บทที่ 480 ต้องเป็นแค่ตระกูลลัดดาวัลย์
ทุกคนได้ยินคำพูดของประเวก จึงขึงตาโตอย่างตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าประเวกและนันทิตาทั้งสองกลับมีความสัมพันธ์กับคนใหญ่คนโต ไม่น่าล่ะพวกเขาสองคนถึงไม่มองคนอื่นในสายตาขนาดนี้
การเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าของเกียวโต เรื่องและคนที่ดึงมาเกี่ยวข้อง ไม่มีคนไหนที่ง่ายเลย ต่อให้น้าชายของประเวกจะเป็นเพียงคนที่ทำงานให้กับคนใหม่คนโตในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ก็คงต้องไม่ใช่คนธรรมดาจะสามารถผิดใจด้วยได้
หลังจากที่รู้ฐานะของประเวก ทีแรกก็ยังรู้ตลกและเกลียดชังพวกเขาสองคน จึงรีบเปลี่ยนทีท่าทันที คนที่นั่งในขบวนรถไฟนี้ของพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเกียวโต และส่วนมากก็เป็นคนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเกียวโต ถ้าสามารถคบหาเป็นเพื่อนกับประเวก ถึงเวลาคงได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยแน่นอน
ทั่วทุกสี่ทิศต่างก็ทำใบหน้าที่เคล้าด้วยความเป็นมิตรแล้วขยับเข้าไปใกล้ประเวก ใบหน้าเคล้าด้วยรอยยิ้ม เหมือนลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“พ่อหนุ่ม คุณช่างเก่งกาจจริงๆ อายุยังหนุ่มก็สามารถเข้าร่วมงานใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดแน่นอน”
“ใช่ น้องชาย ก่อนหน้านี้ยังเยาะเย้ยคุณ คุณอย่าได้ใส่ใจเลยนะ บ้านของผมเปิดบริษัทในเกียวโต ไม่แน่อนาคตเราอาจจะได้ร่วมมือกัน งั้นเราคบหากันเป็นเพื่อนก่อนเถอะ”
“น้องชายเกิดมาหล่อขนาดนี้ แล้วยังมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุด แฟนสาวก็สวยขนาดนี้ นี่คุณถึงจะเป็นคนที่มีชีวิตที่ได้รับชัยชนะตัวจริง”
…….
ได้ยินคนรอบข้างต่างก็เริ่มประจบประแจง สีหน้าของประเวกก็เคล้าด้วยความน่าภาคภูมิใจทันที ความรู้สึกอึดอัดใจในก่อนหน้านี้ก็จางหายไป
นันทิตาที่อยู่ข้างๆ ก็ถอนหายใจ แล้วมองคนที่อยู่รอบๆ พวกนี้ จู่ๆ ก็ไม่กล้าหายใจเสียงดัง หัวเล็กๆ ของเธอก็แหงนขึ้นมาด้วยหยิ่งทะนงตัว
เธอเป็นแฟนของประเวก ประเวกยิ่งเก่ง งั้นเธอก็จะยิ่งมีหน้ามีตา
เธอหันไปเหลือบตามองรพีพงษ์เพียงพริบตาเดียว แล้วเห็นรพีพงษ์เหมือนจะไม่ได้สนใจในเรื่องที่พวกเขาพูดคุย แค่ทำสีหน้านิ่งเฉยพลางมองไปนอกหน้าต่าง
เธอเบะปากทันที ภายในใจกำลังคิดว่ารพีพงษ์ต้องแกล้งทำแน่นอน จริงๆ เขาตั้งใจฟังมาก อีกอย่างภายในใจต้องรู้สึกเสียใจมากที่ไปผิดใจกับประเวก แค่รักศักดิ์ศรีของตนเอง เขาจึงแกล้งทำท่าทางที่ไม่สนใจ
“ทว่าก็แค่คนที่มีรูปกำยำแต่ไร้สมองเท่านั้น คนแบบนี้จะเทียบกับประเวกได้ยังไง ช่างตลกจริงๆ ” นันทิตาพึมพำขึ้น
“น้องชาย ผมได้ยินคนที่รับผิดชอบเกี่ยวกับโปคเจคการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า วันนี้กำลังตามหาผู้ร่วมงาน ว่ากันว่าบริษัทยักษ์ใหญ่แต่ละบริษัทและตระกูลใหญ่ในเกียวโตต่างก็อยากจะได้โอกาสนี้ วันนี้เกียวโตมีความเป็นไปได้สูงมากที่สุด น่าจะมีแค่ตระกูลลัดดาวัลย์และหอการค้าสมน.แล้วแหละ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยถามคำพูดนี้
ประเวกทำท่าทางที่รู้ทุกอย่างอย่างลุ่มลึก และพูดขึ้น “นี่พวกคุณต่างก็เดาผิดไปแล้ว วันนี้ในเกียวโต มีบริษัทใหม่บริษัทหนึ่ง ชื่อว่ากรุ๊ปKIN ความสามารถของบริษัทนี้แข็งแกร่งมาก อีกอย่างยังมุ่งเน้นตระกูลลัดดาวัลย์โดยเฉพาะ ตระกูลลัดดาวัลย์ที่เคยเป็นผู้กุมอำนาจสำคัญในเกียวโตยังรู้สึกจนปัญญากับพวกเขา ต่อให้เป็นหอการค้าสมน. ก็คงไม่สามารถต่อต้านพวกเขาได้ ฉันได้รับข่าวสารจากทางฝั่งน้าชาย ครั้งนี้ความหวังที่ใหญ่ที่สุด ก็คือกรุ๊ปKINนี้”
ทุกคนได้ยินต่างก็ขึงตาโต นึกไม่ถึงว่าประเวกกลับพูดถึงตระกูลลัดดาวัลย์ที่มีอำนาจน่าเกรงขามนี้ กลับถูกบริษัทใหม่เอาเรื่องจนจนปัญญา นี่มันค่อนข้างสวนทางกับความคิดของพวกเขาจริงๆ
“กรุ๊ปKINนี้ฉันก็เคยได้ยิน วันนี้เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเกียวโตจริงๆ แค่สิ่งที่ทำให้ผมคาดคิดไม่ถึงคือ กรุ๊ปKINกลับเก่งกาจถึงขั้นนี้ แม้แต่ตระกูลลัดดาวัลย์จะไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดขึ้น
“ทว่านี่ก็แค่เป็นเรื่องที่คาดเดาเท่านั้น ตระกูลลัดดาวัลย์ยังไงก็มีอำนาจในเกียวโตมาหลายปี ไม่ใช่พูดว่าล่มสลายก็จะล่มสลาย ถ้าตระกูลลัดดาวัลย์ถูกเอาเรื่อง ผมกลับรู้สึกว่าหอการค้าสมน.กลับมีความเป็นไปได้มากกว่า” แล้วก็มีอีกคนๆ หนึ่งที่ได้แสดงถึงความคิดของตัวเอง
ทุกคนต่างก็เริ่มพูดสิ่งที่ตัวเองคาดการณ์ออกมา คนที่นั่งอยู่บนรถไฟมากมายต่างก็ไปทำงานที่เกียวโต คนพวกนี้ก็ได้เข้าใจในสถานการณ์ของเกียวโตเป็นอย่างมาก ตามข่าวคราวที่ได้รับก็ไม่เหมือนกัน จึงมีมุมปากในเรื่องนี้ที่แตกต่างกันออกไป
ตอนที่ทุกคนกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้อย่างดุเดือด นันทิตาก็หันเหลือบมองรพีพงษ์ที่อยู่ข้างๆ ตัวเอง แล้วเห็นเขาทำท่าทางที่ไม่อยากมีส่วนร่วม ภายในใจกำลังรู้สึกว่าคนๆ นี้ต้องเป็นผู้ชายที่ธรรมดาแน่ๆ เขาไม่เข้าใจในเรื่องใหญ่เหล่านี้ที่กำลังจะเกิดในเกียวโต เขาต้องฟังไม่รู้เรื่องว่าประเวกกำลังพูดอะไร ดังนั้นจึงแกล้งทำท่าทางที่ไม่สนใจอะไร
เธอกลอกลูกตามองไป แล้วก็พูดกับรพีพงษ์ “นี่ นายอย่ามองข้างนอกอีกเลย นายก็พูดถึงความคิดของนายหน่อยสิ นายรู้สึกว่าครั้งนี้ฝ่ายไหนจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้มีโอกาสร่วมงานกับการสร้างโครงการเปลี่ยนเขตเมืองเก่า? ”
ทุกคนต่างก็หยุดลง แล้วหันไปมองรพีพงษ์ เหมือนอยากรู้ว่ารพีพงษ์คิดยังไงกับเรื่องนี้
ประเวกแสยะยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ดูก็รู้ว่าเขาคือผู้ชายธรรมดา มีแรงมากขนาดนี้ ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่ทำไร่ทำนาทุกวี่ทุกวัน เรื่องใหญ่ขนาดนี้เขาจะรู้ได้ยังไง หรือว่าเขาแทบจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเราพูดอะไรกันอยู่”
รพีพงษ์หันไปเหลือบมองประเวกและนันทิตาเพียงพริบตาเดียว แล้วพูดขึ้น “คนที่มีโอกาสได้ร่วมมือในครั้งนี้ มีแค่ตระกูลลัดดาวัลย์เท่านั้น”
ประเวกนิ่งงันไปทันที แล้วหัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็พูดด้วยการเย้ยหยัน “แกอย่าพูดเล่นสิ วันนี้ฝ่ายที่ไม่ได้รับโอกาสครั้งนี้มากที่สุด ก็คือตระกูลลัดดาวัลย์ แกกลับยังพูดได้เด็ดขาดขนาดนี้ แกนึกว่าแกคือใคร หรือว่าแกคิดว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแกที่เป็นคนตัดสินหรอ? ”
นันทิตาที่อยู่ข้างๆ จึงก่นด่าขึ้นทันที “ตลกจริงๆ นายไม่รู้ก็ไม่รู้สิ ทำไมถึงต้องแกล้งทำเป็นรู้ ครั้งนี้นายคงสร้างเรื่องตลกแล้วสิ น้าชายของประเวกเป็นตั้งคนที่ทำงานกับคนที่รับผิดชอบ ข่าวคราวที่ส่งมาจากเขา ยังไงก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะกำหนดมาแล้ว นายกลับบอกว่ามีแค่ตระกูลลัดดาวัลย์เท่านั้นที่ได้ ฉันว่าแกกำลังพูดจาไร้สาระอยู่มั้ง”
เธอถามรพีพงษ์แบบนี้ ก็เพื่อที่จะหาโอกาสหัวเราะเยาะเขา นึกไม่ถึงว่ารพีพงษ์กลับให้ความร่วมมือขนาดนี้ แล้วยังบอกออกมาอย่างไม่เชี่ยวชาญชัดเจนขนาดนี้ ช่างโง่เขลาจริงๆ
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ก็อดหัวเราะไม่ได้ คนไม่น้อยที่เริ่มดูหมิ่นรพีพงษ์ นันทิตาพูดอาจจะไม่ผิด เขาคือชายหนุ่มที่มีกำลังอันอัศจรรย์ ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่ทำไร่ทำนา ดังนั้นเลยไม่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ในเกียวโต
“ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ก็จบ ทำไมถึงต้องเสแสร้งและเดาไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้ นี่แค่จะทำให้คนลดความประทับใจที่มีต่อเขา”
“ดูๆ แล้ว คนๆ นี้ต้องเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มท่านนี้แน่นอน ถึงแม้เมื่อกี้พวกเขาจะทำไม่ค่อยถูก ทว่าคนอื่นมีตำแหน่งและฐานที่มีอยู่แล้ว นี่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้”
“ถ้าคุณผู้หญิงท่านนี้จะให้พวกหลีกที่นั่งให้ ฉันก็คงจะสนับสนุน ชายหนุ่มคนนี้ไม่เข้าใจแล้วแกล้งทำเป็นเข้าใจก็คงจะทำให้คนรู้สึกรังเกียจเกินไปแล้ว”
…….
รพีพงษ์เห็นการตอบสนองของทุกคน จึงเบะปาก จากนั้นก็หันไปตรงนอกหน้าต่างอีกครั้ง และไม่อยากจะเสียเวลากับพวกเขาอีก
นันทิตาเห็นรพีพงษ์เป็นแบบนี้ จึงรีบเอ่ยพูด “นี่ไม่ได้ถูกพูดจนรู้สึกผิดไปแล้วหรือไง ช่างไม่ละอายใจจริงๆ ถูกแฉความจริงแล้วยังทำท่าทางที่ไม่สนใจใครอีก นายนึกว่าตัวเองทำแบบนี้จะทำให้ดูสง่าและเย็นชาหรอ แค่จะทำให้คนรู้สึกตลก”
เธอไม่เคยคิดเลยจริงๆ เธอเองก็จะจี้ถามรพีพงษ์ให้ได้ ถ้าเธอไม่ถาม รพีพงษ์ต้องไม่สนใจเธอตั้งแต่แรกจนถึงตอนสุดท้าย
“พอเถอะของขวัญ อย่าสนใจเขาเลย คนแบบนี้ผมเจอมาเยอะ ชอบเก๊ก ยังไงพวกเราก็แค่ต้องทนนั่งรถไฟขบวนเดียวกับเขาอย่างเลือกไม่ได้เท่านั้น อย่าไปเสียอารมณ์กับเขาเลย” ประเวกพูดขึ้น
นันทิตาจึงพยักหน้าใส่ประเวก ทั้งสองหันหน้าไปทางอื่น และก็พูดคุยกับผู้คนอย่างดุเดือดต่อ
เมื่อกี้รพีพงษ์ก็ไม่ได้บอกนันทิตาไปโดยตรง ครั้งนี้แผนการที่เปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ความจริงแล้วเขาเป็นคนตัดสิน
คนที่รับผิดชอบคนนั้นเป็นคนกลางของกิสนา วันนี้ต้องบริการรพีพงษ์แน่นๆ แค่รพีพงษ์พูด การร่วมงานครั้งนี้อยากจะเป็นใครก็ได้หมด
ตระกูลลัดดาวัลย์ถูกกรุ๊ปKINจ้องจะเอาเรื่อง รพีพงษ์ต้องคิดหาวิธีเพื่อที่จะช่วยตระกูลลัดดาวัลย์ให้มีทางรอดแน่นอน การร่วมงานครั้งนี้ นอกจากตระกูลลัดดาวัลย์แล้ว ก็ไม่มีทางให้คนอื่นอีก
และเขาก็ไม่ได้ให้คนรับผิดชอบคนนั้นแสดงเป้าหมายออกมาอย่างชัดเจนเกินไป สำหรับภายนอก ความหวังที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็นกรุ๊ปKIN น้าชายของประเวกก็แค่เป็นคนข้างๆ คนที่รับผิดชอบคนนั้นเท่านั้น และเป็นบุคคลทีไม่สำคัญอะไร แล้วยังรู้ได้ยังไงว่าผู้ที่จะมาร่วมงานในโปรเจคการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าได้ตัดสินอย่างมั่นใจไปแล้ว
และรพีพงษ์ทำแบบนี้ ก็เพื่อให้ความหวังจิรเวชและโยษิตา แน่นอนว่าพวกเขาต้องมั่นใจว่าโอกาสครั้งนี้ต้องตกอยู่ในมือของพวกเขา ตอนที่พวกเขาคิดไปเองว่าสามารถพึ่งพาเรื่องโปรเจคการเปลี่ยนแปลกเขตเมืองเก่านี้มาจู่โจมตระกูลลัดดาวัลย์ รพีพงษ์ก็จะทำให้พวกเขาเข้าใจทันที ทุกอย่างได้ถูกวางไว้ตั้งนานแล้ว และพวกเขาไม่มีทางเป็นคู่แข่งของรพีพงษ์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ถึงเวลาเชื่อว่าสีหน้าของพวกเขาต้องดูน่าสนใจมากแน่นอน
พอรถไฟความเร็วสูงถึงสถานี ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นมาเอาสัมภาระของตนเอง จากเดินออกจากรถไฟ ตอนที่ประเวกและนันทิตาลุกขึ้นก็เหลือบตามองรพีพงษ์ด้วยความโหดเหี้ยมหนึ่งแวบตาเดียว จากนั้นก็เดินออกไปข้างนอก
รพีพงษ์ยืนขึ้น แล้วบิดขี้เกียจ หลังจากที่ลงจากรถไฟ ก็มองท้องฟ้าที่อยู่ไกล ครั้งนี้ เขาต้องให้บทเรียนที่โยษิตาสมควรจะได้รับ ไหนๆ ครั้งที่แล้วเธอก็ฟื้นคืนชีพ งั้นครั้งนี้รพีพงษ์ต้องเห็นเธอตายต่อหน้าต่อตาตัวเอง ทำให้เธอไม่มีทางรอดชีวิตไปได้อีกครั้ง!
ข้างนอกสถานีรถไฟ ประเวกและนันทิตาทั้งสองก็เดินออกไป ไม่นานก็เห็นรถบีเอ็มดับเบิลยูที่จอดอยู่ข้างถนน ข้างรถมีผู้ชายที่ใส่เสื้อสูทคนหนึ่งยืนอยู่
ประเวกจึงรีบจูงนันทิตาเดินไป หลังจากที่ไปถึงข้างๆ คนๆ นั้น ก็รีบตะโกนด้วยรอยยิ้ม “น้าชาย นี่เป็นแฟนของผม ของขวัญครับ”
น้าชายของประเวกส่งยิ้มให้พวกเขาสองคน แล้วพูดขึ้น “รีบขึ้นรถเถอะ น้าจะพาพวกเธอสองคนไปห้องอีวานโฟนนิก วันนี้ลูกพี่ของพวกน้าไปต้อนรับแขกคนสำคัญมาก น้าจะรีบไปตกแต่งก่อน พวกเธอสองคนเดี๋ยวถ้าไปแล้วต้องฉลาดมีไหวพริบหน่อย อย่าสร้างปัญหาให้น้า”
ประเวกและนันทิตาทั้งสองก็ได้ยินว่าจะไปเจอกับคนใหญ่คนโต ใบหน้าก็เคล้าด้วยความตื่นเต้นดีใจ แล้วรีบพยักหน้าให้กับน้าชาย จากนั้นก็ขึ้นรถ
แขกคนสำคัญที่สามารถทำให้ผู้รับผิดชอบท่านนั้นต้อนรับ ต้องไม่ใช่คนธรรมดา และไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหน ภายในใจของนันทิตาค่อนข้างรู้สึกรอคอย
รถบีเอ็มคันนั้นจากไปได้ไม่นาน รพีพงษ์ก็เดินถึงข้างถนน จากนั้นก็เรียกรถแท็กซี่ แล้วนั่งขึ้นไป
“ลุงครับ ไปห้องอีวานโฟนนิก”