บทที่631 จำนำ
เช้าวันรุ่งขึ้น
รพีพงษ์ตื่นขึ้นมา แต่ยังไม่ลุกจากเตียง ยังคงนอนอยู่บนโซฟา กำลังครุ่นคิดแผนต่อไปของตนเอง
ในขณะเดียววันนี้ฝนสุดาลุกขึ้นมาจากเตียง บิดขี้เกียจ เธอไม่ได้นอนหลับสบายแบบนี้มานานแล้ว
หลังจากที่ลงมาจากเตียง ฝนสุดาเดินมาข้างๆโซฟา เห็นรพีพงษ์หลับตา คิดว่าเขายังนอนอยู่
“เหอะ ดื้อดีนัก ต้องนอนบนโซฟาที่แข็งๆเลยสมน้ำหน้า ฉันอุตส่าห์ยินยอมนอนเตียงเดียวกับคุณ คุณยังไม่รู้จักฉวยเอาไว้ โง่!”
พึมพำเบาๆ เธอหยิบผ้าห่มบนตัวรพีพงษ์ออก
จากนั้นเธอเดินไปด้านหน้าเตียง หยิบนาฬิกาบนโต๊ะขึ้นมา จ้องมองด้วยสีหน้าที่อาลัยอาวรณ์อยู่นาน
“ที่ไอ้เชี้ยนั่นต้องการซื้อมือถือ ฉันทำได้เพียงขายไป หวังว่าวันนี้จะหาคนดีให้เธอได้ ต่อไป คุณจะอยู่ไปเพื่อนฉันไม่ได้อีกแล้ว” ฝนสุดาพูดกับตัวเอง
ช่วงนี้ฝนสุดาและรพีพงษ์ล้วนอยู่บ้านของดาณิมา ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินเสื้อผ้าหรือไม่สบายของรพีพงษ์ ก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก
และฝนสุดาก็รู้ดีถึงสถานการณ์ของครอบครัวดาณิมา ถึงขั้นที่ครอบครัวของเขาไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของสองคนได้ ดังนั้นในตอนแรก เธอจึงได้ขายเครื่องประดับทิ้ง แล้วจ่ายให้อาดุล มิเช่นนั้น เกรงว่าเขาทั้งสองจะโดนไล่ออกไปแล้ว
จากนั้นรพีพงษ์ฟื้นฟูก็ต้องใช้อาหารเสริม และรถวีลแชร์ ล้วนเป็นฝนสุดาขายเครื่องใช้ของตัวเองเท่านั้น
ตอนที่มือถือของเธอตกน้ำนั้นมันได้พังไปแล้ว และไม่มีบัตรธนาคาร ดังนั้นจึงทำได้เพียงใช้วิธีนี้ไปก่อนเท่านั้น
สิ่งของที่ขายไปนั้นล้วนเป็นสิ่งที่เธอรัก ตอนแรกใช้เงินจำนวนมากซื้อกลับมา ในปัจจุบันอยู่ในที่ๆไม่คุ้นเคย เธอทำได้เพียงขายของเหล่านั้นในราคาถูก
นาฬิกาเรือนนี้เป็นสิ่งของสุดท้ายของเธอ หลังจากที่ได้ขายนาฬิกาเรือนนี้แล้วนั้น เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
รพีพงษ์ลืมตาดูฝนสุดา รู้สึกแปลกใจ เสียงของฝนสุดาค่อนข้างเบา เขาฟังไม่ชัดเจนว่าบ่นว่าอย่างไรบ้าง
ไม่นาน ฝนสุดาก็เก็บของเสร็จ หยิบนาฬิกานั้นออกไป
รพีพงษ์อยากรู้ว่าฝนสุดาออกไปทำอะไร หลังจากที่เธอออกไปได้ไม่นาน ก็รีบตื่นขึ้นมา แล้วตามหลังเธอไป เดินไปที่เมืองปากซำ
มาถึงเมืองปากซำตั้งนาน นอกจากที่รพีพงษ์ไปท่าเรือมากี่ครั้ง ช่วงเวลาที่เหลือก็อยู่ที่บ้าของดาณิมา นี่เป็นครั้งแรกที่ไปเมืองปากซำ
เมืองชายทะเลเล็กๆเป็นที่ๆอยู่ไกล การพัฒนาของเมืองปากซำถือว่าไม่ดีมากนัก แต่นกกระจอกมักจะตัวเล็กกว่าใครๆแต่อวัยวะภายในก็สมบูรณ์ เมืองนี้ก็มีสิ่งความอำนวยสะดวกที่เพรียบพร้อมไม่ต่างจากเมืองอื่น เพราะมีท่าเรือ การค้าที่นี่จึงถือว่าไม่เลว ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นี่จึงถือว่าไม่ต่างจากที่อื่น
ฝนสุดามาถึงโรงจำนำร้านหนึ่งในเมือง หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก ก็ได้ถือนาฬิกาเดินเข้าไป
เจ้าของโรงจำนำเป็นคนมีอายุสี่สิบกว่าปี ไว้หนวดเครา เป็นชายกลางคนที่ดูเลี่ยนๆ
ขณะนี้เขานั่งอยู่ด้านหน้าของโต๊ะ ในมือถือกาน้ำชา นั่งอาบแดดอย่างชิวๆอยู่ข้างๆหน้าต่าง
ตอนที่ฝนสุดาเข้ามานั้น เจ้าของได้มองไปที่ประตู จากนั้นแววตาก็เป็นประกาย รีบยืนขึ้นมา
พนักงานของโรงจำนำเดินไปอยู่ด้านหน้าของฝนสุดา เจ้าของจับเขาเอาไว้ แล้วกล่าว “เดี๋ยวฉันดูแลลูกค้าคนนี้เอง แกเข้าไปด้านใน บอกตุรียะ ผู้หญิงที่ฉันเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้ามาแล้ว”
พนักงานคนนั้นพยักหน้าทันที แล้วหันหลังเดินไป
“สาวน้อย มาจำนำของอีกแล้วหรอ มามามา นั่งตรงนี้” เจ้าของโรงจำนำพาฝนสุดาไปนั่งข้างๆโต๊ะอย่างยิ้มแย้ม
ฝนสุดาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็ยื่นนาฬิกาในมือไปให้
“ฉันอยากขายนาฬิกาเรือนนี้ คุณดูให้หน่อยว่าจะให้ได้เท่าไหร่” ฝนสุดากล่าว
เจ้าของร้านรับนาฬิกานั้นมา แล้วดูตาเป็นประกาย
“นาฬิกานี้ได้อยู่นะ ปาเต็ก ฟิลลิปส์ แต่ดูๆแล้วน่าจะเป็นของปลอม ทำค่อนข้างหยาบ เห็นว่าคุณเป็นลูกค้าประจำ ห้าพัน ขาดตัว ว่าไง?” เจ้าของร้านยิ้มพลางกล่าว
ฝนสุดาขมวดคิ้ว แล้วกล่าว “นาฬิกาเรือนนี้ของฉันเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นนะ ตอนที่ซื้อราคาล้านกว่าเลยนะ คุณให้แค่ห้าพัน เกินไปเปล่า”
“สาวน้อย คุณอย่าหลอกผมเลย ถ้าคุณสามารถซื้อนาฬิกาเรือนเป็นล้านได้ ยังต้องมาจำนำที่ผมอีกหรอ? ถ้าคุณสามารถเอาใบเสร็จของนาฬิกามาได้ ฉันให้มากกว่านี้ก็ได้” เจ้าของร้านแสดงออกถึงท่าทางหัวหมอ
ฝนสุดาเซ็ง เธอจะหาใยเสร็จตอนนี้ได้อย่างไรกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน นาฬิกาเรือนนี้ตกพื้น เธอก็ขี้เกียจจะเก็บมัน ตอนนี้เหตุการณ์บังคับ เธอถึงได้เอานาฬิกามาเปลี่ยนเป็นเงิน
“ฉันไม่มีใบเสร็จ แต่ห้าพันน้อยไป งั้นฉันไม่จำนำแล้ว” ฝนสุดากล่าว นี่เป็นสิ่งล้ำค่าสุดท้ายของเธอ ดังนั้นต้องแลกแล้วได้เงินจำนวนมาก ถึงจะรับประกันความเป็นอยู่ของเธอและรพีพงษ์ต่อไปได้
เจ้าของร้านยิ้ม แล้วกล่าว “สาวน้อย คุณก็ช่างกล้าพูดนะ นาฬิกาของปลอมจะมาแลกกับเงินห้าแสน ทำไมไม่ไปปล้นเงินเสียล่ะ”
ได้ยินเจ้าของร้านพูดแบบนี้ ฝนสุดายื่นมือไปหยิบนาฬิกาเรือนนั้นของตนมา แล้วกล่าว “งั้นฉันไม่จำนำแล้ว ฉันไปจำนำที่อื่น” เจ้าของร้านรีบกุมนาฬิกาไว้ในมือ ไม่คืนให้ฝนสุดา
“ทำอะไรหนะ เอานาฬิกาคืนมานะ!” ฝนสุดาร้อนใจ ยื่นมือไปแย่งนาฬิกาในมือ
เจ้าของร้านยืนขึ้น ยิ้มไปที่ฝนสุดา แล้วกล่าว “สาวน้อย อย่าเพิ่งร้อนรน ความจริงที่คุณอยากได้ห้าแสนหนะ ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้”
ฝนสุดาขมวดคิ้ว แล้วจ้องไปที่เจ้าของร้าน “หมายความว่าไง?”
“เหอะเหอะ ก่อนอื่น ต้องรู้ก่อนว่า คุณต้องทำตามที่ผมบอก อย่าว่าแต่ห้าแสนเลย ห้าล้านก็ยังได้” เจ้าของร้านยิ้มอย่างร้ายกาจ
ฝนสุดาถอยหลังสองก้าว แล้วมองไปที่เจ้าของร้านอย่างหวาดกลัว “แกจะทำอะไร?”
ในขณะเดียวกันนี้เอง ในโรงจำนำมีคนเดินออกมาก อายุราวๆยี่สิบกว่าปี เป็นคนเอ้อระเหยลอยชาย ตามมาด้วย การ์ดหลายคน
เมื่อวัยรุ่นคนนั้นเดินออกมาเห็นฝนสุดาแล้ว ตาเป็นประกาย แล้วรีบถามว่า “เจ้านายคำรบ นี่คือสาวสวยที่คุณบอกผมก่อนหน้านี้หรอ? แม่ง นี่มันเทพีชัดๆ”
เจ้านายคำรบยิ้มพยักหน้า จากนั้นมองไปที่ฝนสุดา แล้วกล่าว “สาวน้อย ฉันไม่อุบเอาไว้ล่ะ นี่คือคุณชายของเจ้าของห้างสรรพสินค้าเชร์สิง ตุรียะ เขาชอบคุณ เพียงแค่คุณยอมเป็นผู้หญิงของเขา อนาคตจะมีเงินนับไม่ถ้วน ไม่จำเป็นต้องมาโรงจำนำของฉันแล้ว คิดดูดีๆ”