้มันร้ายไม่ใช่

เล่น มันไปถวงเงินกับพี่วันนี้ เธอรู้บ้างไหม” วีรยุทธถาม ศศินัดดาส่ายหน้า ความโกรธเริ่มไหลล้นไปทั่วหน้า
“ไอ้หมอนี่บอกว่าเธอเป็นคนสั่งให้มันไป ดูแล้วมันคง อยากจะอมเงินเอาไว้เอง เห็นฉันไม่ให้ขึ้นมา ก็ทำทีวีให้เจ๊ง เธอคิดดูนะว่าคนใจดำประเภทนี้ ทำไมบ้านเธอถึงยังเลี้ยง มันไว้อยู่อีก” วีรยุทธใส่สีตีไข่ไม่หยุด

ศศินัดดาลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา ยื่นมือออกไปบีบจมูก ของรพีพงษ์ พลางตะโกนเสียงดัง “รพีพงษ์ แกนี่มันเลว จริงๆ! ตระกูลฉัตรมงคลให้ข้าวให้น้ำแกกิน คิดไม่ถึงเลย จริงๆว่าแกยังกะจะเอาเงินของตระกูลฉัตรมงคลอีก ฉัน มันตาบอด ที่เลี้ยงไอ้สารเลวอย่างแกไว้!

“แม่ ฟังผมอธิบายก่อนสิ” รพีพงษ์เอ่ยปาก

อารียา ไม่เชื่อว่ารพีพงษ์จะทำเรื่องแบบนี้ได้ลง แถมทีวี, เครื่องนั้น ก็รพีพงษ์เองนั่นแหละที่เป็นคนซื้อมา ถึงเขาจะไป ถวงเงินจริงๆ ก็ไม่ผิดอะไร

“แกมีอะไรจะอธิบาย พี่วีก็พูดเองอยู่ หรือว่ามันไม่จริง” ศศินัดดาโกรธเป็นฟื้นเป็นไฟ

“แม่ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปจะได้ไหม ฟังรพีพงษ์อธิบายก่อน เขาไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก แถมทีวีเครื่องนั้น….อารียา ออกตัวปกป้องรพีพงษ์

“มันทำไม ๆ แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้หมอนี้มันอยู่บ้านเรา ดีแต่จะหาเรื่องเสื่อมเสียมาให้ เป็นไงล่ะ สุดท้ายหางจิ้งจอก มันก็โผล่ออกมา”

ศศินัดดาหันหน้าไปทางรพีพงษ์ พลางสอบสวน “อย่าง นั้นฉันถามแก วันนี้เมื่อกลางวันแกได้ไปบ้านพี่วีมารีเปล่า แล้วได้ทำอะไรกับทีวีไหม”

รพีพงษ์ พยักหน้าตอบ “ใช่ ผมไปมาจริง” ศศินัดดาได้ยินก็เหมารวมว่ารพีพงษ์ยอมรับเรื่องที่วีรยุทธพูด พลางหุ้นไปพูดกับอารียา “มันเองก็ยอมรับแล้วเห็น ไหม ยังมีอะไรต้องพูดอีก แคลร์ พรุ่งนี้ลูกไปเซ็นเอกสาร หย่ากับมันซะ บ้านเราไม่ต้อนรับคนสารเลวพรรค์นี้”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท