พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 105

บทที่ 105

บทที่ 105 กูธฤตญาณคนที่เก่งกาจซะขนาดนี้

ณ สนามชกมวยของพิชญุตม์

รพีพงษ์กับธฤตญาณยืนอยู่ด้านหน้าประตู

ธฤตญาณยังกังวลอยู่บ้างเลยหันไปมองรพีพงษ์อยู่แวบ หนึ่ง พร้อมทั้งอ้าปากพูด “ไม่เรียกพี่น้องเรามาที่นี่เหรอ ที่นี่ เป็นรังของพิชญุตม์เลยนะ เราสองคนเดินเข้าไปแล้ว เหมือนว่าเดินเข้าไปในรังของจิ้งจอกเลย”

รพีพงษ์ยิ้มให้ทันที แล้วพูดขึ้นมา “เมื่อเอาแกมาเทียบกับ ปีนั้น แกขี้ขลาดไปเยอะว่ะ ปีนั้นที่ทั้งถนนมีแต่การต่อสู้กัน เลือดสาดกระเด็น ดูเหมือนว่าไม่ใช่ท่าทางแบบนี้เลย”

ธฤตญาณได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเบื่อหน่าย พร้อมทั้ง เอ่ยปากพูด “เพราะว่าผ่านเรื่องราวในปีนั้นมาไง ฉันถึงได้ เข้าใจว่าชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้ว ถ้าไม่ใช่อาศัยความ โชคดี ฉันก็คงตายอยู่ข้างถนนนั่นแล้วแหละ”

รพีพงษ์เข้าใจธฤตญาณเป็นอย่างดี เขาสร้างฐานะขึ้นมา ด้วยสองมือของตนเอง จนสามารถมีอำนาจที่เข้มแข็งได้ใน เมืองกรีนโคล ความกล้าบ้าบินไม่ได้ขาดหายไปเลยสักนิด

แต่ว่าธฤตญาณเคยถูกหักหลังมาก่อน เลยค่อนข้างระ

แวดระวังตัวเยอะมากขึ้น ความยากลำบากที่เคยผ่านความ

เป็นความตายมาแล้วทำให้เขาไม่มีวิธีไหนที่จะลบล้าง

ความหวาดกลัวนั้นไปได้
“ในปีนั้นแกต้องใช้โชคเข้าช่วย แต่วันนี้แกมากับฉัน ไม่ ต้องคิดอะไรให้มากแล้ว มีฉันอยู่ด้วย แกไม่มีวันตายอยู่ แล้ว”

รพีพงษ์พูดไปก็ยิ้มไป จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในของ สนามต่อสู้ชกมวยของพิชญุตม์

ธฤตญาณใช้สายตาที่สับสนจ้องมองรพีพงษ์ เขาไม่

แน่ใจว่า คนคนเดียวตกลงว่ามีพละกำลังมากมายขนาด ไหนกัน ถึงได้กล้าพูดประโยคนี้ออกมา คนคนนี้ก็เหมือนวัยรุ่นที่ไม่มีพิษมีภัยกับใครเขา มันไม่

สามารถคาดเดาได้จริงๆ

เขาได้แต่ยิ้มให้พร้อมกับสายหน้าไป ไม่คิดอะไรต่ออีก เขาเชื่อมั่นในฝีมือของตนเองที่ผ่านมา ตอนนี้เขายิ่งเชื่อใจ ในตัวรพีพงษ์มากกว่าเดิม

คนสองคนเดินเข้าไปด้านในสนามมวย ชั้นหนึ่งเป็นยิม เอาไว้ออกกำลังกาย ชั้นสองเป็นที่รวมพลของบรรดานัก ชกทั้งหลาย

พิชญุตม์ทำสังเวียนมวยเพิ่มที่บริเวณชั้นสอง ทุกคืนก็จะ

จัดคนให้ขึ้นไปแข่งขันชกมวยบนสังเวียน

สังเวียนมวยของที่นี่เป็นสังเวียนมวยการต่อสู้ชกมวยที่ ไม่ได้มาตรฐาน สนามชกมวยที่พูดกัน ก็แค่สิ่งที่พิชญุตม์ ทำขึ้นมาบังหน้าเท่านั้นแหละ

เพราะว่าบนสังเวียนนั้นไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว ไม่มี คำร้องขอ แค่ขึ้นไปบนสังเวียน มีแค่แพ้กับชนะเท่านั้นเองไม่ว่าจะใช้วิธีก็ตาม ขอแค่ชนะฝ่ายตรงข้าม ก็ถือว่าเป็น ฝ่ายชนะ

เพราะว่าไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว คนที่อยู่บนสังเวียนเลย ใช้วิธีการที่รุนแรงดุดันมาก หลังจากสิ้นสุดการแข่งขันแล้ว การที่แขนหักขาหักนั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ที่นี่ยังเคยมีคนตายบนสังเวียนมวยมานักต่อนักแล้ว แต่ก็ ไม่มีใครมาสนใจเรื่องพวกนี้อยู่ดี เพราะว่าคนที่มาที่นี่ต่างรู้ ดีว่า การที่จะเอาตัวเองขึ้นไปบนสังเวียนมวยนั้นเป็นสิทธิ์ที่ ตนเองเลือกเอง ตนเองไม่เก่งพอเหมือนคนอื่น ก็เสียชีวิตก็ แค่นี้ และไม่มีทางไปโทษคนอื่นได้

ด้วยเหตุการณ์ใช้กำลังความรุนแรงบนสังเวียนมวยของ พิชญุตม์ มันลงหมัดได้หนักกว่าบนหน้าจอโทรทัศน์เสียอีก เพราะฉะนั้นเลยทำให้คนวัยกลางคนที่มีพละกำลังมากมาย มาที่นี่เพื่อดูการแข่งขัน

พิชญุตม์อาศัยหาเงินจากบัตรค่าเข้าชมเหล่านี้ ทุกวันจะ มีคนเข้าชมทยอยกันมาไม่ขาดสาย พิชญุตม์ก็ได้เงินมาไม่ น้อยจากการอาศัยค่าบัตรนี้แหละ

หลังจากที่รพีพงษ์กับธฤตญาณเดินเข้าไปแล้ว ก็มุ่งหน้า เดินไปยังชั้นสองทันที ทางเข้าบริเวณชั้นสอง ก็มีผู้ชาย กล้ามโตเป็นมัดๆ ยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นหลายคน พอเห็นว่ารพี พงษ์กับธฤตญาณเดินเข้าไป ก็ยื่นมือออกมาขวางเอาไว้ ก่อน

“อยากเข้าไปก็จ่ายมาคนละ500”
รพีพงษ์เดาะลิ้นอยู่เงียบๆ ในใจคิดว่าพืชญุตมนีหาเงิน เก่งมาก อยากจะเข้าไปด้านในสนามยังต้องจ่าย 500 ค่อน ข้างเขี้ยวลากดินไปนิด

แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ลังเล แล้วยื่นเงินให้คนนั้นไปหนึ่งพัน

พอได้เงินมาแล้ว ผู้ชายกล้ามโตหลายคนนั้นก็ปล่อยตัว รพีพงษ์กับธฤตญาณให้เข้าไป

“ไปอยู่ข้างในก็ทำตัวดีๆ เข้าไว้ อย่าไปหาเรื่องใส่ตัว ทาง เราไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น” คนคนหนึ่งพูดออกมา

รพีพงษ์ยิ้มให้ และก็ได้คิดอยู่ในใจว่าถ้าตนเองหาเรื่อง ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าพวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับความรับ ผิดชอบนี้ได้

บริเวณชั้นสองคนเยอะมาก พอมองไปรอบๆ ก็เห็นคน เต็มแน่น ต่างล้อมรอบสังเวียนมวยเอาไว้รอบทิศทาง

ในเวลานั้นเองบนสังเวียนมวยก็มีคนที่กำลังต่อสู้กันอย่าง เอาเป็นเอาตายอยู่บนนั้น คนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ ดูลักษณะ ท่าทางแล้วมีพละกำลังมากมาย แต่ฝ่ายตรงข้าม เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว คนที่เข้ามาต่อสู้กับเขาถึง แม้ว่าไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี

ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบทิศทางต่างสนุกสนานกันยกใหญ่ ตะโกนโห่ร้องไม่หยุด

รพีพงษ์ยังเห็นว่าด้านข้างสังเวียนมีเดิมพันอีกด้วย ดูท่า แล้วพิชญุตม์อาศัยเงินที่ได้มาจากการแข่งขันบนสังเวียน มวยได้มาเป็นกอบเป็นกำ
“ราชาวาโยคนสุดยอด! ฆ่ามันซะ!”

“ดึงแขนมันให้หัก! ให้มันได้เห็นความบ้าคลั่งของราชา วาโย”

“ไอ้สัตว์ ถือว่าราชาวาโยยังคงออกหมัดได้สบาย หมัดนี้ คงต่อยกระแทกเนื้อได้”

รพีพงษ์เดาได้ว่าผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คงจะเป็นคนพวก นั้นเรียกกันติดปากว่าราชาวาโย

ถ้าต้องลงมือจริง รพีพงษ์แค่ต่อยหมัดเดียวก็สามารถทำ เขาให้ล้มกองกับพื้นได้

“เราจะทำยังไงดี? วันนี้พิชญุตม์วางแผนจะไปลงมือกับ พวกเรา ตอนนี้มันคงไม่ได้มาสนใจกับที่นี่หรอก ถ้าให้ฉัน เดาไม่ผิดนะ มันกำลังรวบรวมคน ไม่น่าจะมาที่นี่” ธฤต ญาณพูดออกมา

รพีพงษ์คิดอยู่ชั่วครู่ นี่เป็นปัญหาจริง ถ้าพิชญุตม์ไม่ได้ มาที่นี่ เขากับธฤตญาณมาที่นี่ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย

เวลานั้นราชาวาโยที่อยู่บนสังเวียนคว้าแขนข้างหนึ่งของ คู่ต่อสู้เอาไว้ได้ จากนั้นก็ได้แรง จัดการแขนของเขาจนหัก

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น มือทั้งสองของราชา วาโยก็ยกคนคนนั้นขึ้นมาด้วย จากนั้นก็ขว้างไปยังด้าน ข้างของเวที

ผู้คนที่อยู่โดยรอบสังเวียนมวยต่างตะโกนโห่ร้องกันขึ้นส่วนใหญ่เป็นเสียงเรียกชื่อราชาวาโย

ราชาวาโยกตะโกนส่งเสียงคำรามออกไปครั้งหนึ่ง ดวงตาดุดัน ทอประกายความโหดร้ายของเขา

รพีพงษ์ยิ้มให้ธฤตญาณ จากนั้นก็อ้าปากพูดว่า “แม้ว่า เราหาพิชญุตม์ไม่เจอ งั้นก็ให้มันมาหาพวกเราสิ”

ธฤตญาณตกใจ พร้อมทั้งอ้าปากถาม “จะให้มันมาหา พวกเรายังไง?”

รพีพงษ์ไม่ได้ตอบคำถาม แต่หันหลังไป จากนั้นก็ กระโดดตัวลอย แล้วก็อยู่บนสังเวียนมวยทันที

ธฤตญาณเห็นภาพนั้น เข้าใจทันที ว่ารพีพงษ์คงกำลังไป สร้างเรื่องอยู่ เพื่อให้พิชญุตม์ยอมโผล่หน้าออกมา

แต่ว่า ถึงแม้ว่ารพีพงษ์จะชนะราชาวาโยก็ตาม แต่ก็ไม่ สามารถให้ลูกหน้าฝีมือดีคนนั้นมาที่นี่แน่ การที่รพีพงษ์ทำ แบบนี้เหมือนขาดความคิดให้รอบคอบ

ทุกคนที่เห็นรพีพงษ์ขึ้นไปบนสังเวียนมวยนั้น ต่างเงียบ สนิท เพราะไม่รู้ว่าคนครนนี้อยากทำอะไรกันแน่

ส่วนราชาวาโยเองก็มองรพีพงษ์อยู่แวบหนึ่ง แววตาทอ ประกายการดูถูกออกมา พร้อมทั้งพูดด้วยเสียงแข็ง “ไอ้ น้อง มิ้งมาทำอะไร?”

“ขึ้นมาบนสังเวียน ก็ต้องมาต่อยกับถึงไง” รพีพงษ์พูด

เมื่อได้ยินสิ่งที่รพีพงษ์พูดออกมานั้น ราชาวาโยหัวเราะ เสียงดังลั่น พร้อมทั้งอ้าปากพูด “ไอ้เหี้ยนี่มึงกำลังล้อกูเล่นอยู่ใช่ไหม? ตัวแห้งยังกับไม้เสียบผี ยังอยากจะมาสู้กับกูเห รอ?”

คนที่อยู่ด้านล่างสังเวียนต่างหัวเราะกัน หัวเราะที่รพีพงษ์ ไม่มีแรงจะยืนด้วยซ้ำ

“ไอ้คนนี้น่าจะน้ำไหลเข้าสมองไปแล้วมั้ง ราชาวาโยเป็น

ถึงเทพผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ของที่นี่ คนที่สามารถจะต่อยเขาได้

มีไม่กี่คน”

“เขาก็ไม่มองสารรูปตัวเองเอาซะเลย ขาเล็กแขนเล็ก ของเขานั่น เกรงว่าแค่ราชาวาโยออกแรงมือเดียวก็คง ทำให้เขาตายไปแล้ว”

“ปีนี้มีคนกล้ามาสู้กับราชาวาโย ดูท่าแล้วคงเบื่อที่จะให้ ตัวเองมีชีวิตที่ยาวนานแหละ”

“หรือว่าถึงกลัว?” รพีพงษ์พูดไปยิ้มไป

ราชาวาโยได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ถึงกลับต้องหัวเราะ ออกมา เลยเอ่ยปากพูด “แม่ง ถือว่ามึงเป็นคนขี้คุยที่สุดเท่า ที่กูเคยเจอมา ถือว่าไม่มีใครกล้ามาก่อนเลย”

คนที่อยู่ด้านล่างต่างหัวเราะเยาะเย้ยไปตามๆ กัน เพราะ รู้สึกว่าสิ่งที่รพีพงษ์กำลังพูดอยู่นั้น เหมือนว่ากำลังขี้โม้อยู่

“อยากจะสู้กับกู งั้นมึงก็บอกชื่อมึงมาเถอะ อีกเดี่ยวถูกก็

ต่อยจนตาย ก็จะได้รู้ว่ามึงเป็นลูกใคร” ราชาวาโยอ้าปาก

พูด
“ธฤตญาณ!” รพีพงษ์ตอบ

น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดังมากมายอะไร แต่หนักแน่น คน ที่อยู่ในสนามนั้นต่างได้ยินในสิ่งที่เขาพูดออกมา

คนครึ่งสนามแข่งมวยต่างเงียบฉี่

เพราะว่าธฤตญาณค่อนข้างมีชื่อเสียงมากในระยะนี้ คน ที่เข้ามาดูการแข่งขันที่นี่ ก็เข้าใจถึงอำนาจที่อยู่ในมือใน เมืองริเวอร์อยู่บ้าง และรู้ว่าระยะนี้ชื่อธฤตญาณเป็นคนที่มี อำนาจและชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่ง

ตัวจริงของธฤตญาณที่ยืนอยู่ด้านล่างตกตะลึงจน ตาค้างพูดอะไรไม่ออก ไม่คิดเลยว่ารพีพงษ์จะปลอมเป็น เขา เมื่อเห็นท่าทางเอาจริงเอาจริงของรพีพงษ์แล้ว ธฤต ญาณไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

แต่ว่าเขาก็เข้าใจรพีพงษ์ดีที่ต้องการหาวิธีให้พิชญุตม์มา

หา คนที่อยู่ในสนามแข่งมีลูกน้องของพิชญุตม์อยู่ไม่น้อย

ถ้าพวกเขารู้ว่าธฤตญาณได้มาที่นี่ ต้องไปบอกกับพิชญุตม์ แน่ เพราะว่าเป้าหมายของพิชญุตม์ในคืนนี้ก็คือธฤตญาณ พอรู้ว่าธฤตญาณมาถึงที่ ก็คงไม่ไปที่สถานบันเทิงสตาร์

กายแล้ว

ราชาวาโยใช้สายตาประเมินรพีพงษ์อยู่ จากนั้นก็หัวเราะ ให้ทันที เลยอ้าปากพูดออกมาว่า “ที่แท้ถึงก็คือธฤตญาณ ไม่คิดว่าธฤตญาณจะอ่อนปวกเปียกผอมแห้งแรงน้อยเป็น ไม้เสียบผี วันนี้จึงมารนหาที่ตายเอง งั้นก็จะจัดการมึงแทนพี่พิชญุตม์ของกูเอง ต่อไปกูราชาวาโย ก็กลายเป็นผู้ทรง อิทธิพลที่สุดในเมืองริเวอร์แล้ว!”

ในเวลานั้นเองลูกน้องของพิชญุตม์ก็หันมาทางด้านนี้เพื่อ ประเมินสถานการณ์ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้ว จัดการโทรศัพท์หาพิชญุตม์ทันที

รพีพงษ์จ้องมองและยิ้มให้ราชาวาโย จากนั้นก็พูดออก มา “ความคิดถึงก็ไม่เลวทีเดียว แต่ช่างน่าเสียดายที่ กู ธฤต ญาณเก่งตัวพ่อขนาดนี้ ถึงจะมาสู้กับกูได้ยังไง”

ธฤตญาณถึงกับต้องเอามือปิดหน้าของตนเอง เพราะว่า

รพีพงษ์แอบอ้างชื่อเขา แถมยังอ้างได้จนเขาเขินอายซะ

ขนาดนี้ ถ้าข่าวแพร่สะพัดออกไป กลัวว่าคงมีคนไม่น้อย

หัวเราะเขาเป็นแน่

สีหน้าของทุกคนจ้องมารพีพงษ์ที่อยู่บนสังเวียนอย่าง สงสัยใคร่รู้ พวกเขาเคยได้ยินเรื่องของธฤตญาณมาไม่ มากไม่น้อย ต่างรู้ดีว่าธฤตญาณเป็นคนสุขุมที่บ้าดีเดือด แต่ว่าตอนนี้ทำไมรู้สึกว่าเหมือนกำลังเสแสร้งว่าเก่งอยู่ล่ะ?

“ไอ้สัตว์ ถึงตอแหลเก่งจริงๆ มึงเก่งหรือไม่เก่ง สู้กันสักตั้ง เดี๋ยวก็รู้เอง! ดูจากสภาพร่างกายถึงแล้ว แค่กออกหมัดไม่ ถึงสิบหมัดถึงก็เสร็จแล้ว!” ราชาวาโยพูดอย่างเย็นชา

รพีพงษ์หัวเราะทันที พร้อมทั้งเอ่ยปากพูด “กูธฤตญาณ คนที่เก่งตัวพ่อ ไม่ใช่คนที่มึงจะมาจินตนาการเอาได้ แค่สู้ กับคนอย่างมึง กูให้หมัดเดียวมึงก็จอดแล้ว”

ธฤตญาณที่อยู่ด้านล่างสังเวียนถึงกับต้องปิดหน้าปิดหน้าทันที ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขาอยากจะไปจากที่นี่เดียวนี้ เลย

ราชาวาโยเห็นรพีพงษ์พูดเพ้อเจ้อแบบนี้ ได้แต่หัวเราอยู่ ในลำคอ แล้วก็ไม่อยากพูดให้เสียน้ำลายกับเขาอีกแล้ว เลยพุ่งหน้ามาหาเขาทันที

เขากำหมัดของตนเอง จากนั้นก็เล็งไปต่อยยังบริเวณหัว ของรพีพงษ์

“ไอ้สัตว์ กูจะดูว่ามึงจะสู้กับกูยังไง ธฤตญาณที่คนเขา กล่าวถึง น่ากลัวว่าจะเป็นไอ้โง่ที่ขี้อวดล่ะมั้ง!”

รพีพงษ์แสยะยิ้มบริเวณมุมปาก ตอนที่กำปั้นของราชา วาโยใกล้จะมาถึงร่างกายของเขานั้น ร่างกายก็พลิกตัว ทันที จากนั้น กลับเตะไปทางบริเวณช่วงท้องของราชา วาโยแทน

การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก ราชาวาโยไม่ สามารถเทียบเคียงได้เลย เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของรพี พงษ์แล้ว ราชาวาโยถึงกับตกใจทันที

วินาที่ต่อมาเท้าของรพีพงษ์ก็ประทับรอยเท้าบริเวณท้อง ของราชาวาโย ส่วนร่างกายของราชาวาโยก็ลอยละล่อง ออกไป จนชนกับหัวเสาบนสังเวียน เสาบนสังเวียนนั่นหัก ทันที

คนที่อยู่ในสนามแข่งขันต่างเงียบสนิท

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท