พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่490 ของปลอมสองชิ้น

บทที่490 ของปลอมสองชิ้น

บทที่490 ของปลอมสองชิ้น

ไกรเดชได้ยินคำพูดของมโนชาใบหน้าก็เต็มไปด้วยความอึดอัด เขาก็คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะว่าอย่างนี้กับปรมัตถ์ ไม่รู้ว่าทำยังไงดีไปชั่วขณะ

ผดุงสิทธิ์ขมวดคิ้ว ปรมัตถ์เป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการประเมินวัตถุโบราณที่หนึ่งที่มีชื่อเสียงทั่วโลก เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย ตอนนี้รพีพงษ์พูดระดับการประเมินวัตถุโบราณของปรมัตถ์ว่าธรรมดา แม้แต่เขา ก็ยอมรับไม่ได้

“คุณรพี ถ้าอยากจะตัดสินว่าระดับความสามารถของคนอื่นธรรมดา อย่างน้อยตัวเองก็ต้องถึงระดับที่สูงก่อน คุณว่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์อย่างนี้ หรือคิดว่าระดับการประเมินวัตถุโบราณของตัวเองสูงเท่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์?” ผดุงสิทธิ์จ้องมองรพีพงษ์แล้วถามขึ้น

“เขาจะสูงเท่าท่านอาจารย์ปรมัตถ์ได้ยังไง ระดับของเขา เกรงว่าแม้แต่หนูก็ยังเทียบไม่ได้ คนที่ท่าทางภูมิใจกับการโกงของตัวเอง ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีก ไม่ละอายใจเลยจริงๆ ” มโนชาพูดด้วยความโกรธ

รพีพงษ์ถอนหายใจ เมื่อกี้เขาก็แค่ใช้น้ำเสียงแบบเพื่อนกับปรมัตถ์เท่านั้น พูดอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ก่อนเขาก็พูดอย่างนี้กับปรมัตถ์ ปรมัตถ์ก็ไม่เคยว่าอะไร คิดไม่ถึงเลยว่ามโนชากับผดุงสิทธิ์จะมีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตขนาดนี้

ไกรเดชเห็นท่าทางที่ใกล้เริ่มจะทะเลาะกันของทั้งสามคน ก็รีบกระแอมออกมาสองครั้ง พูดว่า : “พวกคุณอย่าถือสาเลย คุณรพี ก็แค่ล้อเล่น ด้านในครึกครื้นมาก พวกเราเข้าไปดูก่อนเถอะ อย่ามามัวพัวพันกับการล้อเล่นของคุณรพีเลย ”

พูดอยู่ แล้วไกรเดชก็ผลักผดุงสิทธิ์เข้าไปด้านในด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงพวกเขาทะเลาะกับรพีพงษ์ขึ้นมาจริงๆ

มโนชาจ้องรพีพงษ์ไปแป๊บหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินตามผดุงสิทธิ์เข้าไป

ไกรเดชหันกลับไปมองรพีพงษ์ เดินตามเขามาด้านใน และยังพูดอย่างระมัดระวังกับรพีพงษ์ว่า : “คุณรพี ท่านอาจารย์ปรมัตถ์ในสายตาของพวกเขาที่เรียนประวัติศาสตร์ ก็เหมือนกับดาราไอดอล คุณอย่าล้อเล่นแบบนี้ต่อหน้าพวกเขาเลยนะ ”

รพีพงษ์หยักไหล พูดว่า : “ผมไม่ได้ล้อเล่น ถึงแม้เมื่อกี้จะอยู่ต่อหน้าปรมัตถ์ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไร ”

ใบหน้าของไกรเดชเต็มไปด้วยความจนปัญญา แต่ว่าก็ไม่กล้าเถียงกับรพีพงษ์ต่อไป ทำได้เพียงหุบปากของตัวเอง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงรพีพงษ์พูดคำพูดที่ทำให้ประหลาดใจออกมา

เข้ามาในกำปั่นทอง ทุกคนเห็นว่าในนี้มีตู้นิทรรศการที่กำลังวางอยู่ บนตู้วางวัตถุโบราณต่างๆ นาๆ มากมาย ละลานตาไปหมด รอบข้างวัตถุโบราณมีแผ่นกระดาษเล็กๆ วางอยู่ ด้านบนเขียนแนะนำที่มาของวัตถุโบราณ

ทุกคนล้วนล้อมรอบด้านหน้าของตู้พวกนี้ จ้องมองวัตถุโบราณที่อยู่ด้านบน ชื่นชมอย่างระมัดระวัง

“ทุกคน พวกนี้เป็นของสะสมของท่านอาจารย์ปรมัตถ์พ่อของผม วันนี้นำพวกนี้ออกมาก็เพื่อจะให้ทุกคนได้เห็น ” ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนว่าจะอายุสามสิบกว่าปีส่งเสียงพูดออกมา

คนนี้ก็คือลูกชายของปรมัตถ์ ชื่อปรวิทย์ ปัจจุบันนี้ปรมัตถ์ได้เกษียณไปแล้ว และยังยกกำปั่นทองนี้ให้ ปรวิทย์ดูแลต่อ

“ระดับความสามารถของพ่อผมทุกคนคงรู้แน่ชัดดี ในของสะสมของเขา น้อยมากที่จะมีของปลอม แต่ว่าวันนี้เพื่อที่จะให้ความสนุกสนานกับทุกคน ในของสะสมพวกนี้พ่อผม ได้วางของปลอมสองชิ้นไว้ด้วยตัวเอง ตามคำพูดของพ่อ สิ่งของทั้งสองชิ้นนี้ถึงแม่เป็นของปลอม แต่ก็ล้วนมียุคสมัยที่ยาวนาน ระดับความเหมือนไม่ต่างอะไรกับของจริงเลย วันนี้ถ้าใครสามารถหาของสองชิ้นนี้ออกมาได้ ก็สามารถเลือกของสะสมของพ่อผมไปได้หนึ่งชิ้น ไม่ต้องคำนึงถึงราคา!” ปรวิทย์พูดต่อ

หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำพูดของ ปรวิทย์แล้วนั้น ใบหน้าก็รีบแสดงความตื่นเต้นออกมาทันที ทุกคนมีความกระตือรือร้นอยากจะลอง เหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนที่สามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาอย่างนั้น

“เพราะว่าวันนี้สามารถให้ของสะสมไปได้เพียงชิ้นเดียว ดังนั้นคนไหนหาได้ก่อน คนนั้นก็คือผู้โชคดีในวันนี้ แน่นอน ว่าพวกเราไม่สามารถหาไปได้เรื่อยๆ ดังนั้นกำหนดเวลาคือหนึ่งชั่วโมง ภายในหนึ่งชั่วโมง คนไหนหามาได้ คนนั้นก็สามารถเลือกของสะสมไปได้หนึ่งชิ้น ” ปรวิทย์พูดเสริม

หลังจากนั้นการแข่งขันหาของปลอมก็เริ่มขึ้น ทุกคนในกำปั่นทองล้วนเริ่มตรวจหาวัตถุโบราณบนตู้นิทรรศการอย่างจริงจัง แม้กระทั่งมีไม่น้อยคนที่ถึงขั้นหยิบแว่นขยายออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจังในการหาร่องรอยของของปลอม

มโนชาก็ดูกระตือรือร้นอยากจะลองดู เธออยู่ในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ศึกษาเอกสารเกี่ยวกับวัตถุโบราณมามากมาย คิดว่าตัวเองก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการประเมินวัตถุครึ่งหนึ่ง ในเมื่อที่นี่มีกิจกรรมแบบนี้ เธอก็อยากที่จะแสดงฝีมือของตัวเองออกมาแน่นอน

“อาจารย์ค่ะ พวกเราก็ไปดูกันเถอะ ดูสิว่าจะหาของปลอมทั้งสองชิ้นนั้นได้มั้ย ” มโนชาพูด

ผดุงสิทธิ์พยักหน้า เดินไปถึงด้านหน้าตู้จัดแสดงนิทรรศการ เริ่มมองดูอย่างจริงจัง เขาก็อยากที่จะหาชื่อเสียงท่ามกลางร้านขายของของปรมัตถ์เหมือนกัน

ขณะนั้นเองมโนชาก็หันไปมองรพีพงษ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกแล้วพูดว่า : “คุณไม่ได้พูดว่าระดับความสามารถของคุณสูงนักไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ที่นี่ก็สามารถพิสูจน์ตัวคุณเองได้แล้ว ถ้าคุณมีความสามารถก็ไปหาของปลอมทั้งสองชิ้นออกมาให้ได้ ถ้าหาไม่ได้ วันนี้คุณก็ต้องขอโทษท่านอาจารย์ปรมัตถ์ต่อหน้าทุกคน คุณกล้าพนันกับฉันมั้ย? ”

รพีพงษ์ยิ้มออกมา พูดว่า : “ได้ ถ้าผมแพ้แค่ขอโทษปรมัตถ์แค่นั้น ถ้าคุณแพ้ล่ะ? ”

“ฉันแพ้ ก็……ก็ตอบรับความต้องการของคุณทุกอย่างอย่างไม่มีขอแม้ คุณจะพูดอะไรก็ได้ ขอแค่ฉันทำได้ก็พอ ” มโนชาพูด

“ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรก็ตาม? คุณแน่ใจ? ” รพีพงษ์พูดซ้ำอีกครั้ง

มโนชาพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ พูดว่า : “ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรก็ตาม แต่ว่าฉันกลับไม่คิดว่าคุณจะสามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้ ”

รพีพงษ์ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่กลับเดินไปด้านหน้าตู้จัดแสดงนิทรรศการ เริ่มจ้องมองวัตถุโบราณพวกนั้น

มโนชาไม่ได้สงสัยอะไร รีบเริ่มเข้าไปดู ราวกับว่าจะแข่งขันกับรพีพงษ์ยังไงยังงั้น

เวลาผ่านไปประมาณสิบห้านาที รพีพงษ์เดินออกมาจากตู้จัดนิทรรศการตรงนั้น แล้วยืนอยู่ด้านข้าง จ้องมองไปที่คนที่ยังหาของปลอมพวกนั้น

ไกรเดชเดินมาข้างรพีพงษ์ ยิ้มแล้วพูดว่า : “คุณรพี ของปลอมพวกนี้คงหายากใช่มั้ย ของที่ท่านอาจารย์ปรมัตถ์ชอบ ถึงแม้ว่าจะเป็นของปลอม แต่ก็ไม่ใช่ของที่จะมองออกได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน คุณหาไม่เจอที่จริงก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ว่าหลังจากนี้คุณจำเป็นต้องแก้ไขอารมณ์ของคุณ อย่าทำตัวไม่เกรงใจท่านอาจารย์ปรมัตถ์แบบนี้จะดีกว่า ”

รพีพงษ์ยิ้ม กลับไม่ได้พูดอะไร

มโนชาเห็นรพีพงษ์หาแค่สิบห้านาที ก็เดินไปยืนอยู่ด้านข้างแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่ดูถูกออกมากะทันหัน ในใจคิดว่ารพีพงษ์หาไปแป๊บหนึ่งแล้วไม่พบเบาะแสอะไรแน่ๆ เลยยอมแพ้

ตอนนี้ดูเมื่อว่า ไอ้เจ้าหมอนี้จะคิดไปเองว่าตัวเองใช่จริงๆ ทั้งที่ไม่มีความสามารถอย่างเห็นได้ชัด กลับพยายามเสแสร้ง น่าขยะแขยงจริงๆ

แต่ว่าอีกแป๊บเดียวเขาก็จะขอโทษท่านอาจารย์ปรมัตถ์ต่อหน้าทุกคนแล้ว ถ้าเขาไม่ทำละก็ เกรงว่าแม้แต่ไกรเดชก็จะดูถูกเขา คิดถึงตรงนี้ ในใจของมโนชาก็ดีใจขึ้นมาไม่น้อยอย่างฉับพลัน

ตอนเริ่มแรก ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คิดว่าตัวเองสามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเลยตั้งใจดูอย่างละเอียด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมองวัตถุโบราณออกหมด

แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนค้นพบว่าตัวเองไม่ทางที่จะมองของปลอมชิ้นไหนที่อยู่ของสะสมพวกนี้ได้เลย เพราะว่ามองพวกมันทุกชิ้นก็ไม่ต่างอะไรกับของจริงเลย มองไม่ออกสักนิดว่าตรงไหนเป็นของปลอม

หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ทุกคนก็เริ่มคิ้วขมวด แม้แต่คณบดีสาขาวิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฟูตัน ก็มีหน้าตาโศกเศร้า ไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่นิด

ในฐานะที่เป็นนักเรียนของผดุงสิทธิ์ อาจารย์ยังหาเบาะแสไม่เจอ มโนชาก็ยิ่งไม่พบอะไรแตกต่างกัน

เดิมทีมโนชาที่มีความมั่นใจเกี่ยวกับความรู้วัตถุโบราณของตัวเองหลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วโมง รู้สึกว่าความมั่นใจของตัวเองได้รับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ จนถึงตอนนี้เธอถึงรู้สึกตัวว่า การประเมินวัตถุโบราณกลับไม่ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้

ถึงกระทั่งมีบางคนที่มีความรู้ทางวัตถุโบราณครึ่งหนึ่งก็พึ่งการเดาแล้วไปหา ปรวิทย์ เพื่อเสี่ยงดวงของตนแล้ว น่าเสียดายที่ของปลอมมีสองชิ้น ต้องพูดถูกทั้งสองชิ้นเท่านั้นถึงจะนับ เพราะฉะนั้นจะเสี่ยงดวงยังไง ก็ไม่มีทางที่จะพูดของปลอมทั้งสองชิ้นถูกในครั้งเดียว

หลังจากที่แน่ใจว่าหาเบาะแสไม่เจอจริงๆ มโนชาก็ยอมแพ้ แล้วเดินไปทางรพีพงษ์ โชคดีที่ตอนที่เธอพนันกับรพีพงษ์ไม่ได้พูดว่าตัวเองต้องหาของปลอมทั้งสองชิ้นเจอ ดังนั้นนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อการพนันของพวกเขาทั้งสองคน

หลังจากที่เดินมาถึงด้านหน้าของรพีพงษ์ มโนชาจ้องหน้าเขา แล้วพูดว่า : “อีกแป๊บเดียวก็จะครบหนึ่งชั่วโมงแล้ว อีกแป๊บหนึ่งคุณจำเป็นต้องพูดเหตุผลกับทุกคน แล้วหลังจากนั้นก็ขอโทษท่านอาจารย์ปรมัตถ์ซะ คุณอย่ามาเล่นตุกติกไม่ยอมรับ ฉันว่าอาเดชคงไม่อยากจะคบเพื่อนที่ไม่มีประโยชน์แบบนั้น ”

รพีพงษ์ยิ้ม พูดว่า : “คุณแน่ใจแล้วว่าผมแพ้แล้ว? ”

มโนชาตกตะลึง พร้อมกับพูดว่า : “ไม่อย่างงั้นล่ะ? เมื่อกี้สิบห้านาทีคุณก็เดินมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว คุณอย่าบอกฉันนะว่าแท้ที่จริงแล้วคุณหาของปลอมทั้งสองชิ้นนั้นเจอแล้ว ฉันไม่หลงกลคุณหลอก ”

ไกรเดชก็มองรพีพงษ์อย่างอยากรู้อยากเห็น ในใจก็รู้สึกว่าผ่านไปสิบห้านาทีรพีพงษ์ก็เดินมาตรงนี้แล้ว เหตุผลเพราะว่าหาไม่เจอ

“เอ่อ ผมหาของปลอมทั้งสองชิ้นนั้นได้แล้วจริงๆ ” รพีพงษ์พูด

มโนชารู้สึกหมดคำจะพูดอย่าง พูดว่า : “คุณช่วยไว้หน้าตัวเองหน่อยได้มั้ย เมื่อกี้คุณตรวจดูแค่สิบห้านาทีเอง จะหาของปลอมสองชิ้นนั้นออกมาได้ยังไง อีกอย่างในเมื่อคุณหาได้แล้ว แล้วทำไมไม่ไปบอกลูกชายของท่านอาจารย์ปรมัตถ์? ”

“นี้เป็นการพนันระหว่างคุณกับผมเท่านั้น ผมต้องการให้คุณรู้ก็พอแล้ว ” รพีพงษ์พูด

เขายังไม่กลัวที่จะมีคนอื่นชิงเขาตอบของปลอมสองชิ้นนั้น ทำให้ตัวเองไม่มีทางที่จะอธิบายให้มโนชาฟัง เพราะว่าเขามีความมั่นใจมาก คนในสถานที่นี้ ไม่มีใครสามารถหาของปลอมสองชิ้นนั้นเจอ

ในขณะนั้นผดุงสิทธิ์ก็เดินมาด้วยใบหน้าที่ผิดหวัง จนถึงหน้าของไกรเดช ส่ายหัวแล้วพูดว่า: “ระดับความสามารถของท่านอาจารย์ปรมัตถ์สูงมากจริงๆ คิดไม่ถึงเลยแม้แต่ของปลอม ผมยังไม่มีทางแยกแยะออก วันนี้นับว่ามาเปิดหูเปิดตาแล้วกัน ”

“อาจารย์ค่ะ ไอ้เจ้าหมอที่น่าขยะแขยงคนนี้เขาบอกว่าหาของปลอมเจอแล้ว ” มโนชาใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแล้วพูดกับผดุงสิทธิ์

ผดุงสิทธิ์รีบหันไปมองรพีพงษ์ แล้วพูดว่า : “คุณรพี คุณไม่ได้พูดล้อเล่นใช่มั้ย เมื่อกี้ผมเห็นคุณเดินไปตรงนั้นแค่แป๊บเดียว ก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว คุณคงไม่ได้หาของปลอมเจอแล้วในเวลาอันสั้นหลอกนะ? ”

รพีพงษ์พยักหน้า พูด : “ถูกต้อง ของปลอมสองชิ้นนั้นหาไม่ยากเลยสักนิด ”

“คุณอย่ามาหลอกคนอื่นที่นี่นะ ในเมื่อคุณหาของปลอมทั้งสองเจอแล้ว งั้นคุณก็พูดมาสิว่าคือสองชิ้นไหน อย่าดีแต่พูด” มโนชาพูดกับรพีพงษ์อย่างหมดความอดทน

รพีพงษ์ยืนมือออกไปแล้วชี้ไปที่ตู้จัดแสดงนิทรรศการ พูดว่า : “กาน้ำชาชั้นที่หนึ่งและชามดอกไม้ชั้นสาม ”

สายตาของทุกคนมองไปยังกาน้ำชาและชามดอกไม้ ผดุงสิทธิ์ส่ายหัว พูดว่า : “ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน เมื่อกี้ผมตรวจดูสองสิ่งนั้นอย่างละเอียดแล้ว งานของพวกมันละเอียดประณีตเป็นอย่างมาก เป็นของปลอมไม่ได้อย่างแน่นอน ”

รพีพงษ์ยิ้ม แล้วพูดว่า : “งานของสองชิ้นนั้นละเอียดประณีตอย่างมากก็จริง แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยนั้น มีข้อบกพร่องใหญ่อยู่ ดูยุคสมัย ของทั้งสองสิ่งนี้น่าจะมาจากสาธารณรัฐ ไม่ได้มาจาก ราชวงศ์ซ่งเหนือกับราชวงศ์หมิงด้านบนของมันมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่ได้เป็นของยุคสมัยนั้น แค่คนธรรมดาไม่ง่ายที่จะพบก็เท่านั้น ”

“เหอะ คุณหยุดพูดเรื่องไร้สาระที่นี่ได้แล้ว คุณคิดว่าคุณพูดมั่วซั่วแล้วพวกเราจะเบื่อคุณเหรอ สองชิ้นนั้นฉันก็ดูแล้ว พวกมันไม่ใช่ของปลอมแน่นอน ” มโนชาพูดอย่างเด็ดขาด

“ใช่ไม่ใช่ อีกแป๊บหนึ่งฟัง ปรวิทย์นั้นก็รู้แล้ว ไม่ต้องมารีบร้อนอะไรกับผม ” รพีพงษ์พูด

ในขณะนั้นมโนชาก็รู้สึกได้ถึงการลืมตัวเสียกิริยาของตัวเอง เพราะว่ามองรพีพงษ์แล้วในใจรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เธอไม่สามารถรักษาอารมณ์เย็นชาแบบเดิมของเธอได้อีกแล้ว

“เหอะ รอรก็รอ ฉันไม่เชื่อว่าคุณจะหาของปลอมจากของสะสมของท่านอาจารย์ปรมัตถ์ภายในเวลาอันสั้นได้ ” มโนชามุ่ยปากพูด

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปรวิทย์มองทุกคนที่คิ้วขมวดติดกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขารู้ดี คนที่สามารถหาของปลอมออกมาได้นั้นน้อยมากจนสามารถนับได้ คนในสถานที่นี้คงไม่มีใครสามารถหาเจอหลอก

เขามองเวลาไปแป๊บหนึ่ง โบกมือไปมา แล้วพูดกับทุกคนว่า: “ทุกคน เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีใครหาของปลอมสองชิ้นนั้นเจอแล้ว ”

ทุกคนหันไปมอง ปรวิทย์ คนไม่น้อยหมดอาลัยตายอยาก ราวกับว่าตัวเองได้ทำของมีค่าหายไปยังไงยังงั้น

“คุณรีบพูดให้พวกเราฟังเร็วๆ สรุปว่าชิ้นไหนเป็นของปลอมกันแน่ ”

“ในนี้ของคุณคงไม่ใช่ไม่ได้ของปลอมตั้งแต่แรกหลอกนะ คุณพูดอย่างดี แค่หลอกพวกเราเฉยๆ ใช่มั้ย ”

ปรวิทย์หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า : “พวกเราจะหลอกพวกคุณได้ยังไง พวกคุณดูชั้นที่หนึ่งของตู้จัดแสดงนิทรรศการ ปั้นชาที่อยู่ด้านบนนั้น ก็คือของปลอม ”

ทุกคนล้วนมองไปที่ ปั้นชานั้น เมื่อกี้ผู้คนไม่น้อยล้วนตรวจดู ปั้นชานั้นแล้ว กลับไม่พบเบาะแสอะไรเลย

กำลังรอ ปรวิทย์พูดคำตอบออกมาอยู่ มโนชาที่จะเปิดเผยหน้ากากจอมปลอมของรพีพงษ์หลังจากได้ยินคำพูดของ ปรวิทย์แล้วนั้น ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ

เธอมองรพีพงษ์อย่างคาดไม่ถึง เมื่อกี้เจ้าหมอนี้พูดหนึ่งในสองของสิ่งของนี้ออกมา หนึ่งชิ้น แล้วก็เป็นกาน้ำชาชั้นที่หนึ่ง และชั้นที่หนึ่งนอกจาก ปั้นชาแล้วนั้น กลับไม่มีกาน้ำชาอื่นเลย

“เขาต้องเดาแน่ๆ แค่โชคดีเท่านั้น นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขามองออกหลอก เขาตรวจดูแค่สิบห้านาทีเองนะ จะเป็นไปได้ยังไง!” มโนชาปลอบใจตัวเองภายในใจไม่หยุด แต่หน้าอกของเธอก็อดไม่ได้ที่จะขึ้นๆ ลงขึ้นมา

ใบหน้าของผดุงสิทธิ์และไกรเดชทั้งสองคนก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะพูดถูกแล้วหนึ่งชิ้น

พวกเขาทั้งหมดถึงขั้นกลั้นลมหายใจ อยากจะได้ยิน ปรวิทย์พูดของปลอมชิ้นที่สอง ดูสิว่ารพีพงษ์จะไม่ใช่แค่ดวงดี เดาถูกไปหนึ่งอัน

“ของปลอมชิ้นที่สองนี้ ก็คือชามดอกไม้ชั้นที่สาม ” ปรวิทย์พูดต่อ

มโนชาที่ได้ยินคำพูดของ ปรวิทย์ร่างกายก็แข็งชะงักไปอย่างฉับพลัน สายตาที่มองรพีพงษ์มีความอึดอัดไม่สบายใจขึ้นมา

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท