พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 479 โยนพวกแกสองคนลงไป

บทที่ 479 โยนพวกแกสองคนลงไป

บทที่ 479 โยนพวกแกสองคนลงไป

บนรถไฟความเร็วสูงที่มุ่งหน้าไปยังเกียวโต

รพีพงษ์นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างหน้าต่างแล้วหลับตาทำสมาธิ ขบวนรถไฟถึงสถานี แล้วค่อยๆ จอดลง มีคนไม่น้อยลงจากรถไฟ แล้วก็มีคนไม่น้อยที่ขึ้นรถไฟ

ผ่านไปยังไม่นาน รพีพงษ์ก็รู้สึกมีคนกำลังใช้มือจับหัวของตนเอง จึงได้ลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยแล้วยืนอยู่ตรงหน้าตนเอง

ผู้หญิงคนนั้นทำผมลอน ดูอายุยี่สิบกว่าๆ มีดวงตาที่กลมโต ก็ถือว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่ง

“เป็นอะไรไป? ” รพีพงษ์เอ่ยถาม

“คุณนั่งข้างนอก ฉันจะนั่งริมหน้าต่าง” ผู้หญิงพูดด้วยความไม่เกรงใจ

รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น “นี่เป็นที่นั่งของผม”

“ที่นั่งของคุณแล้วจะทำไม? ฉันอยากจะที่ติดหน้าต่าง คุณก็ต้องถอยให้ฉัน ทำไมคุณถึงไม่มีตาทิพย์สักนิดเลย? ” ผู้หญิงพูดอย่างวางอำนาจ

รพีพงษ์รู้สึกสุดคำบรรยายเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น “ถ้าคุณใช่คนแก่ คนป่วย คนพิการ หรือคนตั้งครรภ์ ผมสามารถหลีกให้คุณได้ คุณเป็นคนประเภทไหน? ”

ผู้หญิงจึงปรี้ดแตก แล้วตะโกนขึ้น “คุณบอกใครเป็นคนแก่ คนป่วย คนพิการหา คุณรีบขอโทษฉันเดี๋ยวนี้! ”

รพีพงษ์ไม่ได้สนใจเธอ แล้วหลับตาลงต่อ

ผู้หญิงเห็นรพีพงษ์ไม่สนใจเธอ จึงรู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นก็ขย่ำเท้าอยู่ที่เดิม

คนที่นั่งรอบๆ รพีพงษ์เห็นผู้หญิงคนนี้แต่งตัวแบรนด์เนมทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเป็นคุณหนูจากคนมีเงิน ดังนั้นก็ไม่กล้าไปมีผิดด้วย จึงมองเธอใส่อารมณ์แบบนี้

ไม่นาน ชายคนหนึ่งที่มีอายุราวๆ กับผู้หญิงคนนี้ก็เดินมา เขาเดินมาข้างๆ ผู้หญิง แล้วเอ่ยถาม “ของขวัญ เธอเป็นอะไรไป? ”

นันทิตาเห็นผู้ชาย จึงรีบทำท่าทางที่ไม่ได้รับความธรรมแล้วพูดขึ้น “ประเวก คุณรีบช่วยฉันสั่งสอนไอ้ผู้ชายที่ไม่รู้จักกลัวคนนี้หน่อย ฉันบอกให้เขาเปลี่ยนที่นั่งกับฉัน ฉันอยากจะนั่งริมหน้าต่าง เขากลับไม่เห็นด้วย ทำให้ฉันเครียดตายแล้ว”

ประเวกได้ยินคำพูดของนันทิตา จึงเหลือบตามองรพีพงษ์ที่กำลังหลับตาพักผ่อนเพียงพริบตา จากนั้นก็พูดกับรพีพงษ์อย่างไม่พอใจเล็กน้อย “นี่ คนอย่างคุณทำไมถึงไม่รู้จักสงสารกุลสตรีสักบ้าง เธอเป็นผู้หญิง คุณยอมๆ เธอหน่อยไม่ได้หรือไง คุณรีบหลีกที่นั่งนั้นออกมาเถอะ อย่าให้ผมต้องพูดมากอะไรเลย”

“ฉันก็บอกให้คุณแล้วไงว่าอย่าซื้อที่นั่งระดับสองนี้ ที่นั่งระดับสองได้เจอกับคนอะไรก็ไม่รู้ ถ้าคุณซื้อที่นั่งชั้นบิสซิเนส เราก็คงไม่ต้องมาทนทุกข์หรอก” นันทิตาจึงว่าประเวกด้วยสีหน้าที่เคล้าด้วยความโมโห

ประเวกรีบขอโทษนันทิตา “นี่เป็นความผิดของผมเอง ของขวัญ โทษผมทั้งหมดเลย ที่ไม่ได้ซื้อที่นั่งชั้นบิสซิเนส ครั้งหน้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

ทุกคนที่นั่งอยู่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของพวกเขา จึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที ทว่าก็ไม่กล้าสร้างปัญหา ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

นันทิตาจึงเหลือบตามองรพีพงษ์อย่างขุ่นเคืองใจ แล้วสังเกตเห็นรพีพงษ์ยังคงอยู่ในท่าเดิม และไม่มีการขยับใดๆ

“คุณดูเขาสิ เขาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา คุณบอกเขา เขาไม่แม้แต่จะฟัง” นันทิตาชี้ไปยังรพีพงษ์

ประเวกก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อกี้เขาคุยกับรพีพงษ์ รพีพงษ์กลับไม่ได้ตอบสนองแม้แต่สักนิด สำหรับคนที่เป็นพ่อหนุ่มไฟแรง จะทนกับท่าทีแบบนี้ของคนอื่นที่กระทำต่อเขาได้ยังไง

อีกอย่างประเวกกับนันทิตาก็คือคุณชายและคุณหนูจากตระกูลใหญ่ในเมือง ถึงแม้เมืองของพวกเขาไม่ถือว่าโด่งดัง ทว่าตั้งแต่เด็กก็ถูกเลี้ยงมาอย่างดิบดี

น้าชายสายแม่คนหนึ่งของประเวกช่วงนี้ได้ติดตามและทำงานให้กับคนใหญ่คนโตท่านหนึ่ง พวกเขาสองคนมาเกียวโตก็เพื่อที่จะไปหาน้าชายคนนั้น ไปพบหน้ากันหน่อย

พอนึกถึงน้าชายของตนเองติดตามคนใหญ่คนโต เป็นคนที่มีอิทธิพลในสังคม ตอนนี้กลับถูกคนๆ หนึ่งที่ซื้อที่นั่งโดยสารชั้นสองไม่มองในสายตา ภายในใจของประเวกก็รู้สึกโมโหขึ้นมา

“แกไม่ได้ยินคำพูดของฉันใช่ไหม? ฉันให้เวลาแกสามวินาที รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจแก! ” ประเวกยื่นมือไปชี้หน้ารพีพงษ์

รพีพงษ์ยังคงไม่ตอบสนองใดๆ แล้วหลับตาลง ท่าทางเหมือนสนใจเสียงของโลกภายนอกเลย

“หนึ่ง! ”

“สอง! ”

ประเวกตะโกนขึ้น ตอนนี้ทั้งใบหน้าของเขากลายเป็นสีหน้าที่ดูแย่ ในห้องโดยสารมีคนมากมายกำลังจับจ้องอยู่ ถ้ารพีพงษ์ไม่ให้เกียรติเขา เขาต้องลงมือสั่งสอนรพีพงษ์แน่นอน

คนรอบข้างมองฉากๆ นี้ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการครอบงำของประเวกและนันทิตาก็ไม่มีวิธีอะไรแล้ว

“ไอ้หมอนี่ก็ไม่กลัวว่าจะสร้างเรื่องบาดหมางจริงๆ กลับกล้าไปมีเรื่องกับสองคนนี้ ดูจากสภาพของเขานั้นธรรมดา ต้องไม่มีวิธีมีเรื่องกับลูกคนมีเงินพวกนี้แน่นอน”

“ก็นับถือในความกล้าหาญของเขาจริงๆ แค่เขาเหมือนดูโง่เกินไป แล้วหลับตาอยู่อย่างนั้น ถ้าผู้ชายคนนั้นจะทำร้ายร่างกายเขาขึ้นมา เขาก็ไม่มีปัญญาโต้แย้งกลับแน่นอน”

“ได้เจอกับคนพวกนี้ก็ถือว่าตันใจจริงๆ หวังว่าไอ้หมอนี่จะไม่เกิดเรื่องที่ร้ายแรงอะไรก็พอ ถ้าเดี๋ยวเขายอมอ่อนข้อ แล้วหลีกที่นั่งหน่อย คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

……

“สาม! ”

ประเวกนับสาม ก็เห็นรพีพงษ์ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน และไม่พูดไม่จา จากนั้นก็เอาฝ่ามือและกำลังจะตบหน้ารพีพงษ์

คนรอบข้างเห็น ต่างก็ส่ายหัวไม่หยุด แม้กระทั่งบางคนยังอยากจะเอ่ยพูดเพื่อบอกเตือนรพีพงษ์ ทว่าสุดท้ายยังคงไม่กล้าพูดอะไร

ตอนที่ฝ่ามือของประเวกใกล้จะโดนหน้าของรพีพงษ์ รพีพงษ์ก็ยกมือขึ้นทันที จากนั้นก็จับข้อมือของประเวกไว้ แล้วมือของเขาก็ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย

ประเวกจึงตกตะลึง เมื่อกี้เขาเห็นรพีพงษ์หลับตาสนิท ไม่มีทางเห็นฝ่ามือที่ตบไปของเขาแน่นอน ทว่ารพีพงษ์กลับจับมือที่ตบไปของเขาได้อย่างแม่นยำขนาดนี้

เขาใช้แรง และอยากจะดึงมือตัวเองกลับมา ทว่าก็สังเกตเห็นอย่างน่าตกตะลึงว่ามือของเขากลับขยับไม่ได้แม้แต่นิด ไม่ว่าเขาจะใช้แรงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลุดออกจากมือของรพีพงษ์ได้

คนที่อยู่รอบๆ เห็นฉากนี้ ทั้งใบหน้าเคล้าด้วยความตกตะลึง นึกไม่ถึงว่ารพีพงษ์หลับตาก็ยังสามารถจับมือของประเวกได้ ช่างเก่งกาจจริงๆ

“แม่งเอ้ย แกปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง! ” ประเวกตะคอกใส่รพีพงษ์ไปด้วย และก็ใช้แรงดึงมือของตัวเองไปด้วย

เวลานี้จู่ๆ รพีพงษ์ก็ปล่อยมือ ประเวกก็นั่งลงบนพื้นทันที แล้วร้องโอ้ยขึ้นมา

ทุกคนในห้องโดยสารเห็นฉากนี้ จึงหัวเราะเสียงดังทันที

นันทิตาแค่รู้สึกขายหน้า และแทบจะออกจากที่นี่ทันที แล้วทำเป็นไม่รู้จักประเวก

ประเวกลุกขึ้นจากพื้น แล้วนวดสะโพกของตัวเอง จากนั้นก็หันไปมองคนพวกนั้นที่กำลังหัวเราะ จึงพูดอย่างโมโห “พวกแกหัวเราะอะไร! ถ้ายังหัวเราะอีกก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจแล้วกัน! ”

คนไม่น้อยก็รีบหุบปากทันที แค่ว่ายังคงมีคนหัวเราะเสียงเบา เมื่อผ่านเรื่องเมื่อกี้ไป ความหวาดกลัวของทุกคนที่มีต่อประเวกก็ลดน้อยลงไปมาก

“ประเวก! เรื่องนี้ถ้าคุณจัดการไม่ได้ สถานีต่อไปก็ลงจากรถไฟ! ” นันทิตาตะคอกใส่ประเวกทันที

ประเวกแอบก่นด่าในใจ จากนั้นก็มองไปยังรพีพงษ์ แล้วพูดขึ้น “แกยังถือว่ามีความอดทนซินะ? ถ้าแกแน่จริงก็สู้กับฉันตัวต่อตัวสิ ฉันรับประกันว่าแกจะคุกเข่าขอร้องฉัน! ”

เวลานี้รพีพงษ์ลืมขึ้น แล้วขึงตามองประเวกและนันทิตาเพียงชั่วพริบตา แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “ถ้าพวกคุณแกคนยังจะโวยวายต่ออีก ตอนนี้ฉันจะโยนพวกแกสองคนลงไปรถไฟ”

ประเวกและนันทิตาต่างก็ถูกสายตาที่เลือดเย็นชาของรพีพงษ์ทำให้ตกใจ ทันใดนั้นกลับไม่กล้าโต้แย้งรพีพงษ์กลับ ภายในใจของพวกเขาต่างก็แน่ใจ ถ้าพวกเขาไม่ฟังคำพูดของรพีพงษ์ รพีพงษ์คงจะโยนพวกเขาสองคนลงจากรถไฟแน่นอน

“ตอนนี้รีบไปนั่งที่นั่งของตัวเองให้ดี ตอนออกมาข้างนอก ก็เก็บความเอาแต่ใจที่เป็นลูกคุณหนูคุณชายของพวกแกไว้ให้ดี ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทนกับนิสัยใจคอของพวกแกได้” รพีพงษ์เอ่ยพูด

ประเวกและนันทิตาทั้งสองก็รีบไปนั่งประจำที่นั่งของตัวเองไว้อย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าไปมีเรื่องกับรพีพงษ์อีกต่อไป

ทุกคนเห็นฉากๆ นี้ภายในใจก็แอบพูดว่าดี ทุกคนต่างก็เชียร์รพีพงษ์ ขณะเดียวกันก็รู้สึกประเวกและนันทิตา และก็สมน้ำหน้าพวกเขา

ตอนที่พวกเขาอยู่ในบ้านไม่มีใครจัดการกับพวกเขา หลังจากออกบ้าน ย่อมมีคนที่สามารถทำให้จัดการกับพวกเขา

ประเวกและนันทิตา ทั้งสองนั่งลงเสร็จ และต่างที่นิ่งเงียบไปสักพัก แค่มองรพีพงษ์ด้วยสายตาเกลียดชังเพียงไม่กี่พริบตา จากนั้นก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรอีก

จากนั้นนั้นขบวนรถไฟนี้ก็มุ่งหน้าต่อ ในห้องโดยสารที่เกิดบรรยากาศที่สงบสุขขึ้นเยอะ มีคนไม่น้อยที่พูดคุยเล่นกันต่อ

รพีพงษ์ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น แค่ว่าเวลานี้ก็ไม่ได้หลับตาพักผ่อนอีกไป แต่มองไปยังทิวทัศน์ที่แวบผ่านตาตรงนอกหน้าต่าง ภายในใจกำลังคิดว่าอารียาตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ได้รับความทุกข์ทรมานหรือไม่

สองวันนี้ที่เขาอยู่ในเมืองริเวอร์ คนที่อยู่ท่ามกลางกิสนาต่างก็ปรับเปลี่ยนกำลัง และเอารับภารกิจที่ต้องเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าของเกียวโต แล้วคนรับผิดชอบก็คือคนๆ หนึ่งที่มากความสามารถและเป็นบุคคลที่อยู่นอกโลกที่กิสนาฝึกฝนออกมา

กิสนามีมาหลายปีแล้ว ในประวัติศาสตร์ที่ยานาน ฝึกฝนคนที่มีความสามารถมากมาย และกระจายตัวอยู่ในสายงานสายธุรกิจหลากหลายประเภทในนอกโลก นี่ก็คือกิสนาตัดขาดจากโลก กลับเป็นเหตุผลที่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ นอกโลกอย่างทันเวลา

คนพวกที่มีความสามารถทั้งหมดต่างก็จงรักภักดีกิสนา สำหรับบอสกิสนาก็ยังทำให้พวกเขาเคารพนับถืออย่างบ้าบิ่น

รพีพงษ์เป็นลูกชายบอสกิสนา ขณะเดียวกันก็ยังครอบครองคำสั่งของเทพเจ้าแห่งสงคราม คนพวกที่อยู่ในนอกโลกถึงจะฟังคำสั่งของรพีพงษ์

ครั้งนี้เขายืมกำลังของกิสนา ในการได้มาซึ่งภารกิจการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ก็เพื่อที่จะสั่งสอนโยษิตาและตระกูลนิธิวรสกุลส่งมาเกียวโต พวกเขาต้องไม่รู้ว่าตัวเองได้รับการสนับสนุนอันแรงแกร่งและยิ่งใหญ่จากกิสนา

ไม่แน่ไอ้จิรเวชและโยษิตาอาจจะรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังปวดหัวว่าจะจัดการกับพวกเขายังไง กลับไม่รู้ว่ารพีพงษ์ได้ครอบครองกำลังที่มีผลกระทบต่อสถานการณ์ของโลก อยากจะจัดการกับคนๆ หนึ่งของตระกูลนิธิวรสกุลที่ถูกสั่งให้ไปเกียวโต แน่นอนว่าต้องง่ายต่อการจัดการอยู่แล้ว

ที่เขารอคอยคือสามารถเห็นสีหน้าของจิรเวชและโยษิตาสองคนตอนที่รู้ว่าเบื้องหลังของผู้ที่วางแผนเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าที่แท้จริงคือรพีพงษ์ สีหน้าของพวกเขาจะเป็นยังไง

“ไม่รู้ว่าพวกคุณได้ยินมาหรือยัง เขตเมืองเก่าของเกียวโตใกล้จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ นี่เป็นโปรเจคที่ใหญ่มาก ถึงเวลาเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้อง ต้องเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากแน่นอน” เวลานี้ชายวัยกลางคนหนึ่งพูดขึ้น

“ใช่หรอ เขตเมืองเก่าจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมดหรอ ทว่าไม่ใช่ที่ๆ สถานที่อื่นสามารถเทียบเทียมได้ เป็นการก่อสร้างที่ใหญ่มากจริงๆ ”

“ได้ยินว่าผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานก่อสร้างนี้ คือคนใหญ่คนโตที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ว่ากันว่าตอนนี้คนที่มีอำนาจของเกียวโตต่างกำลังคิดหาวิธีเพื่อที่จะเอาอกเอาใจคนใหญ่คนโตท่านนี้ ถ้าสามารถได้ส่วนแบ่งอะไรมาจากโปรเจคการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า งั้นก็คงได้รับผลประโยชน์จะทำให้คนตกใจมาก”

ทีแรกประเวกที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา พอได้ยินทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับปัญหานี้ บนใบหน้าเคล้าด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นจึงพูดกับทุกคน “จะบอกพวกคุณนะ ครั้งนี้เราไปเกียวโต ก็เพื่อไปหาน้าชายของผม น้าชายของผมทำงานให้กับคนใหญ่คนโตคนนั้นที่พวกคุณพูดถึง ไม่แน่แผนการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่าในครั้งนี้ ผมก็ยังสามารถได้รับตำแหน่งที่ตั้งหนึ่งในนั้นก็ได้”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท