พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 649 ในหุบเขาไม่รู้วันเวลา

บทที่ 649 ในหุบเขาไม่รู้วันเวลา

บทที่ 649 ในหุบเขาไม่รู้วันเวลา

ในหุบเขาไม่รู้วันเวลา วันเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว

สัปดาห์แรกที่รพีพงษ์มาถึงหุบเขาแห่งนี้ เขาได้เริ่มฝึกวิชาหายใจออก และสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการฝึกวิชาหายใจออก

ตามที่อาจารย์บอก ต้องใช้เวลาสามเดือนสำหรับผู้ที่พรสวรรค์เป็นเลิศในการฝึกฝนวิชาหายใจออก ถึงจะรับรู้ถึงวิชากำลังภายใน

แต่รพีพงษ์ใช้เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ในการฝึกฝนวิชาหายใจออก ความรวดเร็วนี้ทำให้อาจารย์ตกตะลึง ในขณะเดียวกันเขาก็มีความเชื่อมั่นว่าผู้ที่มีกำลังภายนอกเป็นเลิศ เมื่อมาฝึกกำลังภายในจะได้รับผลเป็นทวีคูณ

มาถึงหุบเขาในเดือนแรก เวทัสไม่สบอารมณ์กับการที่ฝนสุดาเอาแต่เดินตามรพีพงษ์ต้อยๆ มันทำให้เขาหงุดหงิดไปหมด และเอาแต่พูดว่ารพีพงษ์ไม่เหมาะกับนางฟ้าแบบฝนสุดา พวกลูกศิษย์ก็พากันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา

ฝนสุดาไม่เห็นด้วยกับการที่เขาพูดแบบนั้น จึงเถียงกับเวทัส ทำให้เวทัสและคนอื่นๆ มั่นใจว่าฝนสุดาโดนรพีพงษ์ทำให้รักจนโงหัวไม่ขึ้น

ดังนั้นเวทัสจึงตัดสินใจประลองฝีมือกับรพีพงษ์อย่างลูกผู้ชาย เขาจะทำให้รพีพงษ์เขาสุดจะทนแล้ว

ครั้งนี้รพีพงษ์แพ้

เดือนที่สองที่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ รพีพงษ์เริ่มเข้าถึงวิชากำลังภายใน ผ่านการสั่งสมวิชาการหายใจออก เขาพอจะใช้กำลังภายในได้บางส่วน

จากการที่เวทัสชนะรพีพงษ์ เขายิ่งได้ใจขึ้น เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์ฝึกอย่างหนัก เขาจึงใช้ข้ออ้างเรื่องการสอบเข้ามาในโรงเรียนของรพีพงษ์ ท้าประลองฝีมือกับรพีพงษ์อีกครั้ง

ครั้งนี้ รพีพงษ์ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ไม่สามารถรับมือได้แม้แต่น้อย การที่เขาเริ่มชำนาญกับกำลังภายใน บวกกับกำลังภายนอกที่เป็นเลิศของเขา ทำให้สามารถรับมือกับเวทัสได้แล้ว

แต่ทว่ารพีพงษ์ยังคงเป็นผู้แพ้ในการประลองครั้งนี้

เดือนที่สาม รพีพงษ์ใช้ความรวดเร็วในการฝึกที่น่าตกใจ บวกกับการที่เคยสู้กับเวทัสครั้งก่อน รพีพงษ์ได้ความรู้เป็นอย่างมาก ทำให้เขาเข้าใจการใช้กำลังภายในลึกยิ่งขึ้น อาจารย์เรียกเขาว่าเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร

เดือนนี้ฝนสุดาพยายามที่จะจัดการกับรพีพงษ์ แต่รพีพงษ์เอาแต่อยู่ที่หลังภูเขา ทำให้ฝนสุดาไม่มีโอกาสที่จะทำอะไรกับเขา

เวทัสเห็นว่าฝนสุดาอยากใกล้ชิดกับรพีพงษ์ เขารู้สึกอิจฉาขึ้นมาในใจ และนัดท้าประลองกับรพีพงษ์อีก

ครั้งนี้รพีพงษ์เริ่มต่อกรกับเวทัสได้อย่างสมศักดิ์ศรี

จากที่อาจารย์บอก พรสวรรค์ของเวทัสนับว่าอยู่ในระดับกลาง เขาฝึกกำลังภายในได้ในเวลาสามปี แต่รพีพงษ์ใช้เวลาเพียงสามเดือนก็สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้แล้ว พรสวรรค์นี้ช่างน่าตกตะลึง และไม่มีใครสามารถทำได้

แต่รพีพงษ์ไม่ได้ต่อสู้กับเวทัสเพื่อหาผู้ชนะ เขาทำเป็นสู้ไม่ได้และพ่ายให้กับเวทัสอีกครั้ง

การที่เขาทำเช่นนี้ เพราะจะได้สู้กับเวทัสต่อไป และได้รับประสบการณ์จากการที่ต่อสู้

เดือนที่สี่ รพีพงษ์ท้าประลองกับเวทัสและอีกสองคนที่เหลือหลายสิบครั้ง เขาพ่ายแพ้ทุกครั้ง จนทำให้กลายเป็นตัวตลกในสายตาของทุกคน แต่มีเพียงรพีพงษ์เท่านั้นที่รู้ดีว่าความสามารถของเขาอยู่เหนือกว่าสามคนนั้นแล้ว โดยอาศัยประสบการณ์ที่ได้ต่อสู้กับคนมีฝีมือด้านกำลังภายในอย่างสามคนนั้น

จากการคาดเดาของรพีพงษ์ ระดับความแข็งแกร่งของกำลังภายใน เขายังไม่สามารถเทียบสามคนนั้นได้ เพราะเขาเพิ่งฝึกได้เพียงสามเดือน จึงยังสั่งสมความแข็งแกร่งได้ไม่มากพอ แต่ว่ากำลังภายนอกของเขาได้ถึงจุดสุดยอดทำให้สามารถทดแทนกำลังภายในที่ยังไม่เพียงพอ เมื่อทั้งสองสิ่งผสานกัน ทำให้เขามีความสามารถเหนือกว่าเวทัส

ในตอนนี้รพีพงษ์ได้เชี่ยวชาญแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอนันยชอีก เขาจะไม่เป็นเหมือนก่อนแน่นอน

บ่ายวันนี้ ห่างจากเรือนไม้ไม่ไกล รพีพงษ์เดินไปที่เรือนไม้ที่เวทัสพักอยู่

ฝนสุดาเดินตามเขาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

อยู่ในหุบเขามาเป็นเวลาสี่เดือน ฝนสุดาไม่ได้มีรูปลักษณ์งดงามเหมือนคุณหนูในตอนแรกอีกแล้ว เธอสวมเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่กันในชีวิตประจำวัน เธอมวยผมโดยใช้กิ่งไม้ปักเอาไว้

ในระยะเวลาสี่เดือน นอกจากฝนสุดาจะปลูกผักและเลี้ยงไก่เป็นแล้ว เธอยังไปล่าสัตว์กับพวกดำเกิงอีกด้วย เธอช่างตรงข้ามกับเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ความงดงามของเธอก็ยังไม่หายไป พิสูจน์แล้วว่าถึงผู้หญิงสวยจะใส่เสื้อผ้าลินินก็ยังสวยอยู่วันยังค่ำ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะรพีพงษ์ เดือนนี้นายมาหาเวทันหลายครั้งแล้ว นายแพ้ให้เขาทุกครั้ง ฉันรู้ว่านายไม่ยอมแพ้ แต่นายเพิ่งกลับมาที่นี่แค่สี่เดือน นายสู้เขาไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ นายรอให้นายแข็งแกร่งแล้วค่อยไปหาเขาก็ได้” ฝนสุดาเอ่ยขึ้น

รพีพงษ์หยุดเดินแล้วหันไปหัวเราะฝนสุดา “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะประลองกับเขา และคนแพ้ก็คือเขา”

พูดจบรพีพงษ์ก็เดินต่อไป

ฝนสุดาถอนหายใจ เธอไม่ได้รู้สึกดีใจกับความมั่นใจของรพีพงษ์เลย

รพีพงษ์เดินมาหยุดอยู่หน้าเรือนไม้ของเวทัส แล้วตะโกนออกมาว่า “เวทัส ออกมารับคำท้า!!”

เมื่อเขาพูดจบ ลูกศิษย์สิบกว่าคนเดินออกมาจากเรือนไม้ เพื่อออกมาดูเรื่องสนุก

“รพีพงษ์ เดือนนี้นายแพ้ให้เวทัสกี่ครั้งแล้ว ทำไม่ยังไม่สำนึกอีก อย่าบอกนะว่านายเสพติดการโดนทำร้ายร่างกาย”

“ไอ้หมอนี่คิดว่าตัวเองมีความสามารถหรือไง ฝึกกำลังภายในแค่ไม่กี่เดือนก็คิดว่าเทียบกับเวทัสได้แล้ว น่าขำสิ้นดี”

ดำเกิงมองเวทัสอย่างสะใจ แล้วพูดออกมาว่า “นายอย่าสู้กับเวทัสเลย ขืนสู้ต่อไป นายจะไม่อยู่ในสายตาของพี่นางฟ้าอีกแล้วนะ”

ทุกคนหัวเราะขึ้นมา

ฝนสุดาจ้องดำเกิง แล้วพูดเสียงดังว่า “ไอ้เด็กเวร แกอยากโดนจัดการหรือไง!”

ดำเกิงแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ฝนสุดา

ขณะนั้นเวทัสเดินออกมาจากเรือนไม้ เขามองรพีพงษ์อย่างเย้ยหยัน แล้วพูดว่า “ไม่ว่านายจะท้าฉันกี่ครั้ง นายก็หนีความจริงไม่พ้นหรอก กำลังภายในไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนเป็นได้ง่ายอย่างที่นายคิด นายอยากชนะฉัน รอไปอีกสามปีเถอะ!”

รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันรู้สึกว่าครั้งนี้ฉันจะชนะนาย”

เวทัสอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะออกมา เหมือนได้ยินเรื่องตลกอย่างไรอย่างนั้น

คนโดยรอบต่างก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

“ไอ้หมอนี่สมองกลับหรือเปล่า ถึงบอกว่าตัวเองจะชนะเวทัส ลืมไปแล้วเหรอว่าครั้งก่อนโดนเวทัสสู้จนเขาไม่มีทางสวนกลับ”

“ในเมื่อนายมาท้า ฉันก็รับคำท้าของนาย แต่นายมาหาฉันบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่อง ฉันไม่ได้มีอารมณ์มาสู้กับนายทุกครั้ง ครั้งนี้เรามาพนันกันดีไหม” เวทัสเอ่ยถาม

“ได้” รพีพงษ์ตอบไปแบบส่งๆ

“ถ้าครั้งนี้นายแพ้ นายก็น่าจะรู้ตัวเอง และออกไปจากที่นี่ ต่อจากนี้อย่าเรียกตัวเองว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์อีก นายกล้าพนันไหม” เวทัสเอ่ยขึ้น

ทุกคนต่างพากันตกใจ ไม่คิดว่าเวทัสจะพนันขนาดนี้ ถ้ารพีพงษ์ตอบตกลง เขาก็ต้องออกจากการเป็นศิษย์ของอาจารย์

“ได้” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงปกติ โดยไม่สนเรื่องการพนัน “ถ้าฉันชนะ…”

เขาคิดไปคิดมา ก็ไม่รู้จะพนันอะไร ขณะนั้นเขาเห็นสีหน้าเป็นกังวลของฝนสุดา จึงยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “ถ้าฉันชนะ นายต้องเป็นเบ๊ของเธอ และฟังคำสั่งของเธอ ว่าไง?”

เวทัสเบะปาก แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา”

“รพีพงษ์ นายซึมซับบรรยากาศรอบๆ เอาไว้ซะ หลังจากนี้นายจะได้ไสหัวออกไปจากที่นี่!”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท