พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 55

บทที่ 55

บทที่ 55 นาฬิกาของเธอเป็นของที่ขโมยมา

บรรยากาศเงียบลง ทุกคนหันไปมองสมาชิกบัตรทอง ห้องอาหารห้องนี้คือห้องที่คนคนนี้สละให้ ดังนั้นหลัง จากที่เห็นสมาชิกบัตรทองเดินเข้ามา พวกเขาจึงรู้สึก ใจฝ่อเล็กน้อย

หากคนคนนี้ต้องการจะใช้ห้องนี้ในตอนนี้ เขาก็ สามารถใช้ห้องนี้ได้ แม้ว่าเจตนิพัทธ์จะเป็นคนจองก่อน แต่ก็ต้องยึดตามลำดับความสำคัญของบัตรทอง

พอเจตนิพัทธ์เห็นคนคนนั้นเดินเข้ามา เขาก็รู้สึก พะว้าพะวังเล็กน้อยและรีบยืนขึ้น

สมาชิกบัตรทองคนนั้นกวาดสายตามองไปที่ทุกคน บริ กรคนนั้นบอกกับเขาว่าคนพวกนี้มีใครคนใดคนหนึ่งเป็น เพื่อนกับท่านประธานบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป เขา ทราบดีว่าบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ของโรงแรมบลูสกายอินเตอร์เนชั่นเนลแห่งนี้ ดังนั้นเขา จึงยอมสละห้องนี้ให้และยอมหลีกทางออกมา

ตอนนี้เขามาที่นี่เพื่อมาขอโทษ เนื่องจากความจริงแล้ว ในตอนนั้นเขาเป็นคนลัดคิว ด้วยเหตุนี้อาจจะทำให้คน ของบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปขุ่นเคืองเอาได้ สำหรับ เขามันจะกลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

แต่ด้วยที่ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นคนของบริษัทบริษัทซัน

บับเบิล กรุ๊ป เขาจึงพูดกับทุกคนไปตรงๆว่า “ทุกท่านก่อน

หน้านี้ผมทำไม่ถูกต้อง เดิมที่ห้องอาหารห้องนี้พวกคุณ

จองไว้ก่อนแล้ว แต่ผมกลับแซงคิวพวกคุณ หวังว่าพวกคุณจะไม่ถือสา”

ทุกคนถึงกับผงะ พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าสมาชิกบัตร ทองคนนี้จะมาที่นี่เพื่อขอโทษพวกเขา

“ก่อนหน้านี้ผมไม่ทราบว่าทุกท่านเป็นคนของบริษัท บริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปจึงได้ทำการเสียมารยาทไป ดังนั้น ผมจึงได้แต่ตำหนิตัวเองและอยากแสดงความขอโทษต่อ พวกคุณทุกท่าน บริษัทของผมกับบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปก็ได้มีการร่วมงานกันอยู่บ้าง ผมหวังว่าจะสามารถ, ดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่นในอนาคต ผมขอดื่มให้ ทุกท่าน”

สมาชิกบัตรทองพูดจบก็ดื่มเหล้าที่อยู่ในมือลงไปหมด แก้ว

“เชิญพวกคุณทุกท่านตามสบาย ผมไม่รบกวนแล้ว ขอ ให้รับทานอาหารอย่างมีความสุขนะครับ” หลังจากที่ดื่ม เหล้าเสร็จ คนคนนั้นก็จากไปพร้อมทั้งปิดประตูห้องให้

ในเวลานี้ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าคนคนนั้นเห็นแก่บริษัท บริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปถึงได้ยกห้องอีวานโฟนนิกให้พวก เขา

ในบรรดาผู้ที่อยู่ในสถานที่นี้ต่างรู้ดีว่ามีเพียงเจตนิพัทธ์ เท่านั้นที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป ดังนั้นคนคนนั้นจึงรู้สึกเกรงใจเจตนิพัทธ์มากถึงเพียงนี้ ทุกคนต่างหันหน้าไปมองเจตนิพัทธ์ด้วยสายตาชื่นชม “หัวหน้าห้อง คุณสุดยอดจริงๆ ขนาดสมาชิกบัตรทอง ยังต้องให้เกียรติคุณ”
“ใช่แล้ว หัวหน้าห้องขึ้นเป็นผู้จัดการสาขาของบริษัท บริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปตั้งแต่อายุยังน้อย เขาคงคิดว่า หัวหน้าห้องต้องมีอนาคตที่สดใสก็เลยมาประจบประแจง”

“หัวหน้าห้องเจ๋งสุดๆไปเลย ไอ้เศษสวะบางคนถึงกับ เทียบไม่ติด”

เพื่อนสมัยเรียนผู้หญิงหลายคนต่างกรีดกร๊าดเจตนิ พัทธ์ แต่น่าเสียดายที่พวกเธอต่างก็รู้ว่าเป้าหมายของเจต นิพัทธ์ คืออารียา ดังนั้นจึงผิดหวังกันเล็กน้อย

บุษบากรก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีคนมาให้เกียรติเจตนิ พัทธ์ถึงขนาดนี้ ด้วยเหตุผลนี้เธอจึงมีความคิดอยากจีบ เจตนิพัทธ์ขึ้นมา

ทว่าเมื่อนึกถึงเจ้าชายขี่ม้าขาวของเธอ เธอกลับไม่ได้มี ความสนใจในตัวเจตนิพัทธ์

“เจตนิพัทธ์ก็ไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับเจ้าชายขี่ม้าขาว ของฉันแล้วล่ะก็ ยังถือว่าแย่อยู่มาก” บุษบากรพิมพำอยู่ ในใจ

เจตนิพัทธ์มีสีหน้างงงวย เขาไม่คิดว่าคนคนนั้นจะคืน

ห้องเพราะเขา

แต่คนคนนั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนจากบริษัทบริษัท ซันบับเบิล กรุ๊ป? ทั้งๆที่เขาไม่เคยเจอคนคนนั้นมาก่อน

อย่างไรก็ตามคนคนนั้นบอกว่าเป็นเพราะบริษัทบริษัท ซันบับเบิล กรุ๊ปถึงได้เข้ามาขอโทษ ซึ่งในห้องนี้ก็มีแค่เขา คนเดียวที่เป็นคนของบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป เป็นไป

ไม่ได้ที่จะเป็นรพีพงษ์

เมื่อคิดถึงจุดนี้เจตนิพัทธ์ก็เผยให้เห็นสีหน้าพึงพอใจไม่จำเป็นต้องคิดถึงเหตุผลที่แปลกประหลาดเหล่านั้นอีก ต่อไป แค่เพียงให้พวกเขาคิดว่าที่สามารถเข้ามาอยู่ใน ห้องนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะความดีความชอบของเขา

ในขณะนี้ยังมีบางคนคิดว่ารพีพงษ์เป็นคนนำห้องนี้กลับ มา ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้

เจตนิพัทธ์เหลือบมองรพีพงษ์และอารียาที่อยู่อีกด้าน ด้วยสายตายั่วยุ ราวกับว่าเป็นการพิสูจน์ให้อารียาเห็นว่า รพีพงษ์ไม่เหมาะกับเธอ

อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าอารียารู้อยู่แล้วว่าคนคนนั้นเข้า มาที่นี่เพราะรพีพงษ์ แม้เธอจะไม่รู้ว่ารพีพงษ์เข้าไปข้อง เกี่ยวกับบริษัทบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปได้อย่างไรกันแน่ แต่ สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เธอสงสัยในตัวรพีพงษ์ว่าเขาไม่ได้มีความ

สามารถดังกล่าว เพราะแท้ที่จริงแล้วรพีพงษ์รู้จักแม้กระทั่งเจ้าของวิลล่า ฟ้าอนงค์

จนถึงตอนนี้อารียายังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าของ วิลล่าฟ้าอนงค์ก็คือรพีพงษ์

หลังจากที่ทุกคนต่างยกย่องเจตนิพัทธ์ พวกเขาก็หยุด คุยเรื่องนี้ และถึงเวลาสั่งอาหาร

เจตนิพัทธ์ดูเมนูอาหาร แม้ว่าอาหารที่นี่จะมีราคาแพง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขารับได้ หลังจากทานอาหารมื้อ นี้แล้ว เขาจะเข้มงวดขึ้นเล็กน้อยในเดือนหน้า

ตอนที่เจตนิพัทธ์สั่งอาหาร สาวๆที่นั่งอยู่ข้างอารียาก็ เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องความหลังกันอย่างมีความสุข

หญิงสาวที่นั่งข้างอารียาจับมืออารียาพลางพูดคุยเรื่องที่มหาวิทยาลัย ในขณะนี้เธอสังเกตเห็นนาฬิกาที่อยู่บน ข้อมือของอารียาแล้วมองตาตั้ง

“อารียา เธอซื้อนาฬิกานี่เองหรือ?” หญิงสาวถาม

“ไม่ใช่หรอก รพีพงษ์เป็นคนซื้อให้ เขาก็มีอยู่เรือนหนึ่ง” อารียาตอบ

“อย่างงั้นรพีพงษ์คงซื้อของถูกๆมาจากแผงลอยล่ะสิ ไม่เห็นสวยตรงไหน” บุษบากรพูดเสริม

หญิงสาวหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “นี่จะมาจาก แผงลอยได้ยังไง นี่เป็นนาฬิกาคู่รักออกใหม่ของ นาฬิกาVacheron Constantinเลยนะ คู่หนึ่งราคา 380,000 หยวน ฉันเคยเห็นมันที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อไม่กี่ วันก่อน”

ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็เริ่มให้ความสนใจ เมื่อเจตนิพัทธ์ ได้ยินว่ารพีพงษ์ซื้อนาฬิกาข้อมือให้อารียาก็รู้สึกไม่พอใจ

เขารู้ว่านาฬิกาเรือนนั้นเป็นของแท้

“จะเป็นไปได้อย่างไร รพีพงษ์จะมีปัญญาซื้อนาฬิกา แพงๆแบบนี้เนี่ยนะ ของปลอมหรือเปล่า?” บุษบากร พูด ด้วยความประหลาดใจ

“เป็นไปไม่ได้ รูปแบบของนาฬิกาVacheron Constantinไม่ใช่จะเลียนแบบกันง่ายๆ อีกอย่างสายนี้มี จำหน่ายเฉพาะในโรงงานเท่านั้น นาฬิกาเรือนนี้เป็นของ แท้แน่นอน” หญิงสาวคนนั้นยืนยัน

ทุกคนต่างก็หันหน้าไปมองรพีพงษ์ ไม่คิดเลยว่าเขาจะ สามารถซื้อนาฬิกาแพงๆให้ อารียาได้
อารียาเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน วันนั้นรพีพงษ์ยัง บอกอยู่เลยว่านาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้แพงมาก เพราะราคา 380,000 หยวน รพีพงษ์ไม่ได้รู้สึกว่ามันแพง

“รพีพงษ์ ปกติอารียาเป็นคนเลี้ยงดูนาย แล้วนายเอา เงินจากไหนมาซื้อนาฬิกาแพงๆแบบนี้?” อยู่ๆเจตนิพัทธ์ก็ ถามขึ้นมา

“ใช่แล้ว นายจะมีปัญญาซื้อนาฬิกาแพงๆขนาดนี้ได้ อย่างไร เป็นไปได้ไหมว่าทำเรื่องผิดกฎหมาย?”

“เขาไม่ได้ซื้อเองแน่ๆเลย หรือจะไปขโมยคนอื่นมา ฉัน ไม่คิดเลยว่ารพีพงษ์จะเป็นคนแบบนี้จริงๆ”

“สวรรค์ รพีพงษ์ขโมยแม้กระทั่งนาฬิกา รีบดูของพวก เราก่อนเร็ว”

ทุกคนเริ่มสงสัยในตัวรพีพงษ์ขึ้นมาทันใด ที่เจตนิพัทธ์ ถามแบบนั้นไปก็เพื่อกระตุ้นให้ทุกคนสงสัย และเขาเองก็ คิดว่ารพีพงษ์เป็นคนขโมยนาฬิกาเรือนนี้มา

“รพีพงษ์ ทำไมนายถึงไม่พูดอะไรออกมาล่ะ หรือว่า นายขโมยนาฬิกาเรือนนี้มาจริงๆ?” เจตนิพัทธ์ถามขึ้นอีก ประโยค

รพีพงษ์พูดไม่ออกไปชั่วขณะ เขาไม่คิดว่าเจตนิพัทธ์ กำลังพยายามหาเรื่อง

แต่เขาก็ไม่กลัว เพราะร่างตรงไม่จำเป็นต้องกลัวเงาเฉ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด

“ฉันเป็นคนซื้อนาฬิกานี้เอง อย่าใส่ร้ายคนอื่นโดยไม่มี เหตุผล” รพีพงษ์พูด
“นายก็พิสูจน์สิ จะให้เราเชื่อทุกสิ่งที่นายพูดงั้นหรือ?”

“ถูกต้อง นายจะพิสูจน์อย่างไรว่านายเป็นคนซื้อมาเอง ฉันคิดว่านายคงจะขโมยมาจริงๆแล้วยังเล่นลิ้นอยู่ได้”

“อารียา เธอก็รีบห่างๆคนแบบนี้หน่อยเถอะ คนขี้ขโมย แบบนี้ไม่ช้าไม่เร็วจะทำให้เธอเดือดร้อนได้”

รพีพงษ์มองกลุ่มคนพูดพล่อยๆอย่างจนปัญญา เขาจึง หยิบกระดาษสองแผ่นออกมาจากในเสื้อของเขาและตบ บนโต๊ะเบาๆ

“นี่เป็นใบเสร็จของนาฬิกาสองเรือนนี้ ถ้าไม่เชื่อพวก นายก็ดูเอาเอง”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท