พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 505 ใช้เหตุผลด้วยกำปั้น

บทที่ 505 ใช้เหตุผลด้วยกำปั้น

บทที่ 505 ใช้เหตุผลด้วยกำปั้น

“ฉันเตือนให้พวกแกรีบถอยไป ไม่งั้นรถแมคโครกับตะบองที่อยู่ในมือวัยรุ่นข้างหลังฉันมันจะไปโดนใครก็ไม่รู้ พวกแกเอาเด็กมาขวาง ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกฉันไม่รับผิดชอบหรอกนะ!”

คนที่สวมเสื้อกล้ามที่ยืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มวัยรุ่นถือไม้ตะบอง ชายวัยกลางคนหัวล้านจนเห็นรอยแผลเป็นที่อยู่บนหัวอย่างเห็นได้ชัด

มันคีบบุหรี่อยู่ในมือ ท่าทางดุร้าย มันตะโกนใส่ครูและเด็กๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ในบรรดาครูผู้หญิง มีอยู่คนหนึ่งที่อายุราวๆ สี่ห้าสิบปี เป็นหญิงวัยกลางคนที่ผมมีหงอกแซม เธอโอบเด็กอยู่ในสองคน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของชายหัวล้านคนนั้น เธอดูโกรธและเอาเด็กไปหลบไว้ข้างหลังตัวเอง เธอตะโกนใส่ชายหัวล้านอย่างไม่กลัวแม้แต่น้อย “เดิมทีสถานสงเคราะห์เด็กแห่งนี้เป็นพื้นที่ที่อยู่ในการดูแลพิเศษ เพื่อใช้ก่อตั้งสถานสงเคราะห์เด็ก พวกนายใช้วิธีสกปรกเอาที่ผืนนี้ไป โดยไม่สนใจว่าเด็กๆ จะอยู่กันยังไง พวกนายยังมีคุณธรรมอยู่หรือเปล่า!”

“ถ้าพวกนายจะรื้อถอนที่นี่จริงๆ ก็ทับศพฉันไปก่อน ฉันไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะไม่มีความยุติธรรม!”

เมื่อชายหัวล้านได้ยินคำพูดของหญิงวัยกลางคน ความโหดเหี้ยมฉายออกมาทางแววตาของมัน จากนั้นมันก็กวักมือให้รถแมคโครสองคันที่อยู่ข้างหลัง รถแมคโครทั้งสองคันเริ่มสตาร์ทเครื่อง ราวกับว่ามันสามารถทับทุกอย่างได้ทุกเมื่อ

“แกต้องการแบบนี้เองนะ ทุกคนก็ได้ยินแล้ว อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”

เมื่อนักเรียนและครูเห็นว่าชายหัวล้านจะเอารถแมคโครมาทับจริงๆ ก็พากันตื่นตระหนก ครูสองสามคนรีบเข้ามาห้ามครูผู้หญิงคนนั้น

แต่ครูหญิงวัยกลางคนเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ เธอยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับและจ้องไปยังชายหัวล้าน ราวกับจะกลืนกินวิญญาณของมันอย่างไรอย่างนั้น

เวลานี้มีคนจำนวนมากมามุงดูอยู่รอบๆ สถานสงเคราะห์เด็ก เมื่อคนเหล่านั้นเห็นว่าชายหัวล้านสั่งให้คนสตาร์ทรถแมคโคร ก็พากันเป็นห่วงครูคนนั้น

แต่ทว่าไม่มีใครช่วยครูและเด็กเหล่านั้นพูดเลยสักคน เพราะใครๆ ก็ไม่อย่าหาเรื่องใส่ตัว พวกเขาแค่อยากมามุงดูเท่านั้น

ชายหัวล้านสั่งให้รถแมคโครขับมาข้างหน้าทีละนิด ดูเหมือนมันจะให้รถมาจอดตรงหน้าของครูคนนั้น

ตอนนั้นเอง รพีพงษ์เดินตามผู้หญิงคนนั้นมาถึงหน้าประตูสถานสงเคราะห์เด็ก ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่ารถแมคโครใกล้จะเคลื่อนตัวถึงหน้าของครูแล้ว เธอรีบกอดเอกสารในมือแล้ววิ่งเข้าไป เธออ้าแขนยืนบังครูคนนั้นไว้

“ฉันมีสำเนาสัญญาการซื้อขายที่ดินตรงนี้ ในนี้เขียนไว้ชัดเจนว่า พวกแกขายที่ดินตรงสถานสงเคราะห์เด็ก ถ้าหากจะรื้อถอนที่นี่ หน้าที่หลักคือต้องหาที่อยู่ให้กับเด็กในสถานสงเคราะห์เป็นอันดับแรก”

“ตอนนี้พวกนายเพิกเฉยต่อเงื่อนไขในสัญญา และไม่ไยดีความเป็นอยู่ของเด็กพวกนี้ อย่าบอกนะว่าพวกนายจะไม่ดูแลเด็กพวกนี้!”

ผู้หญิงคนนั้นตะโกนใส่คนพวกนั้นอย่างกล้าหาญ

ชายหัวล้านเห็นเอกสารที่ผู้หญิงคนนั้นเอามา ก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที ตอนที่เซ็นสัญญา มันมีเงื่อนไขนี้อยู่จริงๆ แต่มันก็เขียนไว้เพื่อให้ดูดีเท่านั้น เมื่อได้ที่ดินมาใครจะไปสนใจว่าเด็กพวกนั้นจะเป็นหรือตายกันล่ะ

พวกเขารู้ดีว่า เมื่อเบื้องบนขายที่ผืนนี้เรียบร้อย พวกนั้นก็จะไม่มียุ่งเรื่องหลังจากนี้อีก สำหรับคนในสถานสงเคราะห์เด็ก พวกเขาไม่สามารถพูดว่าไม่สนใจ พวกเขาแค่ยื้อเวลาจนคนพวกนี้หมดความอดทนและยอมแพ้ไปเอง

นี่คือวิธีที่พวกเขาใช้จนเคยชิน

“พวกเราไม่ได้พูดว่าไม่สนใจคนในสถานสงเคราะห์เด็ก แต่ว่าการที่เราจะสร้างสถานสงเคราะห์เด็กแห่งใหม่มันจะเป็นต้องใช้เงิน ถ้าเราไม่รื้อที่นี่ แล้วเราจะเอาเงินจากไหนไปดูแลพวกแกล่ะ ตอนนี้พวกแกมาขวางพวกเรา มันไม่เป็นการทำให้เราลำบากใจเหรอ” ชายหัวล้านแสยะยิ้ม

“พวกนายก็แค่พูดแถไปเรื่อย ถ้าพวกนายไม่ดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์ พวกเราก็จะไม่ให้รื้อถอน นอกจากจะเอารถมาทับฉันไปก่อน!” ผู้หญิงคนนั้นมีสีหน้ากระวนกระวาย เธอจะรับมือกับพวกอันธพาลไร้เหตุผลแบบนี้ได้อย่างไร

ชายหัวล้านยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้น แล้วพูดว่า “สาวน้อย ดูลักษณะแล้วน่าจะอายุยี่สิบต้นๆ หน้าตาก็ดีนิ นี่เป็นช่วงอายุที่ดีที่สุดเลยนะ ทำไมต้องมายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าเธอยังดื้อดึงมายุ่งกับเรื่องนี้ พวกเรามีวิธีรับมือกับเธอนะ เมื่อถึงตอนนั้น เมื่อถึงตอนนั้นสิ่งที่มาทับเธอ อาจจะไม่ใช่รถแมคโครก็ได้”

เมื่อมันพูดจบ คนที่อยู่ข้างหลังก็พากันหัวเราะขึ้นมา

ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกรังเกียจ คิดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นจะต่ำช้าถึงขั้นที่เอาคำพูดแบบนั้นมาข่มขู่เธอ

“พอเถอะ พวกเราไม่มีเวลามาเถียงกับพวกแก ถ้าพวกแกรู้ตัวก็รีบพาเด็กพวกนี้ออกไปซะ นี่คือสิ่งที่เบื้องบนสั่งมา พวกเราก็แค่ทำตามคำสั่ง ถ้าพวกแกยังขวางอีก พวกเราจะลงมือแล้วนะ!” ชายหัวล้านพูดขึ้นอีกครั้ง

ผู้หญิงคนนั้นยังคงยืนขวางอยู่หน้าพวกมัน โดยไม่มีจะท่าทีจะถอยออกไป

ชายหัวล้านเห็นดังนั้น จึงแสยะยิ้มแล้วส่งสายตาให้กับพวกที่อยู่ด้านหลัง

พวกชายที่ถือตะบองรีบก้าวขึ้นมาอย่างน่ากลัว ดูเหมือนพวกมันจะเข้ามาทำร้ายครูและผู้หญิงคนนั้น

คนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันส่ายหน้า พวกเขาไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับชายหัวล้านได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงสงสารผู้หญิงคนนั้น

ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นกำลังจะเข้ามาถึงหน้าของผู้หญิงคนนั้น ก็มีใครบางคนเดินออกมาจากฝูงคน และไปยืนอยู่ตรงหน้าของผู้หญิงคนนั้น

“พวกนายคือคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุงใช่ไหม”

รพีพงษ์มองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วถามอย่างเย็นชา

วันนี้ที่คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์ ประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุงพูดถึงเรื่องที่ดินที่สถานสงเคราะห์เด็กที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเก่า ถ้าเดาไม่ผิดนี่น่าจะเป็นสถานสงเคราะห์เด็กที่ณัฐปภัสร์พูดถึง

เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเห็นรพีพงษ์ก็ชะงักลง และมองรพีพงษ์อย่างประเมิน

ชายหัวล้านคิดไม่ถึงว่าจะมีคนโผล่มาช่วยพวกนี้ในเวลานี้ เขาก่นด่าในใจแล้วก้าวเข้ามา “ในเมื่อแกรู้ว่าพวกเราคือคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุง ก็เลิกมายุ่งได้แล้ว รีบไสหัวไปซะ อย่ามาทำให้เราเสียเวลา!”

“นายเรียกประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุงมาสิ ฉันอยากถามเขาหน่อยว่าเขาทำธุรกิจแบบนี้เหรอ” รพีพงษ์จ้องชายหัวล้านแล้วพูดขึ้น

ชายคนนั้นแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงอยากเจอประธาน นี่ฉันไว้หน้าแกนะ รีบไสหัวไปซะ ไม่งั้นคนพวกนี้จะไม่เกรงใจแกแล้ว!”

กลุ่มวัยรุ่นแสยะยิ้มใส่รพีพงษ์ ราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องตลก

รพีพงษ์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องใช้เหตุผลด้วยกำปั้นแล้วล่ะ”

“ไอ้เวรเอ๊ย ยังมาอวดดีอีก พวกเราจัดการมันเลย ดูสิว่าจะกล้าเป็นฮีโร่อีกไหม” ชายหัวล้านตะโกนออกมา

ผู้หญิงคนนั้นเห็นว่าคนที่มาช่วยพวกเธอคือชายที่ชนเธอ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย

แต่เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์พูดได้ไม่เท่าไร ก็จะมีเรื่องกับคนพวกนั้น เธอจึงรู้สึกร้อนใจ

“พี่คะ รีบไปเถอะค่ะ เรื่องนี้เราจัดการเองได้ คนพวกนี้ไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย พวกมันจะทำร้ายคุณจริงๆ นะคะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดกับรพีพงษ์

รพีพงษ์หันไปยิ้มให้เธอ และพูดว่า “วางใจเถอะ ไอ้พวกนี้มันทำอะไรผมไม่ได้หรอก เมื่อกี้ผมชนคุณ ที่ว่าช่วยคุณเป็นการชดใช้ก็แล้วกัน”

คนที่มามุงดูคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาช่วย แถมยังดูเหมือนไม่กลัวคนพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ มาถึงก็จะมีเรื่องกันแล้ว คนพวกนั้นพากันอึ้งไป

แต่ในสายตาพวกเขา รพีพงษ์แค่ตัวคนเดียว จะไปสู้กับลูกน้องมากมายของชายหัวล้านได้ยังไง การที่เขาออกมาช่วยอาจจะเป็นเพราะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เท่านั้น

“ไอ้หมอนี่บ้าจริงๆ จะรับมือกับคนพวกนั้นด้วยตัวคนเดียว ถ้ามีเรื่องขึ้นมาจริงๆ ไอ้หมอนี่ตายแน่ คนพวกนั้นยิ่งไม่ฟังเหตุผลอยู่ด้วย”

“โง่จริงๆ เลย คนพวกนั้นเป็นคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์บันดุง บริษัทใหญ่ขนาดนั้นจะเห็นคนพวกนั้นอยู่ในสายตาได้ยังไง บางทีเมื่อเจอเรื่องแบบนี้ก็ทำได้แค่อดทนเท่านั้นแหละ”

“ยุคนี้อะนะ ถ้าแยกแยะไม่ออกระหว่างการช่วยคนเพราะความถูกต้องกับความบุ่มบ่าม ก็มีแต่จะเสียเปรียบเท่านั้น”

……

เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเห็นว่ารพีพงษ์ไม่มีท่าทีกลัว พวกมันก็มีสีหน้าเหี้ยมโหด พวกมันชอบการสั่งสอนพวกอวดดีที่สุด สิ่งที่สนุกก็คือรุมให้คนแบบนี้คุกเข่าร้องขอชีวิต

“ไอ้เด็กน้อย แกนี่อวดดีจริงๆ ไม่รู้ว่าแกจะอวดดีได้ถึงไหน อย่ามาร้องขอชีวิตเพราะโดนตีแค่ทีเดียวล่ะ แบบนั้นมันน่าเบื่อสุดๆ !”

วัยรุ่นที่อยู่ด้านหน้าควงตะบองในมือไปมา และตีลงไปที่ตัวของรพีพงษ์อย่างไม่ลังเล

ผู้หญิงคนนั้นเห็นก็หลับตาปี๋ จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนา เธอสั่นไปหมดทั้งตัว

จากนั้นเธอจึงลืมตาขึ้น เพื่อดูว่ารพีพงษ์เป็นอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่รพีพงษ์ที่นอนอยู่บนพื้น แต่กลับเป็นคนที่จะเข้ามาทำร้ายรพีพงษ์เมื่อครู่ รพีพงษ์เอาตะบองมาถือไว้และยืนอยู่ที่เดิมเหมือนเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย

คนที่มามุงดูต่างพากันเบิกตาโตด้วยความตกใจ ราวกับเห็นสิ่งที่ไม่อยากจะเชื่ออย่างไรอย่างนั้น

ชายหัวล้านคิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะจัดการกับลูกน้องของเขาได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ เขารู้สึกตกใจ จากนั้นจึงตะโกนใส่ลูกน้องตัวเอง “อึ้งอะไรกันอยู่ล่ะ รีบเข้าไปสิ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าไอ้หมอนั่นจะสู้จำนวนคนของเราได้!”

รพีพงษ์ถือตะบองในมือ และยิ้มอย่างมีเลศนัย

เขาขยับตัวไปมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงร้องอันน่าเวทนาก็ดังขึ้นที่หน้าประตูสถานสงเคราะห์เด็กอย่างต่อเนื่อง

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท