บทที่ 102 บุษบากรเข้าใจผิด
ศศินัดดากับศักดาต่างตะลึงไปตามๆ กัน สีหน้าของศศิ นัดดาพุ่งปรี๊ดทันที
“เรื่องบ้านหลังนี้แกมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ? แกอยู่บ้านฉัน กินฟรีอยู่ฟรีมาหลายปี ตอนนี้ปีกกล้ามขาแข็งแล้ว เลยไม่ อยากให้พวกเขาอยู่บ้านร่วมหลังคาเดียวกับแกงั้นสิ?”
“แหวะ เลี้ยงหมาป่าดีๆ เอาไว้นี่เอง ถ้ารู้ตั้งแต่แรกก็ไม่เขา เอามันเข้ามาอยู่ในบ้านเรา” ศักดาถอนหายใจพูด
ศศินัดดาหันไปหาอารียา แล้วเอ่ยขึ้นมา “ตอนนี้แกเห็น ธาตุแท้ของไอ้กระจอกคนนี้หรือยัง ตอนนี้แกรีบหย่ากับมัน วิลล่าหลังนี้แกก็ไม่ต้องให้มันอยู่ด้วย ให้มันไสหัวออกไป จากบ้านของเราซะ!”
สีหน้าอารียาดูลำบากใจมาก เลยพูดว่า “ถ้าฉันหย่ากับ เขาจริงๆ โฉนดบ้านก็ไม่ใช่ชื่อฉัน งั้นพวกคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่ จะอาศัยบ้านหลังนี้ไปทั้งชีวิต”
ศศินัดดาได้ยินดังนั้น หัวใจเต้นโครมครามทันที เลยนึก เสียใจที่หลุดปากพูดออกไป ถ้ารอให้รพีพงษ์โอนบ้านหลัง นี้ให้เป็นชื่อของอารียาก่อน
อารียารู้สึกน้อยใจมาก เธอถูกบีบบังคับให้ใช้วิธีนี้ เพื่อที่ จะให้ศศินัดดาเลิกบังคับให้เธอเลิกกับรพีพงษ์
เธอได้แต่กัดริมฝีปากเอาไว้อย่างกล้ำกลืนฝืนทน ฝืนทน ต่อไปไม่ได้ เลยร้องไห้ฟูมฟายออกมาทันที
ยามเมื่อรพีพงษ์เห็นอารียาร้องไห้คร่ำครวญ ถึงกับปวด ใจทันที เมื่อครู่เขาแค่อยากให้ศศินัดดากับศักดารู้ว่า เขา เองก็เป็นคนที่โมโหได้ ถึงได้พูดออกไปแบบนั้น
แต่เมื่อเห็นว่าอารียาร้องไห้ออกมาแบบนี้ เขาเคยคิดจะ หยุดการโต้เถียงกันไปมาสักที เขาเองก็ไม่อยากให้อารียา มาหนักใจกับเรื่องนี้
“เดี๋ยวอีกสักพักผมกลับไปเก็บของให้ พวกคุณก็ไปดู บ้านนี้ไปก่อน” รพีพงษ์พูดด้วยอารมณ์เบื่อหน่าย
ยิ่งเห็น รพีพงษ์พูดออกมาแบบนี้ ศศินัดดากับศักดาต่าง
ส่งสายตายิ้มให้กันทันที
“เชอะ จำใส่สมองของแกเอาไว้ บ้านหลังนี้ ฉันมีสิทธิ์ที่ พูดอยู่คนเดียว ต่อไปทางที่ดีที่สุดแกก็ทำตัวเชื่อฟังหน่อย แล้วกัน”
ศศินัดดารู้สึกว่ารพีพงษ์ยอมอ่อนข้อให้เธอ สีหน้ามีแต่ ความได้ใจ แต่ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี เพราะการที่มีวิลล่า หลังนี้ เธอเองก็ไม่อยากให้รพีพงษ์หย่ากับอารียาขึ้นมา จริงๆ
ดูแล้วต้องหาวิธีเพื่อให้รพีพงษ์ยอมเซ็นโอนวิลล่าหลังนี้ ให้กับอารียา
“ของพวกนั้นแกไม่ต้องไปเก็บแล้วแหละ พรุ่งนี้ฉันกับพ่อ ของแกจะกลับไปเก็บเอง กลัวว่าแกจะไปขโมยบัญชีของ ฉันไปอีก” ศศินัดดาเริ่มพูดซ้ำอีกครั้ง
จากนั้นเธอกับศักดาก็เดินไปดูห้องด้วยกัน
รพีพงษ์เดินมายืนอยู่ตรงหน้าของอารียา จากนั้นก็ยืนม่อ ออกไปปาดน้ำตาให้เธอ แล้วเอ่ยปากพูด “ทำให้เธอน้อยใจ อีกแล้ว”
อารียาสะอึกสะอื้นอยู่สองครั้ง พร้อมทั้งพูดออกมา “ฉัน แค่รู้สึกว่าพวกเขาทำมากเกินไปแล้ว คนที่น้อยใจน่าจะเป็น คุณมากกว่า”
รพีพงษ์ได้แต่ยิ้มให้ พร้อมทั้งเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไร ถึง อย่างไรวิลล่าหลังนี้ก็กว้างมาก การที่ให้พวกเขามาอยู่ด้วย กันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว เมื่อครู่ผมก็รีบร้อนไปหน่อย”
อารียาถอนหายใจ พ่อแม่คู่นี้ของตนเอง เธอเองก็ไม่มีวิธี จัดการเช่นกัน
“เราไปดูห้องของเรากันเถอะ ไปดูสิว่าคุณอยากนอน ห้องไหน” รพีพงษ์ยิ้มให้ จากนั้นก็พาอารียาไปดูห้อง
ในที่สุดศศินัดดากับศักดาทั้งสองคนก็เลือกห้องอยู่ที่ชั้น หนึ่ง ส่วนอารียาชอบความเงียบสงบ เลยเลือกพักที่ห้องชั้น สองกับรพีพงษ์
คืนนั้นเอง ศศินัดดากับศักดาก็มีความคิดที่จะขายบ้าน
หลังเก่า เพราะว่านั่นก็เป็นเงินที่จำนวนก้อนไม่น้อยอยู่เช่น
กัน
แต่ว่าอารียาก็ห้ามเอาไว้ก่อน เพราะว่าเธอเองก็รู้สึกว่า ระหว่างตัวเธอเองกับศศินัดดาทัศนคติไม่ค่อยดี วันหนึ่งถ้า เกิดทะเลาะกันขึ้นมา เธอและรพีพงษ์ยังสามารถออกไป พักที่อื่นสักหลายวัน
ในเวลาเดียวกัน ภายในร้านยามคำคืนแห่งหนังในเมืองร เวอร์
ธายุกรกับชรินทร์ทิพย์กำลังนั่งกินอยู่ บริเวณด้านหน้า ของทั้งสองคนมีกองเอกสารต่างๆ วางเอาไว้ เอกสารเหล่า นั้นเป็น “หลักฐาน” ที่พวกเขารวบรวมเอาไว้
“ฉันไปสืบข่าวที่ร้าน 4s มาแล้ว รถคันนั้นรพีพงษ์ซื้อสด ฉันไปขอตารางในการซื้อขายมาแล้ว ไม่ผิดแน่นอน” ชริน ทร์ทิพย์พูดออกมา
“ทางด้านดงเย็นฉันก็ให้เพื่อนไปถามมาแล้ว บูติกวิลล่า
หลังนั้น รพีพงษ์เป็นคนซื้อ จ่ายสด แถมยังจ่ายตอนนั้นเลย
โธ่เอ๊ย คุณว่าอารียาเอาเงินออกมาจากโครงการเท่าไหร่
กัน ถึงได้ซื้อรถซื้อบ้านได้” ธายุกรพูดไปกินไป
“ใครจะไปรู้ล่ะว่าเธอเอาเงินมาเท่าไหร่กัน แต่ถ้าเรื่องนี้ ทำให้ปู่ไล่เธอออกไปจากบริษัทได้ ดูเหมือนมีความเป็นไป ได้อยู่ ไม่แน่ยังสามารถทำให้เธอติดคุกได้” ชรินทร์ทิพย์ เบะปากพูด
“อารียาก็ฉลาดหลักแหลมมาก ซื้อรถซื้อบ้านก็ให้รพี พงษ์ไปจัดการทั้งหมด เธอต้องโยนความรับผิดชอบเรื่องนี้ ยกให้รพีพงษ์แน่ๆ” ธายุกรหรี่ตาพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“เชอะ ใครจะไปสนว่าเธอจะไปโยนความรับผิดชอบให้ ใคร เพราะถึงยังไงพวกมันก็เหมือนชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้น ด้าย ถ้าจะตายก็ต้องตายไปพร้อมกัน” ชรินทร์ทิพย์พูด อย่างไม่ใส่ใจ
เรื่องราวระหว่างรพีพงษ์กับอารียา เธอมีแต่ความ เคียดแค้นไปพร้อมๆ กัน
“ฮ่าๆ พูดได้ถูกใจ ให้พวกมันได้ใจไปสักหลายวันหน่อย แล้วกัน พอผ่านไปไม่กี่วันฉันจะเอาหลักฐานพวกนี้ให้ปู่ดู ถึงเวลานั้นพวกมันสองคน ก็ไม่มีสิทธิ์มาอาศัยอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคลแล้ว”
ธายุกรยกแก้วเหล้าขึ้น แล้วขนแก้วกับชรินทร์ทิพย์ ซึ่ง หมายความว่าเรื่องนี้ทั้งสองคนจะร่วมมือกัน
วันรุ่งขึ้น ศศินัดดาและศักดาก็กลับไปที่บ้านหลังเดิมเพื่อ เก็บของ เพราะว่าในวิลล่ามีของครบครัน พวกเขาไม่ต้อง ขนย้ายสิ่งของไปมากมาย แค่เอาของสำคัญไปเท่านั้นก็
พอ
รพีพงษ์เองก็ไม่ได้สนใจสิ่งของที่อยู่ในบ้านหลังเดิมเลย เพราะยังไงอารียาคิดว่ายังอยากจะกลับไปพักที่บ้านนั้นอยู่ สองวัน ฉะนั้นสิ่งของที่บ้านหลังนั้นเลยไม่ได้ขยับเขยื้อนไป ไหนเลยแม้แต่น้อย
เขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จากนั้นก็ส่งอารียาไปทำงาน
อาจจะเป็นเพราะว่าซื้อวิลล่าแล้วมั้ง ศศินัดดาเลยไม่ได้ ใส่ใจกับการที่รพีพงษ์ขับรถ
เพราะว่าเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับวิลล่าแล้ว รถแลนด์โร เวอร์ก็เฉยๆ ไปเลย
หลังจากที่ส่งอารียาถึงบริษัทแล้ว เดิมที่รพีพงษ์วางแผนไว้ว่าจะกลับบ้าน แต่เวลานั้นเอง เขาก็ได้รับโทรศัพท์ของธ ฤตญาณ
“รพีพงษ์ แวะมาที่สถานบันเทิงสตาร์กายหน่อย”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” รพีพงษ์เอ่ยปากถาม
“ไตรทศได้รับบาดเจ็บ”
รพีพงษ์รีบตัดสายทิ้ง แล้วขับรถมุ่งหน้าไปที่สถานบันเทิง
สตาร์กายทันที เขาจอดรถไว้ด้านหน้าประตูสถานบันเทิงสตาร์กาย จาก
นั้นก็เดินเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน
เขาเพิ่งเดินเข้าไปด้านในไม่นาน บุษบากรก็เดินออกมา จากปากซอยไม่ไกลจากที่นั่นนัก ตอนที่เดินผ่านประตูสถานบันเทิงสตาร์กาย สายตา
บุษบากรก็เห็นรถแลนด์โรเวอร์ที่จอดอยู่ข้างทาง
“นี่มันไม่ใช่รถของแคลร์เหรอ? แล้วทำไมมาจอดที่นี่ได้ ล่ะ?” บุษบากรทำหน้าประหลาดใจ
เธอหันไปมองสถานบันเทิงสตาร์กายอยู่แวบหนึ่ง สถาน
บันเทิงแบบนี้ บุษบากรเคยได้ยินมาบ้างว่า บันเทิงสตาร์
กายมีชื่อเสียงมากในเมืองริเวอร์
แต่บุษบากรไม่เคยก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่แบบนี้มา ก่อนเลย สำหรับเธอแล้ว สถานที่แบบนี้มีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่ จะเข้าไปด้านในคงมีอะไรที่ไม่ปกติสักเท่าไหร่
เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที จากนั้นก็โทรศัพท์หาอารียา “นี่แคลร์ ตอนนี้แกอยู่ไหน?”
“กำลังทำงานอยู่” อารียาตอบคำถาม
“งั้นรพีพงษ์ล่ะ?” บุษบากรถามต่อทันที
“เขาส่งฉันมาทำงานเสร็จแล้วก็ขับรถกลับไปแล้ว ทำไม เหรอ มีธุระอะไรหรือเปล่า?” อารียาเอ่ยปากถาม
บุษบากรกะพริบตาไปมา แต่ไม่ได้บอกเรื่องรถของรพี พงษ์ที่เธอเห็น
“ไม่เป็นไรนะ ก็แค่ถามเฉยๆ ไม่ได้เหรอไง ฮ่าๆ” บุษบากร หัวเราะให้แทน
ทว่าอารียารู้สึกว่าต้องมีเรื่องไม่ดีแน่ เลยเอ่ยปากถาม “นี่ บุษ แกอย่าคิดจะสนใจรพีพงษ์ขึ้นมานะ ของของฉันแกเอา ไปได้หมด ยกเว้นรพีพงษ์ที่แกไม่สามารถเอาไปได้”
บุษบากรหัวเราะร่า “โอ้โห วางใจได้เลยค่ะ แกเป็นเพื่อน ที่ดีที่สุดของฉัน ฉันจะทำเรื่องพรรค์นั้นได้ยังไงกัน”
พอพูดจบ เธอก็ตัดสายทิ้งทันที
“รพีพงษ์ไม่ได้กลับบ้านแต่มาที่นี่แทน…หรือว่าเขา…” บุษบากรเอาแต่คิดเองเออเองอยู่ในใจ
“หลายปีมานี้แคลร์ก็ชอบทำตัวเย็นชาใส่รพีพงษ์ ระยะนี้ เขาก็ได้ใจ รพีพงษ์ก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง ก็ต้องมีความ ต้องการในบางเรื่องบ้างแหละ การที่เขาจะมาที่นี่ คงไม่ได้ มาทำเรื่องดีๆ แน่ๆ แหละ?” บุษบากรคิดเดาอยู่ในใจ
“ถ้าเขาต้องการมาผ่อนคลายความต้องการ เลยจำเป็นต้องมาที่นี่ งั้นฉันก็ต้องช่วยเขาจัดการความต้องการของ เขา เรื่องนี้คงไม่ต้องทำผิดกับแคลร์ เพราะว่ารพีพงษ์พาตัว เองมาที่นี่เอง”
ความคิดแปลกประหลาดมันปรากฏอยู่ในหัวของบุษบา
กร
เธอกะพริบตาไปมา จากนั้นก็มองป้ายด้านหน้าของ
สถานบันเทิงสตาร์กาย หลังจากนั้นก็เดินไปทางด้านหน้า ไม่มีใครรู้ว่าในใจเธอกำลังวางแผนทำอะไรอยู่ รพีพงษ์เองก็ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับสถานบันเทิงสตาร์กาย
หลังจากที่เขาเดินเข้าไปด้านใน ก็เดินก้าวเท้าไปยังห้องที่ธ
ฤตญาณพวกเขาพักอาศัยอยู่
ความสามารถของไตรทศไม่ต้องให้คนสงสัยด้วยซ้ำ ใน เมืองริเวอร์นั้น คนที่สามารถทำร้ายเขาได้มีไม่กี่คน ตอนนี้ เขากลับได้รับบาดเจ็บ สามารถพูดได้เต็มปากว่าพวกเขา ชักจะเจอกับปัญหาใหญ่ซะแล้ว
เขาผลักประตูเข้าไป ก็เห็นไตรทศนอนอยู่บนเตียง ที่ กำลังนอนหลับตา ด้านข้างก็มีสายน้ำเกลือห้อยอยู่ บริเวณ หน้าอกกำยำก็มีผ้าพันแผลพันเอาไว้แน่นหนา
ธฤตญาณกับผู้ชายรูปร่างท้วมสองคนกำลังเฝ้าไตรทศ อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์มาแล้ว ต่างก็ลุกขึ้นทันที
“เขาอาการเป็นยังไงบ้าง? ใครเป็นคนทำ?” รพีพงษ์เอ่ย
ปากถาม
ธฤตญาณทำสัญญาณให้รพีพงษ์เบาเสียงลงหน่อย จากนั่นก็ให้คนรูปร่างท้วมเดินออกไปด้านนอกพร้อมกปร พงษ์
“กรุงซี่โครงหักสองท่อน ตอนนี้กำลังหลับสนิทอยู่ แต่ว่า หมอบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว พักรักษาตัวอยู่สักระยะก็ดี ขึ้นแล้ว” ธฤตญาณพูดออกมา
“ใครทำร้ายเขาจนได้รับบาดเจ็บ?” รพีพงษ์ถาม
“คนของพิชญุตม์” ธฤตญาณตอบคำถาม
“พิชญุตม์เหรอ?” รพีพงษ์ขมวดคิ้วทันที เมืองริเวอร์มีเจ้า พ่อคนอยู่สามคน หนึ่งคือไตรทศ อีกคนคืออินทัช คนที่ สามก็คือพิชญุตม์
อินทัชก็ถูกไตรทศจัดการจนสิ้นซากไปแล้ว หรือสาเหตุ จะมาจากที่พิชญุตม์กลัวไตรทศ เลยพยายามหลีกเลี่ยง การต่อสู้กับเขา ไม่คิดเลยว่าเวลานี้คนของเขากล้ามา ทำร้ายไตรทศแทน เรื่องนี้รพีพงษ์เองก็ไม่อยากจะเชื่อ
“อำนาจที่อยู่ในมือของพิชญุตม์ในเมืองริเวอร์นั้นก็เท่า ผู้ๆ เทียมกับพวกแก ลูกน้องของมันจะเก่งกล้ามากขนาดนี้ได้ ยังไง ขนาดสามารถทำร้ายไตรทศให้บาดเจ็บได้ด้วยเห รอ?” รพีพงษ์เอ่ยปากถาม
“คุณถามพวกผม พวกผมจะไปถามใครล่ะ” คนอ้วนท้วน พูดงมงำ
ธฤตญาณจ้องตาเขาเขม็ง พร้อมทั้งพูดอธิบายให้ “คน it ของพิชญุตม์ไม่สามารถทำร้ายให้ไตรทศบาดเจ็บได้หรอก แต่ระยะนี้ พิชญุตม์ไม่รู้ว่าไปหาคนฝีมือเก่งกาจมาจากไหนแล้วเริ่มลงมือก่อกวนคนของพวกเราทางนแล้ว
“เมื่อคืนคนของพิชญุตม์ก็มาหาเรื่อง ไตรทศเข้าไปสู้กับ พวกมัน หัวหน้าของพวกมันแค่ได้รับคำสั่งจากพิชญุตม์ไม่ กี่คำ ไอ้สองคนนั่นก็เริ่มลงมือทันที ที่แท้ไอ้คนนั้นมันก็คือผู้ ช่วยของไอ้พิชญุตม์เป็นคนหามา จนสามารถทำร้าย ไตรทศจนได้รับบาดเจ็บนี่แหละ”
รพีพงษ์ฟังแล้ว ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
ไม่รู้ว่าไปหาผู้ช่วยมาจากไหน ความสามารถเก่งกาจ ขนาดนี้ เวลานั้นรพีพงษ์เองก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร
ธฤตญาณหยุดพูดอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดต่อ “แถมมันยัง ฝากมาบอกว่า พรุ่งนี้ยังจะมาที่นี่อีกรอบ ถึงเวลานั้นมันจะ มาจัดการฉันกับไอ้ไตรทศให้สิ้นซาก เพื่อที่จะให้พิชญุตม์ กลายเป็นที่ผู้ทรงอิทธิพลในเมืองริเวอร์และบนโลกใบนี้ เพียงคนเดียว”แล้วเริ่มลงมือก่อกวนคนของพวกเราทางนแล้ว
“เมื่อคืนคนของพิชญุตม์ก็มาหาเรื่อง ไตรทศเข้าไปสู้กับ พวกมัน หัวหน้าของพวกมันแค่ได้รับคำสั่งจากพิชญุตม์ไม่ กี่คำ ไอ้สองคนนั่นก็เริ่มลงมือทันที ที่แท้ไอ้คนนั้นมันก็คือผู้ ช่วยของไอ้พิชญุตม์เป็นคนหามา จนสามารถทำร้าย ไตรทศจนได้รับบาดเจ็บนี่แหละ”
รพีพงษ์ฟังแล้ว ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันทันที
ไม่รู้ว่าไปหาผู้ช่วยมาจากไหน ความสามารถเก่งกาจ ขนาดนี้ เวลานั้นรพีพงษ์เองก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร
ธฤตญาณหยุดพูดอยู่สักพัก จากนั้นก็พูดต่อ “แถมมันยัง ฝากมาบอกว่า พรุ่งนี้ยังจะมาที่นี่อีกรอบ ถึงเวลานั้นมันจะ มาจัดการฉันกับไอ้ไตรทศให้สิ้นซาก เพื่อที่จะให้พิชญุตม์ กลายเป็นที่ผู้ทรงอิทธิพลในเมืองริเวอร์และบนโลกใบนี้ เพียงคนเดียว”