บทที่ 651 สถานการณ์ที่เกียวโต
เกียวโต
คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์ คนระดับสูงในตระกูลลัดดาวัลย์นั่งอยู่ในห้องประชุม อารียานั่งท้องโตอยู่ตรงหัวโต๊ะ บรรยากาศภายในห้องดูกดดันเล็กน้อย
อารียาตั้งท้องได้แปดเดือนแล้ว ตามปกติแล้ว ตอนนี้เธอควรจะอยู่ในขั้นของการเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมสมบูรณ์ แต่ทว่าจนถึงตอนนี้เธอยังต้องรับมือกับทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ในตระกูลลัดดาวัลย์
เมื่อเทียบกับไม่กี่ปีก่อน บนใบหน้าของอารียาปรากฏความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักอย่างเห็นได้ชัด ศักดากับชนิสราเตือนเธอหลายครั้งว่าให้ยกงานของตระกูลลัดดาวัลย์ท่านคทา แต่อารียาไม่วางใจและยังคงทำงานหนักมาถึงทุกวันนี้
ภายในเวลาไม่กี่เดือน ตระกูลลัดดาวัลย์มีการเปลี่ยนแปลงไปมา คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัว สิ่งเลวร้ายที่กำลังปกคลุมตระกูลลัดดาวัลย์ในช่วงนี้ยังคงไม่หายไป และถูกจับตามองในทุกด้าน การแข่งขันระหว่างด้านธุรกิจก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ มีความน่ากลัวในทุกที่ และต้นตอของเรื่องพวกนี้คือความจริงเรื่องการตายของรพีพงษ์
เวลาไม่กี่เดือนผ่านไป คนที่เคยสงสัยเรื่องการตายของรพีพงษ์ เริ่มทำใจยอมรับเรื่องนี้ ผู้คนต่างรู้เรื่องนี้ ในช่วงไม่กี่เดือนนี้รพีพงษ์ไม่เคยมาที่เกียวโต ภรรยาที่กำลังตั้งท้องเป็นคนจัดการทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ในตระกูล นี่มันหมายความว่าอย่างไร ไม่พูดก็เข้าใจกันดี
เมื่อไม่มีรพีพงษ์ ความหวาดกลัวที่มีต่อตระกูลลัดดาวัลย์ลดลงเพียงชั่วข้ามคืน ถึงแม้ตระกูลลัดดาวัลย์ยังมีอำนาจมาก แต่เมื่อขาดหัวใจสำคัญอย่างรพีพงษ์ ตระกูลลัดดาวัลย์ก็ไม่ใช่เป้าหมายที่น่าหวาดกลัวอีกต่อไป
บวกกับการแอบยุแยงตะแคงรั่วของตระกูลนิธิวรสกุล อีกทั้งพวกเขายังทำลายรากฐานด้านธุรกิจของตระกูลลัดดาวัลย์ในทุกธุรกิจ อีกทั้งยังกุข่าวว่าคนในตระกูลลัดดาวัลย์หวาดกลัวและบาดหมางกันเอง
ถึงแม้จะมีฝ่ายที่นนทภูสั่งมาให้ช่วยตระกูลลัดดาวัลย์อยู่เงียบๆ แต่ตระกูลลัดดาวัลย์ที่กำลังเป็นเป้าหมายในการจู่โจมของผู้คน ก็ยังอยู่ในสถานการณ์คับขัน
และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือหอการค้าสมน. ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลลัดดาวัลย์ มีผลประกอบการลดลงติดต่อกันสามเดือน บริษัทกว่าครึ่งที่เคยร่วมมือกับพวกเขา ยุติความร่วมมือด้วยเหตุผลหลายประการ ทำให้ธุรกิจของหอการค้าสมน. หดตัวลงอย่างมาก ถ้าจะให้เปรียบเปรยหอการค้าสมน.ในตอนนี้อาจจะใกล้หมดหนทางแล้วก็ไม่ได้พูดเกินไป
ทุกคนเห็นว่าตระกูลลัดดาวัลย์และหอการค้าสมน. เหมือนเค้กก้อนหนึ่ง ในเมื่อจะแบ่งกันกิน ก็ต้องแบ่งอย่างเท่าเทียมไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
“นายหญิง ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรม อ้างว่าเป็นการแบ่งไม่เหมาะสม เลยขอให้เราแบ่งส่วนแบ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจด้านอาหารและอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งหนึ่ง ไม่งั้นเขาจะรวมผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง ในสองธุรกิจสองด้านนี้ และแยกออกจากตระกูลของเรา ถ้าถึงตอนนั้นเราจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน” ท่านคทาพูดกับอารียาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องประชุมหลายสิบเสียง สถานการณ์แบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
“นายหญิง หรือเราจะเอาส่วนแบ่งบางส่วน ทำให้พวกเขาพอใจ ไม่แน่พวกเขาอาจจะไม่มาหาเรื่องเราอีก” ชายที่ค่อนข้างมีอายุเอ่ยขึ้น
ชายอายุสี่สิบกว่าปีที่ยืนอยู่ข้างเขารีบเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “ผมว่าเราจะเอาแค่ส่วนแบ่งไม่ได้ แต่เราต้องแบ่งส่วนแบ่งจากธุรกิจทุกด้านของตระกูลลัดดาวัลย์ให้พวกเขา ตอนนี้เรากำลังโดนจับตามองจากทุกด้าน ไม่ใช่แค่กำไรที่ตระกูลลัดดาวัลย์ได้ ถ้าเราเป็นฝ่ายยอมให้ ผมเชื่อว่าพวกนั้นจะไม่ละโมบแบบนี้อีก”
เมื่ออารียาได้ฟังคำพูดของทั้งสองคนก็ขมวดคิ้วขึ้น เธอคิดไม่ถึงว่าคนภายนอกจะสร้างความกดดันให้ตระกูลขนาดนี้ ถึงขนาดที่มีคนคิดที่จะเอาส่วนแบ่งของตระกูลมาปกป้องตัวเอง
ถ้าวิธีนี้ได้ผล อารียาอาจจะเอามาพิจารณา แต่คนฉลาดรู้ดีว่าจุดประสงค์ของคนพวกนั้นคืออะไร ถึงจะเอาส่วนแบ่งไปให้ ก็ไม่สามารถเติมเต็มความละโมบของคนพวกนั้นได้หรอก
“วิธีนี้ทำไปก็ไม่เกิดผลดี คนละโมบแบบนั้นไม่มีทางพอใจหรอก ตอนนี้ที่พวกนั้นไม่กล้าผลีผลามทำอะไร เพราะตระกูลลัดดาวัลย์ยังพอมีอำนาจในเกียวโต ถ้าแบ่งส่วนแบ่งออกมา เมื่อถึงตอนนั้นพวกนั้นจะไม่เห็นตระกูลเราอยู่ในสายตา ต่อจากนี้ไปต้องเสนอความคิดอะไรแบบนี้อีก” อารียาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ชายชรากับชายวัยกลางคนเหลือบมองอารียา และไม่พูดอะไรอีก
“ไปบอกตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรม ส่วนแบ่งของตระกูลเราได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงาน พวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้ามาขอส่วนแบ่งจากเรา ถ้าพวกเขาอยากได้จริงๆ ก็มาแย่งไปเอง พวกเราก็ไม่เกรงใจเหมือนกัน” อารียาพูดต่อ
ท่านคทารีบพยักหน้า เขาไม่คัดค้านคำสั่งของอารียาแม้แต่น้อย
การประชุมยังคงดำเนินต่อไป เรื่องที่คุยกันก็ไม่ต่างจากเดิม อารียาให้คำแนะนำทีละอย่างโดยชัดเจน สองชั่วโมงผ่านไปถึงจะสิ้นสุดการประชุม
ทุกคนต่างพากันแยกย้าย ท่านคทาเดินเข้ามาหาอารียา เธอพูดว่า “ท่านคทา ช่วงนี้รบกวนคุณช่วยจับตาดูโศธัยกับตันหยงหน่อยนะ ฉันสงสัยว่าสองคนนั้นถูกตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมซื้อไปแล้ว”
ท่านคทาพยักหน้า แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “รับทราบครับนายหญิง”
โศธัยคือชายชราเมื่อครู่ ส่วนตันหยงคือชายวัยกลางคนคนนั้น
หลังจากพูดกำชับเสร็จเรียบร้อย อารียาลุกขึ้นยืน เธอรู้สึกปวดเมื่อยและอ่อนล้า หลังจากที่เธอเอามือลูบท้องตัวเอง เธอรู้สึกผ่อนคลายลง
“เด็กน้อย นี่แม่กำลังปกป้องที่นี่เพื่อหนูนะ ถ้าลูกไม่เชื่อฟัง แม่ต้องโมโหตายแน่ๆ” อารียายิ้มแล้วพูดออกมา
หลังจากที่ท่านคทาออกไป อารียาค่อยๆ เดินออกมาจากห้องประชุม ตอนที่กำลังจะถึงหน้าประตู เสียงถกเถียงดังเข้ามาในหูของเธอ
“พวกนายว่านายหญิงจะดึงดันไปถึงไหน ตอนนี้คนทั้งเกียวโตรู้หมดแล้วว่านายใหญ่ของพวกเราตายแล้ว อำนาจของตระกูลลัดดาวัลย์ก็หายไปแล้ว มีแค่นายหญิงคนเดียวที่ยังยืนกรานว่านายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ นี่มันเป็นเพียงการหลอกตัวเองและคนอื่น”
“ใช่ อำนาจของตระกูลอยู่ในมือของนายหญิง เราทำได้เพียงเล่นเกมนี้ตามนายหญิง”
“ฉันว่า ในตอนนี้เลือกที่จะยอมยังดีกว่า ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ทุกคนต่างก็อยากทำร้ายตระกูลลัดดาวัลย์ แค่ตระกูลเดียว ตระกูลลัดดาวัลย์ไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก แต่ถ้าทุกตระกูลรวมกัน จากสถานการณ์ของตระกูลลัดดาวัลย์ตอนนี้ สู้ไม่ได้แน่ๆ”
“นายจะไปรู้อะไร นี่อาจจะเป็นวิธีการที่นายหญิงบริหารตระกูลก็ได้ ขอแค่คิดว่านายใหญ่ยังไม่ตาย เธอก็จะสามารถควบคุมตระกูลได้ตลอดเวลา นี่ก็เกือบจะครึ่งปีแล้ว ถ้านายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่จริง ก็คงกลับมาตั้งนานแล้ว เธอคิดว่าพวกเราทุกคนโง่หรือไง”
ได้ยินเสียงถกเถียงของคนข้างนอก อารียารู้สึกเศร้าใจจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมา แต่สุดท้ายเธอก็กลั้นมันเอาไว้
ช่วงเวลานี้เธอแบกรับความกดดันเยอะกว่าใครในตระกูล เพราะตัวเธอเองรู้ดีว่ารพีพงษ์ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องกลับมา
แต่เธอคิดไม่ถึงว่าคนในตระกูลจะมาพูดลับหลังแบบนี้ คนที่กำลังจะเป็นแม่แบบเธอ จะไม่รู้สึกน้อยใจได้อย่างไร
เธอสูดหายใจลึก และรอให้คนข้างนอกเดินออกไป เธอถึงจะเดินออกจากห้องประชุม
“รพีพงษ์ ฉันแค่ไม่อยากให้ธุรกิจของตระกูลตกไปอยู่ในมือของคนอื่นโดยเปล่า ทำไมพวกเขาต้องพูดแบบนี้ด้วย”
“ฉันจะอดทนได้จนถึงตอนที่นายกลับมาไหมนะ?