พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 49

บทที่ 49

บทที่ 49 คิดถึงคุณคิดถึงมาก

เมื่อ ธฤตญาณได้ยินคำพูดของ รพีพงษ์ดวงตาก็เบิก กว้างทันที เปิดปากถามว่า “นายยังมีทักษะทางการแพทย์ ด้วยเหรอ? ฉันแขนข้างนี้หาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ชั้น นำดูแล้ว พวกเขาต่างก็บอกว่าไม่มีหวังแล้ว ครั้งนี้ฉันฝืนใช้ มากเกินไปอีก เกรงว่าต่อให้ฮว่าถัว(ปฐมาจารย์ศัลยแพทย์ จีน)ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้”

รพีพงษ์พูดกลั้วหัวเราะ: “ฉันไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการ แพทย์ แต่ฉันรู้จักหมอเทวดาคนหนึ่ง เขาจะต้องมีวิธีรักษา แขนของพี่ให้หายได้แน่ๆ”

“หมอเทวดา?” ธฤตญาณผงะ เมื่อกี้เขาคิดว่ารพีพงษ์รู้ ทักษะทางการแพทย์ กลับกลายเป็นว่าต้องให้คนอื่นรักษา ให้เขา

ใช่ ทักษะทางการแพทย์ของคนคนนี้ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะใช้คำว่าหมอเทวดามาอธิบาย หลายปีก่อนฉันเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ให้เขารักษาแขนให้ พี่ข้างหนึ่ง ก็ไม่น่าจะยาก” รพีพงษ์เปิดปาก

ธฤตญาณลังเลขึ้นมาทันที เขาแน่นอนว่าไม่ปรารถนาที่ จะตัดแขนของตัวเองทิ้ง ตราบเท่าที่มีแสงแห่งความหวังริบ หรี่ เขาก็ยังอยากจะลอง

แต่เขาและ รพีพงษ์ได้พบกันโดยบังเอิญ การที่รพีพงษ์ ช่วยเหลือเขาเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกละอายใจที่จะยอมรับ

เมื่อรพีพงษ์เห็นความลังเลของธฤตญาณ จึงครุ่นคิด แล้ว เปิดปากพูดว่า “ฉันไม่ได้หาคนมาช่วยรักษาพี่ฟรีๆ เมื่อกี้ฉัน ก็บอกไปแล้วว่า ฉันอยากให้พี่ร่วมติดตามฉัน ถ้าฉันหาคนมารักษาแขนของพี่จนหายได้จริงๆ จากนั้นพี่ก็แค่ติดตาม ฉัน ถือว่าเป็นการตอบแทนให้ฉัน เป็นไง?”

ธฤตญาณครุ่นคิด ชีวิตของเขาตอนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น คนพลัดถิ่น ทุกๆวันยังต้องระวังปัญหาจากเมืองกรีนโคล

ตอนนั้นเขาก็ได้เห็นความแข็งแกร่งของรพีพงษ์แล้ว ถ้า หากว่าติดตามรพีพงษ์ บางทีรพีพงษ์อาจจะปกป้อง คุ้มครองเขาได้จริงๆ

ตอนนี้เขาก็ยังไม่ถึงวัยกลางคน ถ้าจะให้เขาขายเครปจีน ไปตลอดชีวิตจริงๆ ในใจเขาอันที่จริงก็ไม่เต็มใจ )

กลับไม่ดีเท่าติดตามรพีพงษ์วิ่งไปวิ่งมาสักพัก อาจจะยังมี โอกาสได้สัมผัสถึงความรุ่งโรจน์ของเขาในปีนั้น

แน่นอนว่า หลักฐานเหล่านี้ก็คือแขนของเขาสามารถ รักษาให้หายได้

เขามองรพีพงษ์อย่างจริงจังแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า เปิดปากพูดว่า “ตกลง ฉันรับปากนาย ถ้าหากว่าแขนข้างนี้ ของฉันสามารถรักษาได้จริงๆ ต่อให้ต้องเป็นวัวเป็นม้าให้ นาย ฉันก็จะไม่บ่นสักคำ”

“พี่มีพรสวรรค์แบบนี้ ให้พี่เป็นวัวเป็นม้า ก็ผิดต่อพี่เกินไป แล้ว” รพีพงษ์พูดยิ้มๆ

“โอ้? งั้นนายอยากให้ฉันทำอะไร?” ธฤตญาณเปิดปาก

ถาม

“คุมโลกใต้ดินเมืองริเวอร์” รพีพงษ์พูดยิ้มๆ

ธฤตญาณตกตะลึงอยู่ในใจ เขาจากบนใบหน้าที่ไม่เป็น อันตรายต่อมนุษย์และสัตว์ของ รพีพงษ์ มองไม่ออกเลยสัก นิดว่า ไอ้หนุ่มที่ทุกคนเรียกว่าสวะคนนี้ จะมีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

แต่นี่ก็ทำให้เขาแน่ใจเช่นกันว่า การเลือกติดตามรพีพงษ์ ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน

“พี่รพี จัดการเรียบร้อยแล้ว” เวลานี้ไตรทศเข้ามาแล้ว รพีพงษ์พยักหน้า เปิดปากพูดว่า: “พยุงพี่ธฤต จากนี้ไป เขากับพวกเรา เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”

ไตรทศพยุงธฤตญาณทันที พูดกลั้วหัวเราะว่า: “พี่ธฤต ได้โปรดให้คำแนะนำมากๆนะ หลังจากนี้ตราบเท่าที่ชีวิตคือ การต่อสู้เรียกฉันได้ตลอดเวลา แน่นอนว่า ถ้าพี่รพีอยู่ใน สนามด้วย ก็แล้วไป”

เขาในใจชัดเจนว่าทำไม รพีพงษ์จึงต้องช่วยธฤตญาณ และเขาก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาเป็นผู้นำ

การมาของธฤตญาณ ยังทำให้เขาถอนหายใจด้วยความ โล่งอก หลังจากนี้ก็แค่ตีๆฆ่าๆก็เท่านั้น

ดังนั้นสำหรับการที่รพีพงษ์รับธฤตญาณเข้าร่วมไตรทศ จึงไม่บ่นเลยสักคำ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นในตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง

รพีพงษ์พาทั้งสองคนมาถึงด้านหน้าประตูที่ดูค่อนข้าง แปลกตาบานหนึ่ง ด้านบนแขวนป้ายแผ่นหนึ่ง เขียนด้วยตัว อักษรสี่ตัวว่า “เขตปลอดวิวาท”

ไตรทศจ้องมองแผ่นป้ายนี้อยู่ครู่หนึ่ง ก็สังเกตเห็นลาย เซ็นที่อยู่ด้านบน จากนั้นดวงตาก็เบิกกว้างแล้ว

“พี่รพีข้างในนี้ คงจะไม่ใช่ชุติเทพผู้ลือลั่นทั่วคุ้งน้ำเหนือ จรดใต้ หมอเทวดาหรอกนะ?”
รพีพงษ์พยักหน้ายิ้มๆ พูดว่า “ไม่ผิด เขานั่นแหละ”

“ฉันไป พี่รพีฉันได้ยินมาว่านิสัยของหมอเทวดาชุคนนี้ พิลึกพิลั่น หนึ่งปีตรวจโรคให้คนแค่สามครั้ง หลังจากสาม ครั้ง ต่อให้ทุ่มเงินอีกมากแค่ไหน ก็จะไม่ยื่นมืออีกเลย”

“แล้วตอนที่หมอเทวดาชุดตรวจโรคให้คน ยังต้องดู อารมณ์อีกที ตราบใดที่ตัวเขาเองอารมณ์ไม่ดี ต่อให้เป็น โรคร้ายแรง เขาก็จะไม่ตรวจให้”

“พวกเราไปหาหมอเทวดาชุตรวจโรค จะไหวเหรอ?”

ไตรทศรู้สึกไม่มั่นใจอยู่บ้าง ถ้าหากว่าเป็นชุติเทพจริงๆ ต้องช่วยรักษาแขนของธฤตญาณให้หายดีได้แน่นอน แต่ ถ้าคนเขาไม่อยากรักษาให้ จะขอร้องยังไงก็ไร้ประโยชน์ ทั้งสิ้น

เขาเคยได้ยินมาว่า มีคนจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงให้ คนมาเชิญชุติเทพไปตรวจโรค โดยรับปากว่าเขาจะมีความ เจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งไปตลอดชีวิต แต่ชุติเทพ กะพริบตายังไม่กะพริบตาก็ขับไล่คนพวกนั้นออกไปหมด แล้ว

คิดจะให้ชุติเทพยื่นมือรักษาให้ผู้คน ปืนท้องฟ้าที่ว่ายาก ยังจะง่ายซะกว่า

“วางใจเถอะ อยู่ต่อหน้าฉัน เขาไม่กล้าทำแบบนี้หรอก” รพีพงษ์พูดกลั้วหัวเราะ จากนั้นจึงเดินเข้าไปในประตูบาน นั้น

ไตรทศกลืนน้ำลาย คิดในใจว่าตัวเองนี่นะสุดท้ายแล้วพี่ รพีมีวิธีแค่ไหนก็ยังไม่รู้ ถึงได้มั่นใจจริงๆว่าจะทำให้หมอ เทวดาชุติเทพไม่กล้าหยิ่งผยองต่อหน้าเขา

ตอนนี้ธฤตญาณเจ็บปวดเสียจนพูดไม่ออก ไตรทศโดยไม่ลังเล รีบช่วยพยุงธฤตญาณเข้าไปในประตู

เมื่อเข้าประตูไปเป็นร้านขายยาโบราณร้านหนึ่ง ล้อมรอบ ไปด้วยตู้ที่เต็มไปด้วยยาสมุนไพร เวลานี้เด็กสาวอายุ ประมาณ 18 ปีคนหนึ่งกำลังยืนตรวจสอบยาอยู่หน้าตู้

และที่ยืนอยู่ข้างๆเด็กสาว ปรากฏว่าเป็นหัวหน้าห้องของ อารียา, เจตนิพัทธ์

“คนสวย รบกวนคุณหย่อนผันสักหน่อย ผมอยากได้ ใบสั่งยาของหมอเทวดาชุมากจริงๆ ขอร้องคุณช่วยไปแจ้ง ให้หน่อยเถอะนะ” เจตนิพัทธ์มองเด็กสาวด้วยความวิงวอน เต็มหน้า

“อาจารย์ฉันปีนี้ตรวจโรคให้ผู้อื่นสามครั้งแล้ว ไม่ยื่นมือ อีกแล้ว คุณขอร้องยังไงล้วนไร้ประโยชน์ เพราะงั้นอย่าเสีย เวลาอยู่ที่นี่เลย” เด็กสาวพูดอย่างเยือกเย็น

เจตนิพัทธ์เมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ ได้ หันหลังกำลังจะเดินออกไปข้างนอก

ในเวลานี้เอง เขาก็เห็น รพีพงษ์กำลังเดินเข้ามาในห้อง ทันใดนั้นก็ตกตะลึง

“รพีพงษ์? ทำไมนายถึงอยู่ที่นี่?” เจตนิพัทธ์เปิดปากถาม

“มาหาชุติเทพตรวจโรครพีพงษ์เอ่ยปากเบาๆ

เจตนิพัทธ์หัวเราะเยาะเย้ยทันที เปิดปากพูดว่า “นายเนี่ย นะ? ยังอยากหาหมอเทวดาชุตรวจโรค? ฉันจะแนะนำให้ นายประหยัดเวลานะ โควตาตรวจโรคของหมอเทวดาชุปืนี้ ใช้หมดแล้ว นายวิ่งมาเสียเที่ยวแล้ว”

เพราะเด็กสาวไม่ช่วยเขาขอร้องชุติเทพ, เจตนิพัทธ์ จึง ค่อนข้างหงุดหงิด ตอนนี้ เห็นว่ารพีพงษ์ก็มาเหมือนกัน จึงยินดีในความโชคร้ายขึ้นมาทันที

รพีพงษ์ไม่สนใจเขา แต่เดินตรงไปที่เด็กสาว ครั้งสุดท้ายที่เขามาที่นี่ ยังไม่เห็นผู้หญิงคนนี้ “สวัสดี ผมมาหาชุติเทพช่วยแจ้งให้หน่อย” รพีพงษ์เปิด ปาก

เด็กสาวคนนั้นหันกลับมามองรพีพงษ์แวบหนึ่ง ด้วยความ เย่อหยิ่งเต็มหน้า เปิดปากพูดว่า “คุณหูหนวกหรือไง? เมื่อกี้ คุณไม่ได้ยินที่ผู้ชายคนนั้นพูดเหรอ? อาจารย์ฉันปีนี้ไม่ ตรวจโรคให้คนแล้ว แถมคุณยังกล้าเรียกชื่ออาจารย์ฉัน ตรงๆอีก จากทัศนคติฉาบฉวยนี้ของคุณ อาจารย์ฉันตรวจ โรคให้คุณก็แปลกแล้ว”

เจตนิพัทธ์เมื่อเห็นว่าเด็กสาวก็ตะคอกรพีพงษ์อย่าง รุนแรงอีกครั้ง ภายในใจจึงนับว่าสมดุลขึ้นบ้าง เปิดปากพูด ว่า “รพีพงษ์ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงานแล้ว ฉันคิดจะหาหมอ เทวดาชุดตรวจโรค ขอร้องหมดแล้วก็ไม่ขยับ ยิ่งไม่ต้องพูด ถึงนายเลย”

รพีพงษ์หันไปมองเจตนิพัทธ์แวบหนึ่ง พูดเสียงเย็นชาว่า: “โรคของคุณไม่จำเป็นต้องให้ชุติเทพตรวจ แค่ไตพร่อง กลับไปกินตำรับยาลิ่วเว่ยตี้หวาง(เสริมยิน บำรุงไต)ให้มาก ก็ได้แล้ว”

เจตนิพัทธ์ได้ยินว่ารพีพงษ์กล้าพูดว่าเขาไตพร่อง พอง ขนทันใด ตะโกนลั่นว่า: “แม่นายสิพูดเหลวไหลอะไรที่นี่ นายคิดว่านายเป็นหมอเทวดาที่ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าฉันเป็น อะไรหรือไง?”

เด็กสาวคนนั้นมองรพีพงษ์แวบหนึ่งอย่างค่อนข้าง ประหลาดใจ และพูดกับเจตนิพัทธ์ว่า: “เขาพูด ไม่ผิด คุณไตพร่องจริงๆ มองหน้าก็ดูออกแล้ว” %3D

ตอนนี้เจตนิพัทธ์สำลักคำพูดประโยคหนึ่งล้วนพูดไม่ออก เด็กสาวเป็นเด็กฝึกงานของ ชุติเทพ คำพูดยังมีความน่าเชื่อ ถือในระดับหนึ่ง

เขาจ้องรพีพงษ์แวบหนึ่งด้วยความแค้นเคืองเต็มหน้า อยากจะถลกหนังของ รพีพงษ์ออกมา

ไตรทศกับธฤตญาณสองคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ออกมา ธฤตญาณที่เดิมเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เมื่อทำแบบ นี้ ความเจ็บปวดจึงทุเลาลงไปไม่น้อย

“นายอยู่ที่นี่อย่าได้ใจนักเลย ไม่ว่ายังไง นายก็พบหมอ เทวดาชุดไม่ได้เหมือนกัน” เจตนิพัทธ์กัดฟันพูด

ตอนแรกเขาคิดจะจากไป แต่เมื่อเห็น รพีพงษ์มา จึงคิด จะอยู่ที่นี่เพื่อดูรพีพงษ์ขายหน้า

รพีพงษ์ไม่สนใจเจตนิพัทธ์ แต่เดินไปตรงหน้าเด็กสาว %3D “บอกอาจารย์คุณว่า รพีพงษ์มาหาเขาแล้ว” รพีพงษ์เปิด ปากพูด

“รพีพงษ์?” เด็กสาวเม้มปาก “ฉันรู้แค่ว่ามีสวะอันลือเลื่อง แห่งเมืองริเวอร์ชื่อรพีพงษ์ อาจารย์ฉันสถานะสูงส่งขนาดนี้ จะยอมพบสวะชนิดนั้นได้ยังไง พวกคุณรีบไปซะเถอะ”

เจตนิพัทธ์หัวเราะฮ่าๆเสียงดัง เปิดปากพูดว่า “เขาก็เป็น

ไอ้สวะคนนั้นที่คุณว่า ผมขำจะตายอยู่แล้วจริงๆ” ครั้งสุดท้ายที่กินข้าวด้วยกัน รพีพงษ์บอกว่าเจตนิพัทธ์อี คิวต่ำ ไร้สมอง เจตนิพัทธ์จึงถือว่ารพีพงษ์เป็นศัตรูแล้ว ดัง

นั้นจึงไม่มีเจตนาจะไว้เยื่อใยอะไร “อะไรนะ!” เด็กสาวอุทานเสียงหนึ่ง “คุณก็คือสวะรพีพงษ์คนนั้น? เจอผีแล้วจริงๆ ทำไมพวกเราอยู่ที่นี่ทุกวันล้วนเจอ คนอย่างคุณ”

“จะบอกคุณให้นะ อาจารย์ฉันไม่ว่าจะพบใคร ล้วนไม่พบ คุณ คุณรีบไปซะเถอะ พวกเราที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ” เด็กสาว เชิดหน้า ไม่กลัวรพีพงษ์เลยสักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลัง จากที่รู้ว่าเขาคือสวะผู้ลือเลื่องคนนั้นแห่งเมืองริเวอร์

ไตรทศกับธฤตญาณทั้งสองคนต่างก็รู้สึกอับอายเต็ม หน้า ตอนนั้นรพีพงษ์ยังบอกว่าชุติเทพจะรักษาอาการป่วย ให้ธฤตญาณอย่างแน่นอน ผลก็คือตอนนี้แม้แต่เด็กฝึกงาน คนหนึ่งล้วนผ่านไปไม่ได้

“พี่รพี . ไม่งั้น หรือพวกเราลองไปดูที่โรงพยาบาล ใกล้ๆกันไหม?” ไตรทศเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

รพีพงษ์มองเขาแวบหนึ่งทันที จากนั้นหันไปมองเด็กสาว และพูดว่า: “ในเมื่อคุณไม่ไปแจ้งชุติเทพงั้นผมจะไปเอง” พูดจบ รพีพงษ์ก็เดินมุ่งหน้าไปที่ห้องด้านใน

เด็กสาวเห็นแบบนี้ ก็เอื้อมมือคว้ารพีพงษ์ทันที พูดอย่าง กังวลว่า: “คนอย่างคุณทำไมถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้ ฉัน บอกแล้วว่าอาจารย์ฉันไม่พบคุณ และด้วยทัศนคติ ฉาบฉวยของคุณ อาจารย์ฉันไม่รักษาโรคให้คุณแน่นอน”

ตอนนี้เธอค่อนข้างโกรธ ในใจคิดว่าสวะตัวหนึ่งถึงกับ กล้าพังประตู ช่างไม่เห็นชื่อของหมอเทวดาชุติเทพอยู่ใน สายตาเลยจริงๆ

เจตนิพัทธ์ก็ยิ้มหยันเต็มหน้าเช่นกัน เขารู้สึกว่า รพีพงษ์ ทำให้เด็กหญิงคนนี้ขุ่นเคืองโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่ว่ายังไง ชุติ เทพล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาโรคให้เขา

“ไร้สมองจริงๆ สาวน้อยคนนี้เป็นถึงฝึกงานของชุติเทพทำให้เธอขุ่นเคือง ยังจะให้ชุติเทพช่วยรักษาโรค ฝันเฟื่อง จริงๆ!” เจตนิพัทธ์พูดเสียงเย็น

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังยื้อยุดกันอยู่ เสียงกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากห้องข้างใน: “เจสสิก้าเกิดอะไรขึ้น เสียงดังขนาดนี้”

ดวงตาของเด็กสาวสว่างขึ้นทันใด แต่เธอรู้ว่าชุติเทพ อารมณ์ไม่ดี ถ้าชุติเทพพบว่ามีคนต้องการจะบุกเข้ามา เธอ จะต้องหัวแบะแน่ๆ จึงสบถใส่รพีพงษ์ที่หนึ่ง

ยิ่งไปกว่านั้นรพีพงษ์ยังเป็นสวะอันลือลั่นแห่งเมืองริเวอร์ คนนั้นอีก ชุติเทพจะไม่ไว้หน้าเขาอย่างแน่นอน

“อาจารย์ คุณออกมาเร็ว มีคนหน้าไม่อายที่นี่ดึงดันจะบุก เข้าไปพบคุณ ฉันห้ามหมดแล้วก็ห้ามไม่ได้” เด็กสาวเปิด ปากตะโกน

จากนั้นเธอก็หันไปมองรพีพงษ์ และพูดอย่างอวดดีว่า: “ฮี เดี๋ยวอาจารย์ฉันออกมา เห็นทัศนคติชนิดนี้ของคุณแล้ว จะ ต้องโมโหแน่ๆ คุณชั่วชีวิตนี้ไม่ต้องคิดจะมาหาอาจารย์ฉัน ให้ตรวจโรคแล้ว”

เร็วอย่างยิ่ง ชายชราผมสีเทาคนหนึ่งก็เดินออกมาจาก ห้องด้านใน

เด็กสาวรีบวิ่งไปอยู่ด้านหลังชายชรา ชี้นิ้วไปที่รพีพงษ์ พูดอย่างโกรธๆว่า: “อาจารย์ ผู้ชายคนนี้นี่แหละ ไม่เพียงแค่ เรียกชื่อของคุณตรงๆ แถมยังคิดจะบุกเข้าไปหาคุณด้วย คุณรีบด่าเขาสักที ให้เขารู้ว่าคุณหมอเทวดาคนนี้ไม่ได้ %3D เรียกกันพร่ำเพรื่อ”

ใช่ ผมเป็นพยานได้ว่า เด็กคนนี้ตอนนั้นยังเรียกชื่อคุณ ตรงๆ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่จริงๆ ไม่เห็นท่านหมอเทวดาคนนี้อยู่ในสายตาเลย” เจตนิพัทธ์พูดใส่สีตี ใส่สีตีไข่

ไตรทศกับธฤตญาณต่างก็ค่อนข้างสิ้นหวัง คิดในใจว่า ตอนแรกน่าจะยุติความสัมพันธ์กับรพีพงษ์ ตอนนี้ถ้าคิดจะ ขอให้คนเขาตรวจโรค เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

ชุติเทพมองไปที่รพีพงษ์ทางนี้แวบหนึ่ง ท่าทางไม่โกรธ เปี่ยมบารมี

ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าชุติเทพจะด่ารพีพงษ์ จู่ๆชุติ เทพก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จับแขนของรพีพงษ์ด้วยสอง มือที่สั่นเทา พูดอย่างตื่นเต้นว่า: “รพีพงษ์ เด็กอย่างคุณยัง รู้จักที่จะมาหาฉัน ฉันคิดถึงคุณคิดถึงมาก”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท