บทที่490 ของปลอมสองชิ้น
ไกรเดชได้ยินคำพูดของมโนชาใบหน้าก็เต็มไปด้วยความอึดอัด เขาก็คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะว่าอย่างนี้กับปรมัตถ์ ไม่รู้ว่าทำยังไงดีไปชั่วขณะ
ผดุงสิทธิ์ขมวดคิ้ว ปรมัตถ์เป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการประเมินวัตถุโบราณที่หนึ่งที่มีชื่อเสียงทั่วโลก เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย ตอนนี้รพีพงษ์พูดระดับการประเมินวัตถุโบราณของปรมัตถ์ว่าธรรมดา แม้แต่เขา ก็ยอมรับไม่ได้
“คุณรพี ถ้าอยากจะตัดสินว่าระดับความสามารถของคนอื่นธรรมดา อย่างน้อยตัวเองก็ต้องถึงระดับที่สูงก่อน คุณว่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์อย่างนี้ หรือคิดว่าระดับการประเมินวัตถุโบราณของตัวเองสูงเท่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์?” ผดุงสิทธิ์จ้องมองรพีพงษ์แล้วถามขึ้น
“เขาจะสูงเท่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์ได้ยังไง ระดับของเขา เกรงว่าแม้แต่หนูก็ยังเทียบไม่ได้ คนที่ท่าทางภูมิใจกับการโกงของตัวเอง ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก ไม่ละอายใจเลยจริงๆ ” มโนชาพูดด้วยความโกรธ
รพีพงษ์ถอนหายใจ เมื่อกี้เขาก็แค่ใช้น้ำเสียงแบบเพื่อนกับปรมัตถ์เท่านั้น พูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ก่อนเขาก็พูดอย่างนี้กับปรมัตถ์ ปรมัตถ์ก็ไม่เคยว่าอะไร คิดไม่ถึงเลยว่ามโนชากับผดุงสิทธิ์จะมีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตขนาดนี้
ไกรเดชเห็นท่าทางที่ใกล้เริ่มจะทะเลาะกันของทั้งสามคน ก็รีบกระแอมออกมาสองครั้ง พูดว่า : “พวกคุณอย่าถือสาเลย คุณรพี ก็แค่ล้อเล่น ด้านในครึกครื้นมาก พวกเราเข้าไปดูก่อนเถอะ อย่ามามัวพัวพันกับการล้อเล่นของคุณรพีเลย ”
พูดอยู่ แล้วไกรเดชก็ผลักผดุงสิทธิ์เข้าไปด้านในด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงพวกเขาทะเลาะกับรพีพงษ์ขึ้นมาจริงๆ
มโนชาจ้องรพีพงษ์ไปแป๊บหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินตามผดุงสิทธิ์เข้าไป
ไกรเดชหันกลับไปมองรพีพงษ์ เดินตามเขามาด้านใน และยังพูดอย่างระมัดระวังกับรพีพงษ์ว่า : “คุณรพี ท่านอาจารย์ปรมัตถ์ในสายตาของพวกเขาที่เรียนประวัติศาสตร์ ก็เหมือนกับดาราไอดอล คุณอย่าล้อเล่นแบบนี้ต่อหน้าพวกเขาเลยนะ ”
รพีพงษ์หยักไหล พูดว่า : “ผมไม่ได้ล้อเล่น ถึงแม้เมื่อกี้จะอยู่ต่อหน้าปรมัตถ์ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ”
ใบหน้าของไกรเดชเต็มไปด้วยความจนปัญญา แต่ว่าก็ไม่กล้าเถียงกับรพีพงษ์ต่อไป ทำได้เพียงหุบปากของตัวเอง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงรพีพงษ์พูดคำพูดที่ทำให้ประหลาดใจออกมา
เข้ามาในกำปั่นทอง ทุกคนเห็นว่าในนี้มีตู้นิทรรศการที่กำลังวางอยู่ บนตู้วางวัตถุโบราณต่างๆ นาๆ มากมาย ละลานตาไปหมด รอบข้างวัตถุโบราณมีแผ่นกระดาษเล็กๆ วางอยู่ ด้านบนเขียนแนะนำที่มาของวัตถุโบราณ
ทุกคนล้วนล้อมรอบด้านหน้าของตู้พวกนี้ จ้องมองวัตถุโบราณที่อยู่ด้านบน ชื่นชมอย่างระมัดระวัง
“ทุกคน พวกนี้เป็นของสะสมของท่านอาจารย์ปรมัตถ์พ่อของผม วันนี้นำพวกนี้ออกมาก็เพื่อจะให้ทุกคนได้เห็น ” ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนว่าจะอายุสามสิบกว่าปีส่งเสียงพูดออกมา
คนนี้ก็คือลูกชายของปรมัตถ์ ชื่อปรวิทย์ ปัจจุบันนี้ปรมัตถ์ได้เกษียณไปแล้ว และยังยกกำปั่นทองนี้ให้ ปรวิทย์ดูแลต่อ
“ระดับความสามารถของพ่อผมทุกคนคงรู้แน่ชัดดี ในของสะสมของเขา น้อยมากที่จะมีของปลอม แต่ว่าวันนี้เพื่อที่จะให้ความสนุกสนานกับทุกคน ในของสะสมพวกนี้พ่อผม ได้วางของปลอมสองชิ้นไว้ด้วยตัวเอง ตามคำพูดของพ่อ สิ่งของทั้งสองชิ้นนี้ถึงแม่เป็นของปลอม แต่ก็ล้วนมียุคสมัยที่ยาวนาน ระดับความเหมือนไม่ต่างอะไรกับของจริงเลย วันนี้ถ้าใครสามารถหาของสองชิ้นนี้ออกมาได้ ก็สามารถเลือกของสะสมของพ่อผมไปได้หนึ่งชิ้น ไม่ต้องคำนึงถึงราคา!” ปรวิทย์พูดต่อ
หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำพูดของ ปรวิทย์แล้วนั้น ใบหน้าก็รีบแสดงความตื่นเต้นออกมาทันที ทุกคนมีความกระตือรือร้นอยากจะลอง เหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนที่สามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาอย่างนั้น
“เพราะว่าวันนี้สามารถให้ของสะสมไปได้เพียงชิ้นเดียว ดังนั้นคนไหนหาได้ก่อน คนนั้นก็คือผู้โชคดีในวันนี้ แน่นอน ว่าพวกเราไม่สามารถหาไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นกำหนดเวลาคือหนึ่งชั่วโมง ภายในหนึ่งชั่วโมง คนไหนหามาได้ คนนั้นก็สามารถเลือกของสะสมไปได้หนึ่งชิ้น ” ปรวิทย์พูดเสริม
หลังจากนั้นการแข่งขันหาของปลอมก็เริ่มขึ้น ทุกคนในกำปั่นทองล้วนเริ่มตรวจหาวัตถุโบราณบนตู้นิทรรศการอย่างจริงจัง แม้กระทั่งมีไม่น้อยคนที่ถึงขั้นหยิบแว่นขยายออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจังในการหาร่องรอยของของปลอม
มโนชาก็ดูกระตือรือร้นอยากจะลองดู เธออยู่ในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับวัตถุโบราณมามากมาย คิดว่าตัวเองก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการประเมินวัตถุครึ่งหนึ่ง ในเมื่อที่นี่มีกิจกรรมแบบนี้ เธอก็อยากที่จะแสดงฝีมือของตัวเองออกมาแน่นอน
“อาจารย์ค่ะ พวกเราก็ไปดูกันเถอะ ดูสิว่าจะหาของปลอมทั้งสองชิ้นนั้นได้มั้ย ” มโนชาพูด
ผดุงสิทธิ์พยักหน้า เดินไปถึงด้านหน้าตู้จัดแสดงนิทรรศการ เริ่มมองดูอย่างจริงจัง เขาก็อยากที่จะหาชื่อเสียงท่ามกลางร้านขายของของปรมัตถ์เหมือนกัน
ขณะนั้นเองมโนชาก็หันไปมองรพีพงษ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกแล้วพูดว่า : “คุณไม่ได้พูดว่าระดับความสามารถของคุณสูงนักไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ที่นี่ก็สามารถพิสูจน์ตัวคุณเองได้แล้ว ถ้าคุณมีความสามารถก็ไปหาของปลอมทั้งสองชิ้นออกมาให้ได้ ถ้าหาไม่ได้ วันนี้คุณก็ต้องขอโทษท่านอาจารย์ปรมัตถ์ต่อหน้าทุกคน คุณกล้าพนันกับฉันมั้ย? ”
รพีพงษ์ยิ้มออกมา พูดว่า : “ได้ ถ้าผมแพ้แค่ขอโทษปรมัตถ์แค่นั้น ถ้าคุณแพ้ล่ะ? ”
“ฉันแพ้ ก็……ก็ตอบรับความต้องการของคุณทุกอย่างอย่างไม่มีขอแม้ คุณจะพูดอะไรก็ได้ ขอแค่ฉันทำได้ก็พอ ” มโนชาพูด
“ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรก็ตาม? คุณแน่ใจ? ” รพีพงษ์พูดซ้ำอีกครั้ง
มโนชาพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ พูดว่า : “ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรก็ตาม แต่ว่าฉันกลับไม่คิดว่าคุณจะสามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้ ”
รพีพงษ์ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับเดินไปด้านหน้าตู้จัดแสดงนิทรรศการ เริ่มจ้องมองวัตถุโบราณพวกนั้น
มโนชาไม่ได้สงสัยอะไร รีบเริ่มเข้าไปดู ราวกับว่าจะแข่งขันกับรพีพงษ์ยังไงยังงั้น
เวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาที รพีพงษ์เดินออกมาจากตู้จัดนิทรรศการตรงนั้น แล้วยืนอยู่ด้านข้าง จ้องมองไปที่คนที่ยังหาของปลอมพวกนั้น
ไกรเดชเดินมาข้างรพีพงษ์ ยิ้มแล้วพูดว่า : “คุณรพี ของปลอมพวกนี้คงหายากใช่มั้ย ของที่ท่านอาจารย์ปรมัตถ์ชอบ ถึงแม้ว่าจะเป็นของปลอม แต่ก็ไม่ใช่ของที่จะมองออกได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน คุณหาไม่เจอที่จริงก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ว่าหลังจากนี้คุณจำเป็นต้องแก้ไขอารมณ์ของคุณ อย่าทำตัวไม่เกรงใจท่านอาจารย์ปรมัตถ์แบบนี้จะดีกว่า ”
รพีพงษ์ยิ้ม กลับไม่ได้พูดอะไร
มโนชาเห็นรพีพงษ์หาแค่สิบห้านาที ก็เดินไปยืนอยู่ด้านข้างแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่ดูถูกออกมากะทันหัน ในใจคิดว่ารพีพงษ์หาไปแป๊บหนึ่งแล้วไม่พบเบาะแสอะไรแน่ๆ เลยยอมแพ้
ตอนนี้ดูเมื่อว่า ไอ้เจ้าหมอนี้จะคิดไปเองว่าตัวเองใช่จริงๆ ทั้งที่ไม่มีความสามารถอย่างเห็นได้ชัด กลับพยายามเสแสร้ง น่าขยะแขยงจริงๆ
แต่ว่าอีกแป๊บเดียวเขาก็จะขอโทษท่านอาจารย์ปรมัตถ์ต่อหน้าทุกคนแล้ว ถ้าเขาไม่ทำละก็ เกรงว่าแม้แต่ไกรเดชก็จะดูถูกเขา คิดถึงตรงนี้ ในใจของมโนชาก็ดีใจขึ้นมาไม่น้อยอย่างฉับพลัน
ตอนเริ่มแรก ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คิดว่าตัวเองสามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเลยตั้งใจดูอย่างละเอียด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมองวัตถุโบราณออกหมด
แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนค้นพบว่าตัวเองไม่ทางที่จะมองของปลอมชิ้นไหนที่อยู่ของสะสมพวกนี้ได้เลย เพราะว่ามองพวกมันทุกชิ้นก็ไม่ต่างอะไรกับของจริงเลย มองไม่ออกสักนิดว่าตรงไหนเป็นของปลอม
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็เริ่มคิ้วขมวด แม้แต่คณบดีสาขาวิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฟูตัน ก็มีหน้าตาโศกเศร้า ไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่นิด
ในฐานะที่เป็นนักเรียนของผดุงสิทธิ์ อาจารย์ยังหาเบาะแสไม่เจอ มโนชาก็ยิ่งไม่พบอะไรแตกต่างกัน
เดิมทีมโนชาที่มีความมั่นใจเกี่ยวกับความรู้วัตถุโบราณของตัวเองหลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วโมง รู้สึกว่าความมั่นใจของตัวเองได้รับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ จนถึงตอนนี้เธอถึงรู้สึกตัวว่า การประเมินวัตถุโบราณกลับไม่ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้
ถึงกระทั่งมีบางคนที่มีความรู้ทางวัตถุโบราณครึ่งหนึ่งก็พึ่งการเดาแล้วไปหา ปรวิทย์ เพื่อเสี่ยงดวงของตนแล้ว น่าเสียดายที่ของปลอมมีสองชิ้น ต้องพูดถูกทั้งสองชิ้นเท่านั้นถึงจะนับ เพราะฉะนั้นจะเสี่ยงดวงยังไง ก็ไม่มีทางที่จะพูดของปลอมทั้งสองชิ้นถูกในครั้งเดียว
หลังจากที่แน่ใจว่าหาเบาะแสไม่เจอจริงๆ มโนชาก็ยอมแพ้ แล้วเดินไปทางรพีพงษ์ โชคดีที่ตอนที่เธอพนันกับรพีพงษ์ไม่ได้พูดว่าตัวเองต้องหาของปลอมทั้งสองชิ้นเจอ ดังนั้นนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อการพนันของพวกเขาทั้งสองคน
หลังจากที่เดินมาถึงด้านหน้าของรพีพงษ์ มโนชาจ้องหน้าเขา แล้วพูดว่า : “อีกแป๊บเดียวก็จะครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว อีกแป๊บหนึ่งคุณจำเป็นต้องพูดเหตุผลกับทุกคน แล้วหลังจากนั้นก็ขอโทษท่านอาจารย์ปรมัตถ์ซะ คุณอย่ามาเล่นตุกติกไม่ยอมรับ ฉันว่าอาเดชคงไม่อยากจะคบเพื่อนที่ไม่มีประโยชน์แบบนั้น ”
รพีพงษ์ยิ้ม พูดว่า : “คุณแน่ใจแล้วว่าผมแพ้แล้ว? ”
มโนชาตกตะลึง พร้อมกับพูดว่า : “ไม่อย่างงั้นล่ะ? เมื่อกี้สิบห้านาทีคุณก็เดินมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว คุณอย่าบอกฉันนะว่าแท้ที่จริงแล้วคุณหาของปลอมทั้งสองชิ้นนั้นเจอแล้ว ฉันไม่หลงกลคุณหลอก ”
ไกรเดชก็มองรพีพงษ์อย่างอยากรู้อยากเห็น ในใจก็รู้สึกว่าผ่านไปสิบห้านาทีรพีพงษ์ก็เดินมาตรงนี้แล้ว เหตุผลเพราะว่าหาไม่เจอ
“เอ่อ ผมหาของปลอมทั้งสองชิ้นนั้นได้แล้วจริงๆ ” รพีพงษ์พูด
มโนชารู้สึกหมดคำจะพูดอย่าง พูดว่า : “คุณช่วยไว้หน้าตัวเองหน่อยได้มั้ย เมื่อกี้คุณตรวจดูแค่สิบห้านาทีเอง จะหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้ยังไง อีกอย่างในเมื่อคุณหาได้แล้ว แล้วทำไมไม่ไปบอกลูกชายของท่านอาจารย์ปรมัตถ์? ”
“นี้เป็นการพนันระหว่างคุณกับผมเท่านั้น ผมต้องการให้คุณรู้ก็พอแล้ว ” รพีพงษ์พูด
เขายังไม่กลัวที่จะมีคนอื่นชิงเขาตอบของปลอมสองชิ้นนั้น ทำให้ตัวเองไม่มีทางที่จะอธิบายให้มโนชาฟัง เพราะว่าเขามีความมั่นใจมาก คนในสถานที่นี้ ไม่มีใครสามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นเจอ
ในขณะนั้นผดุงสิทธิ์ก็เดินมาด้วยใบหน้าที่ผิดหวัง จนถึงหน้าของไกรเดช ส่ายหัวแล้วพูดว่า: “ระดับความสามารถของท่านอาจารย์ปรมัตถ์สูงมากจริงๆ คิดไม่ถึงเลยแม้แต่ของปลอม ผมยังไม่มีทางแยกแยะออก วันนี้นับว่ามาเปิดหูเปิดตาแล้วกัน ”
“อาจารย์ค่ะ ไอ้เจ้าหมอที่น่าขยะแขยงคนนี้เขาบอกว่าหาของปลอมเจอแล้ว ” มโนชาใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแล้วพูดกับผดุงสิทธิ์
ผดุงสิทธิ์รีบหันไปมองรพีพงษ์ แล้วพูดว่า : “คุณรพี คุณไม่ได้พูดล้อเล่นใช่มั้ย เมื่อกี้ผมเห็นคุณเดินไปตรงนั้นแค่แป๊บเดียว ก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว คุณคงไม่ได้หาของปลอมเจอแล้วในเวลาอันสั้นหลอกนะ? ”
รพีพงษ์พยักหน้า พูด : “ถูกต้อง ของปลอมสองชิ้นนั้นหาไม่ยากเลยสักนิด ”
“คุณอย่ามาหลอกคนอื่นที่นี่นะ ในเมื่อคุณหาของปลอมทั้งสองเจอแล้ว งั้นคุณก็พูดมาสิว่าคือสองชิ้นไหน อย่าดีแต่พูด” มโนชาพูดกับรพีพงษ์อย่างหมดความอดทน
รพีพงษ์ยืนมือออกไปแล้วชี้ไปที่ตู้จัดแสดงนิทรรศการ พูดว่า : “กาน้ำชาชั้นที่หนึ่งและชามดอกไม้ชั้นสาม ”
สายตาของทุกคนมองไปยังกาน้ำชาและชามดอกไม้ ผดุงสิทธิ์ส่ายหัว พูดว่า : “ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน เมื่อกี้ผมตรวจดูสองสิ่งนั้นอย่างละเอียดแล้ว งานของพวกมันละเอียดประณีตเป็นอย่างมาก เป็นของปลอมไม่ได้อย่างแน่นอน ”
รพีพงษ์ยิ้ม แล้วพูดว่า : “งานของสองชิ้นนั้นละเอียดประณีตอย่างมากก็จริง แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยนั้น มีข้อบกพร่องใหญ่อยู่ ดูยุคสมัย ของทั้งสองสิ่งนี้น่าจะมาจากสาธารณรัฐ ไม่ได้มาจาก ราชวงศ์ซ่งเหนือกับราชวงศ์หมิงด้านบนของมันมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่ได้เป็นของยุคสมัยนั้น แค่คนธรรมดาไม่ง่ายที่จะพบก็เท่านั้น ”
“เหอะ คุณหยุดพูดเรื่องไร้สาระที่นี่ได้แล้ว คุณคิดว่าคุณพูดมั่วซั่วแล้วพวกเราจะเบื่อคุณเหรอ สองชิ้นนั้นฉันก็ดูแล้ว พวกมันไม่ใช่ของปลอมแน่นอน ” มโนชาพูดอย่างเด็ดขาด
“ใช่ไม่ใช่ อีกแป๊บหนึ่งฟัง ปรวิทย์นั้นก็รู้แล้ว ไม่ต้องมารีบร้อนอะไรกับผม ” รพีพงษ์พูด
ในขณะนั้นมโนชาก็รู้สึกได้ถึงการลืมตัวเสียกิริยาของตัวเอง เพราะว่ามองรพีพงษ์แล้วในใจรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เธอไม่สามารถรักษาอารมณ์เย็นชาแบบเดิมของเธอได้อีกแล้ว
“เหอะ รอรก็รอ ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะหาของปลอมจากของสะสมของท่านอาจารย์ปรมัตถ์ภายในเวลาอันสั้นได้ ” มโนชามุ่ยปากพูด
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปรวิทย์มองทุกคนที่คิ้วขมวดติดกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้ดี คนที่สามารถหาของปลอมออกมาได้นั้นน้อยมากจนสามารถนับได้ คนในสถานที่นี้คงไม่มีใครสามารถหาเจอหลอก
เขามองเวลาไปแป๊บหนึ่ง โบกมือไปมา แล้วพูดกับทุกคนว่า: “ทุกคน เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีใครหาของปลอมสองชิ้นนั้นเจอแล้ว ”
ทุกคนหันไปมอง ปรวิทย์ คนไม่น้อยหมดอาลัยตายอยาก ราวกับว่าตัวเองได้ทำของมีค่าหายไปยังไงยังงั้น
“คุณรีบพูดให้พวกเราฟังเร็วๆ สรุปว่าชิ้นไหนเป็นของปลอมกันแน่ ”
“ในนี้ของคุณคงไม่ใช่ไม่ได้ของปลอมตั้งแต่แรกหลอกนะ คุณพูดอย่างดี แค่หลอกพวกเราเฉยๆ ใช่มั้ย ”
ปรวิทย์หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า : “พวกเราจะหลอกพวกคุณได้ยังไง พวกคุณดูชั้นที่หนึ่งของตู้จัดแสดงนิทรรศการ ปั้นชาที่อยู่ด้านบนนั้น ก็คือของปลอม ”
ทุกคนล้วนมองไปที่ ปั้นชานั้น เมื่อกี้ผู้คนไม่น้อยล้วนตรวจดู ปั้นชานั้นแล้ว กลับไม่พบเบาะแสอะไรเลย
กำลังรอ ปรวิทย์พูดคำตอบออกมาอยู่ มโนชาที่จะเปิดเผยหน้ากากจอมปลอมของรพีพงษ์หลังจากได้ยินคำพูดของ ปรวิทย์แล้วนั้น ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
เธอมองรพีพงษ์อย่างคาดไม่ถึง เมื่อกี้เจ้าหมอนี้พูดหนึ่งในสองของสิ่งของนี้ออกมา หนึ่งชิ้น แล้วก็เป็นกาน้ำชาชั้นที่หนึ่ง และชั้นที่หนึ่งนอกจาก ปั้นชาแล้วนั้น กลับไม่มีกาน้ำชาอื่นเลย
“เขาต้องเดาแน่ๆ แค่โชคดีเท่านั้น นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขามองออกหลอก เขาตรวจดูแค่สิบห้านาทีเองนะ จะเป็นไปได้ยังไง!” มโนชาปลอบใจตัวเองภายในใจไม่หยุด แต่หน้าอกของเธอก็อดไม่ได้ที่จะขึ้นๆ ลงขึ้นมา
ใบหน้าของผดุงสิทธิ์และไกรเดชทั้งสองคนก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะพูดถูกแล้วหนึ่งชิ้น
พวกเขาทั้งหมดถึงขั้นกลั้นลมหายใจ อยากจะได้ยิน ปรวิทย์พูดของปลอมชิ้นที่สอง ดูสิว่ารพีพงษ์จะไม่ใช่แค่ดวงดี เดาถูกไปหนึ่งอัน
“ของปลอมชิ้นที่สองนี้ ก็คือชามดอกไม้ชั้นที่สาม ” ปรวิทย์พูดต่อ
มโนชาที่ได้ยินคำพูดของ ปรวิทย์ร่างกายก็แข็งชะงักไปอย่างฉับพลัน สายตาที่มองรพีพงษ์มีความอึดอัดไม่สบายใจขึ้นมา