พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 75

บทที่ 75

บทที่ 75 นายไม่ได้หาเรื่องใส่ตัว

ศักดาไม่ให้เขาแตะต้องรถแลนด์โรเวอร์ ตอนนี้อารียาจึง ขับรถไปกลับ

รพีพงษ์ก็ไม่ได้สนใจรถคนนั้น เพราะการซื้อรถมาก็ เพื่อความสะดวกในการไปทำงานของอารียา ส่วนเขา เองเมื่อจะไปไหนก็สามารถเรียกแท็กซี่ได้

วันนี้เขาจะไปเอาสัญญาที่สำนักงานสาขาบริษัทซัน บับเบิล เมื่อวานเขาได้คุยเธียรวิชญ์แล้ว เธียรวิชญ์ บอกที่อยู่สำนักงานสาขากับเขาแล้วให้เขาเข้ามาเอา

รพีพงษ์เดินมาถึงป้ายเมล์ เขากะว่านั่งรถเมล์ไป

ระหว่างที่รอก็มีรถออดี้คันใหม่เอี่ยมมาจอด เทียบที่ป้ายรถเมล์ หน้าต่างรถค่อยๆ เลื่อนลง คนที่นั่ง สวมสูทอยู่ในรถก็คือเจตนิพัทธ์

คนที่ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ต่างก็พากันมองเจตนิพัทธ์ที่ นั่งอยู่ในรถด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา เจตนิพัทธ์เหลือบมองรพีพงษ์แล้วพูดว่า นี่ไอ้สวะรพี

พงษ์ไม่ใช่เหรอ รอรถเมล์อยู่เหรอ กำลังจะไปไหนล่ะ

รพีพงษ์มองเจตนิพัทธ์แล้วพูดว่า ไปคุยธุรกิจ”

ออกนี่ได้ผิดใช่ไหม นายจะไปคุยธุรกิจเหรอ นีเป็นครั้งแรกที่ฉัน ได้ยินคนพูดว่านั่งรถเมล์ไปคุยธุรกิจ”

เมื่อผู้คนที่ป้ายรถเมล์ได้ยินสิ่งที่เจตนิพัทธ์พูดก็ต่าง พากันหัวเราะเยาะรพีพงษ์

“คนนี้ตลกจัง เจ้านายที่ไหนเขาจะนั่งรถเมล์ไปคุย ธุรกิจกัน จะโม้ก็ยังโม้ไม่เป็น”

“น่าตลกสิ้นดี เขาโง่หรือเปล่าเนี่ย สงสัยจะอยากเป็น เหมือนคุณคนหล่อคนนั้น ทำเป็นเท่เหรอไง”

“น่าจะเป็นอย่างนั้น คนหล่อคนนั้นขับรถหรูขนาดนั้น ดูก็รู้แล้วว่าเป็นเจ้านาย อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าไปคุย ธุรกิจ ไอ้บ้านนอกนี้จะไปคุยธุรกิจอะไรได้”

เมื่อเจตนิพัทธ์ได้ยินคนที่ป้ายรถเมล์พูด เขาก็มีสีหน้า พออกพอใจ

อีกอย่างเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาได้ตกลงกับชรินทร์ทิพย์ เรียบร้อยแล้ว ขอแค่ชรินทร์ทิพย์ไปคุยเรื่องนี้กับท่านปู่ นภทีป์ อารียาก็จะเลิกกับมัน เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

ทันที

ท่าทางรพีพงษ์จะยังไม่รู้เรื่องนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตัว เองอยู่เหนือกว่ารพีพงษ์เข้าไปใหญ่

รพีพงษ์เผชิญหน้ากับคำเยาะเย้ยของคนรอบๆ เขาไม่ ได้แสดงสีหน้าอะไรราวกับไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น
เจตนิพัทธ์กลอกตาไปมา เขาเดาว่าที่รพีพงษ์พูดว่าจะ ไปเจรจาธุรกิจ อาจจะเป็นเรื่องโครงการที่บริษัทซัน บับเบิล กรุ๊ป

ดูเหมือนว่าอารียายังไม่บอกเรื่องนี้ให้รพีพงษ์รู้ ไม่งั้น ไอ้หมอนี่ก็น่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้

“นายจะไปเจรจาธุรกิจที่ไหน ฉันไปส่งนายดีกว่า ไม่ แน่เราอาจจะไปทางเดียวกัน” เจตนิพัทธ์หัวเราะแล้วพูด ออกมา

“ไม่จำเป็น” รพีพงษ์ตอบ

เจตนิพัทธ์แสยะยิ้มในใจ เป็นไปตามคาดว่าไอ้หมอนี่ ยังไม่รู้ว่าเขาคือคนรับผิดชอบโครงการนี้ ในเมื่อเป็นเช่น นี้ งั้นรอให้ไปถึงบริษัทเขาจะจัดการไอ้หมอนี่อีกสักรอบ

“งั้นฉันไปละ ขอให้นายเจรจาสำเร็จละกัน ถึงตอนนั้น อย่าให้เขาไล่นายออกมาก็ถือว่าดีแล้ว” เจตนิพัทธ์พูดจบก็เหยียบคันเร่งออกไปทันที

คนที่ป้ายรถเมล์ต่างพากันชี้ไปที่เขาแล้วหัวเราะเยาะ

ในใจ

แน่นอนว่ารพีพงษ์ไม่รู้ว่าเจตนิพัทธ์เป็นคนรับผิดชอบ โครงการนี้ สำหรับเขาแล้ว คนทั้งบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ป ต้องฟังเขา ใครจะเป็นคนรับผิดชอบโครงการก็ไม่เห็นมี อะไรต่าง

ไม่นาน รถเมล์ก็มาจอดที่ป้าย รพีพงษ์ขึ้นรถเมล์ เพื่อบทที่ 5 แทนในได้

ด้งได้)

ตรงไปยังสำนักงานสาขาบริษัทซันบับเบิล

หลังจากที่ลงรถ รพีพงษ์หันมองตึกซันบับเบิลที่อยู่ข้าง ตัวเอง เขาเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่กี่ปีมานี้บริษัท ซันบับเบิล กรุ๊ปเจริญเติบโตเร็วมาก สำนักงานสาขามี มากมายนับไม่ถ้วน แน่นอนว่าเขาไม่สามารถไปดู สำนักงานสาขาทั้งหมดภายได้ในระยะเวลาอันสั้น

อีกอย่างเรื่องของบริษัทก็มีเธียรวิชญ์เป็นคนจัดการ ตอนแรกเขาก็เป็นกังวล แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่ปล่อยวาง แล้ว

เขาเดินเข้ามาภายในตึก จนกระทั่งถึงป้ายบอกทางไป ห้องผู้จัดการ เขากำลังจะเดินไป ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงที พูดลอยๆ ของผู้หญิงดังขึ้นมา “ไม่ทราบว่าคุณมาทำ อะไร”

เธอเห็นเสื้อผ้าตามตลาดอยู่บนตัวของรพีพงษ์ ดู เหมือนว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับบริษัท ดังนั้น เธอจึงไม่ได้มีท่าทีที่ดีสักเท่าใด

“ผมมาหาผู้จัดการของพวกคุณ” รพีพงษ์พูด

“งั้นคุณนัดไว้หรือเปล่า” ฝ่ายต้อนรับเอ่ยถาม

รพีพงษ์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “เธียรวิชญ์ให้ผมมา” ฝ่ายต้อนรับได้ยินสิ่งที่รพีพงษ์พูดก็เบิกตาโต เธียร วิชญ์คือประธานสาขา ปกติแล้วไม่มีใครกล้าเรียกชื่อ

ของเขาตรงๆ
“คุณรอสักครู่นะคะ ฉันจะไปถามผู้จัดการสักครู่ค่ะ”

ฝ่ายต้อนรับพูด

จากนั้นเธอก็ไปโทรศัพท์

ไม่นาน เธอก็เดินออกมาด้วยสีหน้าสลด

เมื่อครู่ที่รพีพงษ์เรียกชื่อของเธียรวิชญ์ เธอนึกว่าเขา จะเป็นคนใหญ่คนโตอะไร แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงคือผู้ จัดการบอกว่าเขาเป็นคนต้มตุ๋น

เธอเห็นเสื้อผ้าบนตัวของรพีพงษ์ ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคน ต้มตุ๋น ในใจก็หงุดหงิดขึ้นมา

“ผมขึ้นไปได้หรือยัง” รพีพงษ์เอ่ยถาม

“ขึ้นไปเหรอ นายรีบไสหัวออกไปเลยนะ คนต้มตุ๋น อย่างนายจะมาเจอผู้จัดการของเรา ฝันไปเถอะ” ฝ่าย ต้อนรับพูดด้วยท่าที่กระฟัดกระเฟียด

รพีพงษ์อึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าฝ่ายต้อนรับจะมีท่าที เปลี่ยนไปขนาดนี้

“นี่เราเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” รพีพงษ์ถาม

“ฉันกับนายจะมีอะไรเข้าใจผิดกันได้ นายรีบไสหัว ออกไปจากบริษัทของเราซะ ไม่งั้นฉันจะเรียกรปภ. มา” ฝ่ายต้อนรับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

รพีพงษ์ขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนต้มตุ๋น

ในบริษัทของตัวเอง
“คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอยู่กับใคร” รพีพงษ์ถาม

“รู้สิ ก็แค่คนต้มตุ๋น” ฝ่ายต้อนรับพูดด้วยความไม่พอใจ รพีพงษ์ไม่อยากจะพูดไร้สาระกับเธออีก แม้ว่าเขาจะมี ความอดทน แต่เขาไม่ยอมให้คนอื่นมาพูดใส่ร้ายเขา ยิ่ง ไปกว่านั้นนี่คือบริษัทของเขา ตำแหน่งเล็กๆ อย่างฝ่าย ต้อนรับ จะมาพูดแบบนี้กับเขาได้อย่างไร

“หลีกไป ผมจะขึ้นไปเอง”

รพีพงษ์เดินตรงไปยังลิฟต์

ฝ่ายต้อนรับเห็นสถานการณ์ก็รีบเข้าไปรั้งเขาไว้ “อะไรของนาย นายนึกว่าอยากเจอผู้จัดการของเราก็จะ ได้เจองั้นเหรอ”

“ถ้านายก้าวไปอีกก้าวเดียว ฉันจะเรียกรูปภ. มา เมื่อ ถึงตอนนั้นเรื่องมันคงไม่ง่ายแล้วนะ”

รพีพงษ์ไม่สนใจเธอ เขาเดินไปข้างหน้าต่อ

ขณะนั้นเอง ก็มีคนเดินออกมาจากลิฟต์ คนนั้นก็คือ เจตนิพัทธ์

รพีพงษ์อึ้งไป คิดไม่ถึงว่าเจตนิพัทธ์จะอยู่ที่นี่

เขาแสยะยิ้มให้รพีพงษ์ ในแววตาของเขาดูมีเลศนัย “โอ้ รพีพงษ์นี่นา บังเอิญอะไรขนาดนี้ นายมาเจรจา

ธุรกิจที่บริษัทฉันเหรอ” เจตนิพัทธ์พูด ฝ่ายต้อนรับเดินเข้ามา พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วย(งาน ใน

ความรังเกียจว่า “ผู้จัดการ ฉันบอกให้คนต้มตุ๋นนี่ออกไป แล้ว แต่เขาไม่ไป ยังดื้อด้าน เราเรียกรปภ. มาเถอะค่ะ”

เจตนิพัทธ์โบกมือไปมา เป็นสัญญาณว่าเขาจะจัดการ

เอง

“นายเป็นผู้จัดการที่นี่เหรอ” รพีพงษ์ถาม

“ใช่ ถ้าฉันทายไม่ผิด นายคงมาที่นี่เพราะโครงการนั่น สินะ ฉันจะบอกนายตามตรงนะ คนที่รับผิดชอบ โครงการนี้คือฉันเอง นายคงไม่คิดไม่ฝันว่าจะเป็นแบบนี้ ล่ะสิ” เจตนิพัทธ์พูดอย่างพออกพอใจ

รพีพงษ์เบะปาก เขาก็คิดไม่ถึงจริงๆ นั่นแหละว่าคนที่ รับผิดชอบโครงการนี้จะเป็นเจตนิพัทธ์

แต่ว่าไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย

“เอาสัญญาของโครงการนั่นมาให้ฉัน ฉันไม่อยากทำ อะไรให้ยุ่งยาก ” รพีพงษ์พูด เจตนิพัทธ์แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “รพีพงษ์ นายคิดว่าตัว

เองเป็นใคร เจ้าของบริษัทซันบับเบิล กรุ๊ปเหรอ ถึงจะ

บอกให้ฉันเอาสัญญาให้นาย ฉันก็ต้องให้นายงั้นเหรอ”

“ฉันจะบอกให้นะ นายมันก็แค่ไอ้สวะ ฉันไม่ไล่นาย ออกไปก็ถือว่าไว้หน้านายแล้วนะ”

เมื่อคนในบริเวณนั้นได้ยินสิ่งที่เจตนิพัทธ์พูดก็พากัน ซุบซิบกัน พวกเขาเริ่มจะรู้ว่ารพีพงษ์คือใคร
“อย่าบอกนะว่าเขาคือไอ้สวะที่รู้จักกันทั่วเมืองริเวอร์

คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้ามาที่บริษัทของเรา ไม่รู้ว่าเขาคิด อะไรอยู่” “ยังมาทำท่าเหมือนเป็นเจ้านายของเรา ไม่ตักน้ำใส่

กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองบ้าง น่าขำสิ้นดี”

“ดูท่าว่าผู้จัดการก็จะไม่ค่อยชอบหน้าเขานะ ฉันว่าเขา ต้องแย่แน่ๆ”

รพีพงษ์ถอนหายใจ เขารู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ เจตนิพัทธ์ ต้องไม่เอาสัญญาให้เขาแน่ๆ ดูท่าว่าจะต้องเรียกเธียร วิชญ์มาแล้วล่ะ

“ถ้าตอนนี้นายยังไม่เอาสัญญามาให้ฉัน นายจะต้อง เสียใจแน่นอน” รพี่พงษ์พูล

“ฉันต้องเสียใจเหรอ นายอย่ามาพูดอะไรตลกๆ ที่นี่ สวะอย่างนายจะทำอะไรฉันได้” เจตนิพัทธ์แสยะยิ้ม “รพี พงษ์ ถ้านายต้องการสัญญานี้ ก็ได้ งั้นนายรีบไปหย่ากับ อารียาซะ แล้วให้เธอแต่งงานกับฉันแล้วฉันจะเอา สัญญานี่ให้นายตอนนี้เลย”

รพีพงษ์หรี่ตาลง แววตาของเขาเหมือนจะฆ่าคนได้

“นายไม่ได้กำลังหาเรื่องใส่ตัวนะ แต่นายกำลังรนหาที่ ตาย” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“อย่ามาอวดดีกับฉัน ฉันจะบอกความจริงให้นายรู้ไว้เรื่องนี้แม้นายจะไม่ตกลง แต่อารียาต้องตกลงสัญญานี่ ฉันจะให้ตระกูลฉัตรมงคล แต่ต้องให้อารียามาเอาด้วย ตัวเอง นายอย่ามาเสียเวลาที่นี่เลย” เจตนิพัทธ์พูดจบก็หันไปหาฝ่ายต้อนรับ “ให้คนมาพา

มันออกไป ต่อจากนี้อย่าให้คนต้มตุ๋นแบบมันเหยียบเข้า

มาที่บริษัทอีกแม้แต่ก้าวเดียว”

ฝ่ายต้อนรับรีบพยักหน้าทันที จากนั้นก็รีบวิ่งไปเรียก

รปภ.

รพีพงษ์รู้สึกเบื่อหน่าย ขนาดอยู่ในบริษัทของตัวเอง ยังโดนคนพวกนี้ปฏิบัติแบบนี้กับเขา มันไม่ยุติธรรมจริงๆ

แต่ว่าตอนนี้ความอดทนของเขาไม่ได้ไร้ความหมาย บุรุษที่ซ่อนอาวุธเอาไว้ ต้องลงมือในโอกาสที่เหมาะสม ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะเปิดเผยตัวตน

ภายในพริบตา ฝ่ายต้อนรับก็พารปภ. มาตรงหน้าเขา เธอจ้องเขาอย่างน่ากลัว “จะให้โอกาสนายครั้งสุดท้าย ออกไปซะ ไม่งั้นฉันจะให้คนโยนนายออกไป”

รปภ. พวกนั้นมองเขาด้วยแววตาดุร้าย กล้ามเนื้อของ พวกเขาเป็นมัดๆ

รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นมา ขยับกล้ามเนื้อกันหน่อยละกัน ฉันจะได้รู้ว่ารปภ. ของที่ นี่เป็นยังไง ผ่านหรือไม่ผ่านเกณฑ์กันแน่”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท