พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 488 ฉันพูดถูกไหม

บทที่ 488 ฉันพูดถูกไหม

บทที่ 488 ฉันพูดถูกไหม

ตลาดโบราณสวรรค์ที่โด่งดังที่สุดในเกียวโต ร้านขายของโบราณคายดี้

รพีพงษ์ออกมาจากรถแท็กซี่ แล้วเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ก็เห็นไกรเดชยืนอยู่ตรงนั้น

ไกรเดชเห็นรพีพงษ์มา ก็รีบยิ้มพลางเดินไปทางเขา

“คุณรพี วันนี้เห็นของดีอะไรหรือยัง อย่าเกรงใจกับผมนะครับ ผมควักเงิน ซื้อของขวัญให้กับคุณรพี” ไกรเดชยิ้มพูดขึ้น

รพีพงษ์ตอบกลับ “ไม่ต้อง ผมไม่ได้สนใจวัตถุโบราณสักเท่าไหร่ คุณให้ผม ผมก็คงไม่มีกะจิตกะใจไปเล่นกับมัน”

ทีแรกวันนี้เขาไม่ได้จะมา ทว่าก็ทำตัวไม่ถูกที่ไกรเดชเป็นมิตรเกินไป ทำให้รพีพงษ์ต้องมา อีกอย่างวิกฤตของตระกูลลัดดาวัลย์ตอนนี้ก็สามารถจัดการได้แล้ว รพีพงษ์ก็ไม่มีเรื่องอะไร ดังนั้นภายใต้การขอร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าของไกรเดช รพีพงษ์จึงตกลงกับเขา

พอดีกับที่เขาเองก็ไม่ได้ไปตลาดโบราณสวรรค์มานานแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้สนใจเล่นวัตถุโบราณ ทว่าทั้งเกียวโต ผู้ที่รู้จักวัตถุโบราณมากกว่าเขา คงไม่มากกว่าสามคน

ร้านขายของโบราณคายดี้ก็คือสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำในตอนนั้นของรพีพงษ์ จำได้ว่าตอนนั้นเขายังเคยประกวดกับปรมัตถ์ที่เป็นปรมาจารย์แห่งวัตถุโบราณอันดับหนึ่งของเกียวโตในที่นี่ ทั้งสองเจอกันครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน รพีพงษ์แสดงออกถึงความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุโบราณ ก็ยิ่งทำให้ปรมัตถ์รู้สึกตกตะลึง

และเพราะว่ารพีพงษ์กับปรมัตถ์มีความสัมพันธ์แบบนี้ วัตถุโบราณพวกนั้นของตระกูลลัดดาวัลย์จึงรับการหลักฐานในการตรวจเช็ควัตถุโบราณด้วยลายลักษณ์อักษรของปรมัตถ์เอง

คิดๆ แล้วเขากับปรมัตถ์ก็ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว และไม่รู้ว่าเขายังอยู่ใน ร้านขายของโบราณคายดี้หรือเปล่า

เพราะว่านึกถึงเรื่องพวกนั้นในตอนนั้น รพีพงษ์จึงอยากจะมาเยี่ยมชมที่นี่

“ฮ่าๆ พวกวัตถุโบราณ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอย่างที่คุณคิดขนาดนั้น มากสุดก็แค่ยากตรงที่วิเคราะห์ปีของมัน คุณรพีหากมีอะไรที่ไม่เข้าใจ ก็ถามผมได้เลย” ไกรเดชนึกว่ารพีพงษ์บอกว่าเขาไม่สนใจด้านการเล่นวัตถุโบราณ ก็เพราะว่าไม่รู้เรื่อง ดังนั้นจึงพูดคำๆ นี้กับรพีพงษ์อย่างได้ใจ

และจากที่เขาดูแล้ว รพีพงษ์เก่งด้านการต่อสู้และด้านอื่นๆ อย่างมาก สำหรับการที่เล่นวัตถุโบราณไม่เป็นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว และนี่ก็คือความชอบของเขา และสามารถแสดงตรงหน้าของรพีพงษ์

รพีพงษ์คงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นึกไม่ถึงว่าไกรเดชกลับนึกว่าตนเองเล่นวัตถุโบราณไม่เป็นดังนั้นเลยไม่สนใจ ทว่าเขาก็ไม่ได้อยากจะอธิบายเยอะ ไหนๆ ไกรเดชอยากจะแสดง งั้นก็ให้โอกาสหนึ่งกับเขา

“คุณไม่ได้บอกว่ายังมีเพื่อนอีกหรอ? ” รพีพงษ์เอ่ยถาม

“พวกเขาเข้าไปแล้ว ตอนนี้เราเข้าไปตามหาพวกเขาก็พอ เพื่อนของผมเป็นผอ.ของคณะประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยฟูตันที่เมืองเซี่ยงไฮ้ สำหรับการเล่นวัตถุโบราณเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ครั้งนี้มาเกียวโต ต้องลากผมมาร้านขายของโบราณคายดี้นี้ให้ได้ นี่ผมก็เพราะว่าเขา ถึงได้หาเวลามาหนึ่งวัน เพื่อที่จะมาเยี่ยมชมที่นี่” ไกรเดชเดินไปด้วยพูดไปด้วย

รพีพงษ์พยักหน้า แล้วไม่ได้ถามมาก คนที่ระดับแบบนี้อย่างไกรเดช คนที่รู้สึกแน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา ผอ.ของคณะประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยฟูตันที่เมืองเซี่ยงไฮ้ แน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว

“อีกอย่างเพื่อนผมคนนี้พานักศึกษาคนหนึ่งจากคณะของพวกเขามาด้วย เป็นสาวสวยที่หน้าตาสวยและมีเสน่ห์มาก หากคุณรพีชอบ ผมยังสามารถทำให้จับคู่ให้ท่านได้” ไกรเดชหัวเราะเหอะๆ

รพีพงษ์หันไปจ้องหน้าเขา แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “วันข้างหน้าอย่าล้อเล่นแบบนี้กับผมอีก คิดดูก่อนว่าตนเองหนังหนาไหม”

ทันใดนั้นไกรเดชก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกจุดสูงสุดของยอดศีรษะ ถึงแม้ข้างหลังจะไม่ถูกตี ทว่ากลับรู้สึกได้ว่ากำลังระเหยความร้อนบางอย่างออกมา

เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วรีบพยักหน้าให้กับรพีพงษ์ ภายในใจกำลังคิดว่ารพีพงษ์ไม่ชอบการล้อเล่นแบบนี้ วันข้างหน้าเขาจะไม่ล้อเล่นเรื่อยเปื่อยอีก ไม่งั้นยอดฝีมือที่ประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ท่านนี้ เกรงว่าแค่ใช้นิ้วมือเดียวก็สามารถกระทุ้งตนเองให้ตายได้

ตอนนี้รพีพงษ์ยังรู้สึกกังวลในการหายตัวไปของอารียา แล้วยังสามารถทนกับการล้อเล่นกับเขาแบบนี้ได้ยังไง

ทั้งสองเดินเข้าไปในร้านขายของโบราณคายดี้ แล้วมองไปทั่วสี่ทิศตามถนน ไม่นาน รพีพงษ์ก็เห็นคนๆ หนึ่งที่สวมใส่ชุดทางการที่อยู่ไม่ไกล ถึงแม้ผมจะขาวเล็กน้อย ทว่ากลับดูเหมือนผู้เฒ่าที่หวีผมได้อย่างเป็นระเบียบ ผู้เฒ่าท่านนี้มีรูปร่างที่สูง แล้วยังไว้หางม้า สวมใส่กรอบแว่นสีดำ ท่าทีดูสง่าเหมือนคนชั้นสูง และเป็นผู้หญิงที่เสน่ห์และโดดเด่น

ผู้หญิงคนนั้นให้ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนมองเพียงพริบตาก็รู้ว่าต้องเคยอ่านหนังสือมาเยอะ และดูเหมือนเข้าใจอะไรมากมาย

อีกอย่างอาจจะเพราะว่ารู้เยอะไปหน่อย ดังนั้นบนเรือนร่างของผู้หญิงจึงเคล้าด้วยความสง่าที่เลือดเย็นเล็กน้อย พวกผู้ชายที่สังเกตมองเธอก็มักจะถูกเธอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

สองคนนี้ก็คือเพื่อนที่ไกรเดชพูดถึง คนที่ดูแก่หน่อยชื่อว่าผดุงสิทธิ์ ผู้หญิงชื่อว่ามโนชา ต่างก็เป็นนักศึกษาดีเด่นในมหาวิทยาลัยฟูตัน

ไกรเดชเห็นสองคนนี้ จึงรีบขึ้นหน้าไปกล่าวทักทาย

“ท่านผดุงสิทธิ์ ให้พวกท่านสองคนรอนานแล้ว”

ผดุงสิทธิ์และมโนชาต่างก็หันมามองทางนี้ แล้วส่งยิ้มให้กับไกรเดช

“ผมแนะนำให้พวกคุณรู้จักหน่อย ท่านนี้คือคุณรพีพงษ์ที่ผมเคยบอกพวกคุณ คุณรพี ท่านนี้คือผอ.คณะประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฟูตัน คุณผดุงสิทธิ์ และคนนี้คือลูกศิษย์ของเขา มโนชา” ไกรเดชแนะนำขึ้น

ผดุงสิทธิ์และมโนชาทจึงหันไปมองรพีพงษ์เพียงพริบตาเดียว ผดุงสิทธิ์แค่พยักหน้าให้กับรพีพงษ์ แล้วคงมารยาทพื้นฐาน เพราะว่าการขอร้องของรพีพงษ์ คือไม่ให้ไกรเดชพูดฐานะของเขาให้กับพวกเขาฟัง แค่บอกว่ารพีพงษ์เป็นเพื่อนของเขา

มโนชามองว่ารพีพงษ์โตกว่าเธอแค่ไม่กี่ปี ดังนั้นจึงสังเกตมองเขาสักพัก ถึงแม้รพีพงษ์จะเป็นเพื่อนของไกรเดช ทว่าดูๆ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ

ที่ผ่านมามโนชาที่เป็นคนที่ดีเด่นก็มักจะสนใจในคนที่ดีเด่นเท่านั้น เห็นว่ารพีพงษ์ธรรมดาขนาดนี้ ไม่ว่าเขาจะพึ่งพาวิธีอะไรมากลายเป็นเพื่อนของไกรเดช มโนชาก็ไม่ค่อยสนใจที่จะคบหารพีพงษ์ให้มากกว่านี้

รพีพงษ์กลับไม่ได้สนใจสายตาของมโนชา แค่ทักทายเธอกับผดุงสิทธิ์ตามมารยาท ผู้หญิงคนนี้สวยและดึงดูดความสนใจของผู้อื่นจริงๆ ทว่ารพีพงษ์ที่เจอสาวสวยมามากก็ไม่ได้รู้สึกว่ามโนชามีความพิเศษอะไร

มโนชาเห็นรพีพงษ์ไม่ได้สนใจเธอเลยสักพัก จึงรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย เธอเคยชินที่จะถูกคนที่มีอายุเดียวกันให้ความสำคัญ จู่ๆ ก็ปรากฏคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ กับเธอ เลยจะทำให้เธอค่อนข้างสนใจ และในมุมมองของมโนชา ไม่มีทางที่คนจะไม่สนใจในตัวเอง ส่วนมากคนที่ดูไม่สนใจ มักจะเสแสร้งแกล้งทำ

แสร้งปล่อยเพื่อจับ นี่เป็นจุดเด่นผู้ชายชั่วๆ พวกนั้นในความทรงจำของมโนชา

“เสแสร้ง” มโนชาพึมพำในใจ

หลังจากที่ไกรเดชแนะนำเสร็จ ก็พาทั้งสามคนเดินรอบๆ ร้านขายของโบราณคายดี้ อยากดูจะสามารถจับผิดได้หรือไม่ หรือว่าจะสามารถหาของขวัญที่ดีแล้วส่งให้กับรพีพงษ์

พอเดินมาหนึ่งรอบ ไกรเดชกลับสังเกตเห็นของดีไม่กี่อย่าง ถึงแม้จะเป็นวัตถุโบราณที่ไม่เยอะขนาดนั้น ทว่าถ้าเอามาเล่น ก็ถือว่าเหลือเฟือแล้ว

และทุกครั้งที่สังเกตเห็นของดี ผดุงสิทธิ์ก็มักจะทดสอบมโนชา ทำให้เธอพูดประวัติของของสิ่งนั้น

มโนชาก็ไม่ได้ทำให้ผดุงสิทธิ์ผิดหวังตลอดมา มักจะสามารถบอกความเป็นมาของของพวกนั้นได้

นี่ทำให้ผดุงสิทธิ์รู้สึกภูมิใจ มโนชาเป็นนักเรียนของเขา สามารถแสดงออกมาอย่างได้ดีเด่นขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องทำให้เขาที่เป็นอาจารย์ได้หน้าได้ตาด้วย

ไกรเดชก็รู้สึกตกตะลึงในมโนชา จึงได้กล่าวชมขึ้นตลอด ถึงแม้เขาจะมีความสนใจในการเล่นวัตถุโบราณ ทว่าถ้าเทียบกับพวกที่เรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โดยเฉพาะ ก็เหมือนว่าจะเป็นบุคคลภายนอก

กลับมองรพีพงษ์ ที่ไม่พูดไม่จาตลอดทาง ไกรเดชนึกว่ารพีพงษ์ไม่เข้าใจ ดังนั้นเลยแนะนำให้กับรพีพงษ์มาตลอด

อีกอย่างรพีพงษ์ก็ไม่ได้สนใจคำพูดที่เล่นวัตถุโบราณพวกนั้นของมโนชาเลย สำหรับของที่สามารถเห็นทะลุประวัติได้ในชั่วพริบตาแบบนี้ รพีพงษ์ต้องไม่สนใจแน่นอน มีหลายๆ ครั้งตอนที่มโนชาพูด แม้กระทั่งเขายังจาม

นี่ทำให้มโนชารู้สึกโมโหมาก เธอรู้สึกว่าไหนๆ รพีพงษ์ก็ไม่รู้เรื่อง ก็ควรจะที่ตั้งใจฟัง ทำไมต้องแสดงท่าทีที่ทนดูไม่ได้แบบนี้ ไม่งั้นเขาก็ไม่ควรมาที่นี่ นี่ทำให้มโนชารู้สึกว่ารพีพงษ์เป็นไอ้พ่อหนุ่มที่เสแสร้งแล้วยังหยิ่งยโส

เพราะแบบนี้ตอนที่เธออธิบาย ก็มักจะเหลือบตารพีพงษ์อย่างตั้งใจและไม่ตั้งใจ สายตานั้นเหมือนกำลังดูหมิ่นรพีพงษ์ และไม่สามารถบดบังความไม่พอใจของตัวเอง

รพีพงษ์ก็สังเกตเห็นนัยน์ตาของมโนชา ทว่าก็ไม่ได้สนใจ เกิดเป็นวัยรุ่น รพีพงษ์สามารถเข้าใจความคิดของมโนชา ถ้ารพีพงษ์ก็แค่นักศึกษาดีเด่นคนหนึ่ง เขาต้องคิดถึงคนรอบข้าง โดยเฉพาะอยากจะแสดงความเก่งกาจของตัวเองออกมาอย่างแปลกพิลึก

เสียดายมาตรฐานของรพีพงษ์นั้นเหนือกว่ามโนชาไปเยอะ อีกอย่างเรื่องที่เขาเคยเจอมาก็ไปไกลกว่านักศึกษาเหล่านั้นที่สามารถเทียบเทียมได้ ดังนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจว่ามโนชาจะมองเขายังไง

และตอนที่เดินไปตรงตู้โชว์หนึ่ง มโนชาก็เห็นข้างในมีเหรียญโบราณวางไว้ นัยน์ตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็เอาขึ้นมา แล้วมองรพีพงษ์ และพูดขึ้น “คุณรพีตามเรามานานขนาดนี้แล้ว กลับไม่พูดไม่จาตลอดมา อีกอย่างตอนที่ฉันแนะนำวัตถุโบราณ คุณรพีเหมือนจะทนฟังไม่ไหว เหมือนว่าท่านรพีรู้ว่าลูกพวกนี้คืออะไรในชั่วพริบตา”

“ไหนๆ คุณรพีก็สามารถเป็นเพื่อนของอาเดชแล้ว คิดว่าก็เคยมีประสบการณ์ อาเดชพาคุณมาที่นี่ งั้นคุณก็ต้องรู้วัตถุโบราณ ไม่งั้นคุณรพีลองแนะนำเหรียญนี้ให้ดิฉัน ว่ามีประวัติอะไรบ้าง? ”

ไกรเดชได้ยินมโนชาพูดด้วยความเคียดแค้น สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาเพิ่งอยากจะตำหนิมโนชา ทว่าพอนึกถึงผดุงสิทธิ์อยู่ข้างๆ เขาก็ไม่อยากพูด

ผดุงสิทธิ์มองเหรียญโบราณที่อยู่ในมือของมโนชา แล้วยิ้มพูดขึ้น “ชา หนูก็อย่าทำให้คุณรพีต้องลำบากใจเลย อาเดชได้อธิบายให้คุณรพีฟังมาตลอด นั่นก็หมายความว่าคุณรพีไม่เข้าใจในด้านนี้ เหรียญโบราณนี้ หนูยังพบเห็นได้ยากเลย ต่อให้เป็นคนที่คณะประวัติศาสตร์ ไอ้ที่รู้ก็น้อยมาก คุณรพีจะแนะนำให้หนูได้ยังไง”

“ใช่หรอ แต่ก่อนหน้านี้หนูเห็นคุณรพีเหมือนไม่เหมือนคนที่ไม่รู้เรื่อง ไม่งั้นทำไมตอนที่หนูแนะนำถึงไม่สนใจเลย อาจารย์คะ ท่านอย่าดูถูกคุณรพีสิคะ” มโนชารีบพูดขึ้น

ฟังแล้วเหมือนเธอกำลังชมรพีพงษ์ จริงๆ แล้วกำลังขุดหลุมให้กับรพีพงษ์ แค่รพีพงษ์แนะนำไม่ออก งั้นถ้าเขารู้สึกอับอายคน ก็ยิ่งร้ายแรงกว่าเดิมแล้ว

มโนชาก็เย่อหยิ่ง แล้วทำไมเธอถึงต้องยอมให้คนที่โตกว่าเธอไม่กี่ปีทำตัวเย่อหยิ่งแบบนี้ล่ะ กลับไม่ได้รู้สึกสนใจในการแนะนำของเธอเลย

ไกรเดชเห็นมโนชาพูดแบบนี้ ก็ยิ่งกระวนกระวาย หลังจากลังเลไปสักพัก เธอก็รีบกระซิบข้างหูรพีพงษ์ แล้วพูดด้วยเสียงเบา “คุณรพี เธอยังเป็นนักศึกษา มีอะไรมากมายที่ไม่รู้ คุณอย่าถือสาเธอเลย จะแนะนำหรือไม่ก็ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไร” รพีพงษ์ยิ้ม ถึงแม้นึกไม่ถึงว่ามโนชาจึงนึกว่าเขาทนฟังไม่ได้ ดังนั้นจู่ๆ ถึงได้มาทำให้เขาลำบากใจ ทว่าเขาก็ไม่สนใจ แค่คิดว่าเป็นการแสดงของสาวน้อยก็พอ

หลังจากนั้นเขาหันไป ก็มองมโนชา แล้วยิ้มพูดขึ้น “เหรียญโบราณนี้ในมือของคุณ ชื่อว่าเงินไซซี นายพลกบฏแห่งราชวงศ์ถังShi Simingยึดครองลั่วหยางแล้วได้เงินไซซีมา หลังจากรู้ว่าไซซีสองคำนี้อัปมงคล จึงเปลี่ยนเป็นShuntian กลายเป็นShuntian Tong Bao”

“ไม่รู้ว่าผมพูดถูกไหม?

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท