บทที่624 เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว
เมืองริเวอร์
ชุมชนคำแหง อารียานั่งอยู่ในห้องโถงกลางบ้าน
บรรยากาศค่อนข้างอึมครึม ศักดากับชนิสรานั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟา ไม่เอ่ยปากอะไรทั้งสิ้น
ธฤตญาณ พัชรพล ไตรทศต่างก็ยืนสีหน้าไม่สู้ดีอยู่อีกมุมหนึ่งไม่พูดไม่จา
จารุณีนั่งขดอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งมุมห้อง เธอร้องไห้จนน้ำเสียงแหบแห้งไปนานแล้ว แก้มทั้งสองข้างของเธอมีคราบน้ำตาเป็นทาง ดวงตาคู่สวยคู่นั้นบวมแดงจากการร่ำไห้
“เราอย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายกันแบบนี้เลย คนๆนั้นบอกว่ารพีพงษ์กับคุณหนูของเขาพุ่งลงหน้าผาไม่ใช่เหรอ ไม่ได้โดนฆ่าให้ตายสักหน่อย ตอนนี้จะเป็นหรือตายก็ยังไม่มีใครรู้ รพีพงษ์ดวงแข็งมาแต่ไหนแต่ไร ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้”
ธฤตญาณเห็นบรรยากาศในห้องโถงอึมครึมจนแทบจะกลายเป็นเศร้าสลด จึงรีบชิงพูดขึ้น
“รพีพงษ์ไม่ตายหรอกน่า เขายังไม่เห็นเราอุ้มลูกชายเขาเลย จะชิงตายได้ยังไงกัน”จารุณีพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
แม้ว่าเธอจะแค่พูดเล่น แต่เวลานี้คงไม่มีใครหัวเราะออก
ตอนนี้อารียาเอนตัวนอนอยู่บนเตียงในห้องนอน สีหน้าซีดขาว แววตาจ้องตรงไปบนเพดาน ในหัวย้อนระลึกถึงภาพระหว่างเธอกับรพีพงษ์เป็นฉากๆ
ผ้าปูเตียงส่วนหัวของเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา แต่อารียาดูราวกับไม่รู้สึกอะไร เธอยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง ราวกับซากศพ
กลับจากเกาะพระจันทร์มาได้สองวันแล้ว ในคืนวันนั้น คนของตระกูลก้องวณิชกุลมาหาอารียา พูดถึงสาเหตุได้ชัดเจน หลังจากที่อารียาเป็นลมล้มพับไป เขาก็ได้พาอารียาขึ้นเรือส่งกลับมาที่เมืองริเวอร์
ในตอนขากลับ คนของตระกูลก้องวณิชกุลได้ส่งสาส์นกลับบ้านแล้ว ให้คนมาหาร่องรอยของรพีพงษ์กับฝนสุดาที่เกาะพระจันทร์ และมาจนถึงวันนี้ก็ยังคงไม่พบร่องรอยของคนทั้งคู่
หลังจากที่อารียากลับมาถึงเมืองริเวอร์ เธอฟื้นสติขึ้น เรื่องแรกที่ทำคือ ให้พัชรพลกับธฤตญาณส่งคนไปที่เกาะพระจันทร์ ทำในเรื่องเดียวกันแบบที่คนของตระกูลก้องวณิชกุลทำ
จากนั้นให้เดินหารพีพงษ์กับฝนสุดาตามหน้าผาที่พวกเขาตกลงไปเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร ไปจนถึงทะเลลึก โดยที่ไม่มีใครหยุดพักแม้แต่น้อย คนของธฤตญาณกับคนของตระกูลก้องวณิชกุลหาอยู่เต็มๆสองวันสองคืน โดยที่ไม่พบร่องรอยใดๆเลย
ท่ามกลางทะเลลึก มีปลาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ในบรรดานั้นมีปลาที่คอยแทะซากศพกินด้วย ชาวประมงท้องถิ่นลงความเห็นว่า ทั้งคู่อาจจะโดนปลาใหญ่กินไปแล้วก็เลยหาเบาะแสไม่พบ
เรื่องการตกหน้าผาบนเกาะใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น ขอแค่ตกจากหน้าผา ไม่มีครั้งใดที่จะ ตามกลับมาได้สำเร็จ
ข่าวนี้สำหรับอารียาและคนรอบตัวรพีพงษ์นับได้ว่าเป็นข่าวการทำลายล้างอย่างแน่นอนคนส่วนมากรับกับความจริงของข่าวนี้ไม่ได้ มีเพียงส่วนน้อยที่ไม่ยอมเชื่อ และเชื่อมั่นว่ารพีพงษ์ยังคงมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ข่าวนี้ยังถูกปกปิดอยู่ ดูภายนอก ในเมืองริเวอร์ยังคงเงียบสงบ ทุกคนต่างก็ยังคงถกเรื่องราวของรพีพงษ์บนโต๊ะอาหารและโต๊ะน้ำชา
นานช้า อารียาจึงลุกขึ้นจากเตียง ใช้มือปาดน้ำตา
หากเป็นแต่ก่อน เธอคงจะปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ต่อไป ลืมเรื่องรอบตัวหมดสิ้น แล้วจมดิ่งอยู่ในความทุกข์ แต่ว่าตอนนี้เธอตั้งครรภ์ เธอจะต้องคิดเผื่อลูกในท้อง
และอารียามั่นใจ รพีพงษ์ไม่ตายง่ายๆแบบนี้หรอก รพีพงษ์เคยรับปากไว้ ว่าจะคุ้มครองดูแลเธอตลอดไป
เพราะฉะนั้นตอนนี้เธอจะต้องเข้มแข็ง เรื่องที่รพีพงษ์หายตัวไป คงจะปกปิดไว้ได้ไม่นาน และคนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิดเห็นแบบเธอที่ว่ารพีพงษ์แค่หายตัวไป ถ้าหากว่าคนภายนอกคิดว่ารพีพงษ์ตายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตระกูลลัดดาวัลย์ ซันบับเบิลกรุ๊ป รวมไปถึงกิจการทุกอย่างที่รพีพงษ์มี ก็จะประสบหายนะอย่างเหลือประมาณ
นี่เป็นอาณาจักรของรพีพงษ์ ตอนนี้รพีพงษ์ไม่อยู่ ในฐานะภรรยาของเขา อารียาจะต้องแบกรับภาระแทนรพีพงษ์ อย่างน้อยที่สุด เธอจะปล่อยให้ตระกูลลัดดาวัลย์จบสิ้นไม่ได้
อีกอย่างความโศกเศร้าอาดูรรังแต่จะทำให้เธอเสียสุขภาพเปล่าๆ เพื่อลูกของเธอกับรพีพงษ์ เธอจะปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความทุกข์ตามอำเภอใจไม่ได้
อารียาลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยื่นมือออกมาลูบคลำท้องตัวเอง แล้วเดินออกจากห้องไป
ประตูเปิดออก สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่อารียา
ท่ามกลางความงดงามอ่อนช้อย อารียามีความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวเพิ่มมาอีกหนึ่ง พร้อมกับความแน่วแน่อย่างประหลาด
“นับจากวันนี้ ทุกเรื่องของบ้านลัดดาวัลย์ ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบ จนกระทั่งรพีพงษ์กลับมาอย่างปลอดภัย!”
……
ณ เทือกเขากิสนา เกาะสมุทรทัย
นนทภูนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน กำลังจัดการกับเอกสารกองโต
ในตอนนี้มีคนๆหนึ่งวิ่งถลาเข้ามาจากด้านนอก คุกเข่าลงตรงหน้านนทภู
“เกิดอะไรขึ้น ตื่นเต้นมาขนาดนี้”นนทภูเงยหน้าขึ้น มองไปที่คนๆนั้น
“ใต้เท้า เมื่อครู่ได้ข่าวมาว่า เจ้าสำนักน้อย……เจ้าสำนักน้อยโดนโจมตีที่เกาะพระจันทร์ตกจากหน้าผาความลึกร้อยกว่าเมตร ไม่อาจรู้เป็นตาย ไร้ร่องรอย คนที่หายตัวไปกับเจ้าสำนักน้อยคือคุณหนูตระกูลก้องวณิชกุล จากการตรวจสอบเบาะแส เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับคุณชายใหญ่แห่งตระกูลนิธิวรสกุลที่เป็นเรียนวิชามาจากปรมาจารย์ชินาธิปกลับมา มีนามว่าอนันยช”คนๆนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน
เมื่อนนทภูได้ฟัง มือหนึ่งตบโต๊ะดังปัง จนโต๊ะตัวนั้นเป็นรอยร้าว เอกสารบนโต๊ะปลิวว่อน
“แกว่าไงนะ ลูกชายข้าหายตัวไปอย่างนั้นหรือ”นนทภูระเบิดโทสะ คนๆนั้นตกใจจนตัวอ่อนพับ สองขาคุกเข่าลงที่พื้น
“ขอรับ……เป็นเช่นนั้นขอรับ และจากความสูงของหน้าผา เกรงว่าเจ้าสำนักน้อยน่าจะ……”
เขาพูดยังไม่ทันจบ นนทภูก็ชกหมัดทะลุกำแพงไปแล้วเรียบร้อย จนกำแพงนั้นเป็นรูแหว่ง รอบๆเป็นรอยแตกร้าว ดูเหมือนใยแมงมุม
“อนันยช!หึหึ ไอ้อนันยช ถ้าคราวนี้ลูกชายข้าเป็นอะไรไปจริงๆ ต่อให้ต้องไปกระตุกหนวดเสืออย่างปรมาจารย์ กูก็จะฆ่ามึงด้วยน้ำมือของกูเอง!”
หากพอคิดได้ว่าตนเองนั้นไม่สามารถออกจากเทือกเขากิสนาได้ นนทภูก็รู้สึกอ่อนแรง
ไม่กี่ปีมานี้ ในวงการธุรกิจ เทือกเขากิสนาได้นำโดยวงการธุรกิจชั้นนำอื่นๆ เช่นตระกูลวัชรากิจกุลก็โดนนนทภูขยี้จนเละ ส่วนตระกูลนิธิวรสกุลก็แค่มีศักยภาพขึ้นมาจากตระ กูลวัชรากิจกูลอีกขั้น แต่หลายปีมานี้ นนทภูก็ยังไม่สามารถขยี้ตระกูลนิธิวรสกุลได้
เหตุผลหลักมีอยู่สองประการ ประการแรกนนทภูออกจากเทือกเขากิสนาไม่ได้ ส่วนอีกประการหนึ่งคือ เบื้องหลังของตระกูลนิธิวรสกุล มีปรมาจารย์หนุนหลังอยู่
พลังของปรมาจารย์เหนือความคาดหมายของคนทั่วไป ปรมาจารย์เพียงคนเดียวสามารถต้านคนทั้งกองทัพได้ ปรมาจารย์สามารถสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย หากทำให้ปรมาจารย์ขุ่นเคืองใจ ต่อให้เป็นธุรกิจที่มีพลังแข็งแกร่งแค่ไหน ปรมาจารย์ก็สามารถทำลายล้างได้โดยไม่เหลือคราบ
นอกจากจะเป็นคนที่มีฝีมือทัดเทียมปรมาจารย์ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครเอาปรมาจารย์ผู้ ยิ่งใหญ่ได้อยู่หมัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องให้ทนายมาจัดการเลย
เมื่อมาถึงขั้นนี้ ก็ย่อมจะหลุดพ้นความธรรมดาของโลกเป็นธรรมดา
“ถ่ายทอดคำสั่ง รวบรวมกำลังพลเทือกเขากิสนาทั้งหมด โดยที่ไม่กลัวความสูญเสียใดๆ หาเบาะแสลูกชายข้า แล้วเข้าไปสอดส่องธุรกิจตระกูลนิธิวรสกุล ถ้าลูกชายข้าตายไปแล้วจริงๆ คนของตระกูลนิธิวรสกุล ก็อย่าคิดว่าจะได้อยู่ดี”
“อีกอย่าง แบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปที่เมืองริเวอร์ คุ้มกันเมียลูกชายข้า เธอกำลังตั้งครรภ์ ข้าไม่อยากให้เด็กในท้องมีปัญหา”
เป็นนาน กว่านนทภูจะออกคำสั่ง
“ขอรับ!”
……
ณ ประเทศอเมริกา ในคฤหาสน์หลังหนึ่ง
อนันยชนั่งลงตรงหน้าผู้เฒ่าท่านหนึ่ง ค่อยๆพูดขึ้น“รพีพงษ์ตกลงมาจากหน้าผาที่สูงเป็นร้อยๆเมตร ด้านล่างหน้าผาเป็นทะเลลึก ไม่มีทางที่จะรอดชีวิตได้ ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้กระผม กระผมได้บรรลุแล้ว”
ผู้เฒ่ายิ้มขึ้นมาทันที แล้วพูดขึ้น“สมกับเป็นหลานชายที่ข้าภาคภูมิใจเป็นที่สุด รพีพงษ์ตายแล้ว ตระกูลลัดดาวัลย์ถูกกำจัดหมดสิ้นแล้วสินะ”
“ที่เหลืออยู่ก็เป็นพวกกะเลวกะลาดน่ะครับ ผมไม่มีอารมณ์จะไปเล่นด้วย ถ้าคุณปู่อยากกำจัด ก็ส่งคนไปกำจัดเองเถอะครับ”อนันยชน้ำเสียงเป็นปกติ พูดต่อผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าอย่างนอบน้อม
“จริงสิ เรียกประชุมสี่ตระกูลใหญ่ดีกว่า บ้านนิธิวรสกุลของเรา ถึงเวลาที่ต้องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเวทีแล้ว”