พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 654 กลับเกียวโต

บทที่ 654 กลับเกียวโต

บทที่ 654 กลับเกียวโต

บนรถบัสที่มุ่งหน้าสู่เกียวโต รพีพงษ์นั่งตรงที่นั่งติดหน้าต่าง เขามองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

เพราะว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาโดยไม่รู้เรื่องราวข้างนอกกว่าครึ่งปี เขาไม่ได้ตัดผมและโกนหนวด เพราะฉะนั้นตอนนี้ผมและหนวดของเขาจึงยาวมาก เสื้อผ้ามักจะขาดตอนที่ฝึกฝน สภาพของเขาจึงดูเละเทะ แทบจะจำภาพเดิมของเขาไม่ได้เลย

และด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ ทำให้คนที่อยู่บนรถมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ที่นั่งข้างๆ เขาไม่มีใครนั่ง เพราะว่าทุกคนดูเหมือนจะหวาดกลัว

ดีเหมือนกันเขาจะได้นั่งอย่างสงบๆ

ตั้งแต่รพีพงษ์ออกมาจากตำบลเล็กๆ นี่ก็เป็นเวลาสองวันแล้ว ผ่านไปสองวัน ในที่สุดรพีพงษ์ก็มาถึงเกียวโต เขาสูดอากาศที่นี่ เขาสัมผัสถึงบรรยากาศที่คุ้นเคย

“พวกนายได้ยินหรือเปล่าว่าคืนพรุ่งนี้ ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมจะร่วมกันจัดงานเลี้ยงใหญ่ที่โรงแรมไพศาล ตอนนั้นพวกคนใหญ่คนโตในด้านธุรกิจของเกียวโตจะมาร่วมงาน ได้ยินมาว่างานเลี้ยงครั้งนี้จัดเพื่อปรึกษากันเรื่องจัดการกับตระกูลลัดดาวัลย์ ฉันได้ยินญาติของฉันพูดว่าตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมจะบีบบังคับให้ตระกูลลัดดาวัลย์ส่งทรัพย์สินมาให้ทั้งหมด และให้ทุกคนแบ่งกัน”

เมื่อได้ยินคนบนรถพูดถึงเรื่องตระกูลลัดดาวัลย์ รพีพงษ์ก็รีบตั้งใจฟัง

“เหรอ ในที่สุดตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมก็จะตอบโต้ตระกูลลัดดาวัลย์แล้วเหรอ ฉันได้ยินมาช่วงก่อนหน้านี้คนในตระกูลนฤวัตปกรณ์ไปหาเรื่องที่คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์ พวกเขาไม่รู้เอาคนมีฝีมือมาจากไหน ทำจนตระกูลลัดดาวัลย์เละเทะไปหมด ไม่มีความเกรงใจสักนิด”

“ฉันได้ยินเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าตระกูลลัดดาวัลย์มีผู้มีฝีมือที่ชื่อว่าดัมพ์รงค์ ก่อนหน้านี้พอมีคนไปหาเรื่องตระกูลนั้น ดัมพ์รงค์ก็จะเป็นคนจัดการ แต่ครั้งนี้พอดัมพ์รงค์เจอคนที่ตระกูลนฤวัตปกรณ์พาไปด้วย เขาก็เหมือนเด็กน้อยที่ไม่สามารถสู้ได้ แล้วก็โดนจัดการ”

“คิดไม่ถึงว่าตระกูลลัดดาวัลย์ที่เคยรุ่งเรืองจะตกต่ำมาจนถึงจุดนี้ มันน่าตกใจจริงๆ”

“ก็เพราะการตายของนายใหญ่ตระกูลนั้นยังไงล่ะ บวกกับการที่มีคนคอยยุยง ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมที่เคยโดนพวกเขากดขี่ข่มเหง กล้าที่จะสู้กับตระกูลนั้น เมื่อตระกูลใหญ่ไม่มีคนที่คอยบริหารก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ยินมาว่าตอนนี้สะใภ้ของตระกูลลัดดาวัลย์เป็นคนบริหาร เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งมาก บริหารตระกูลขณะที่กำลังตั้งท้อง ผ่านมานานขนาดนี้ ยังไม่สามารถล้มรพีพงษ์ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมคงไม่จัดงานนี้ขึ้น”

“ฉันรู้เรื่องนี้ อีกทั้งภรรยาของรพีพงษ์ก็ใกล้คลอดแล้วด้วย ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมจะใช้ช่วงที่เธอไม่สามารถบริหารงานได้อย่างเต็มที่ ไปร่วมมือกับพวกนักธุรกิจของเกียวโตและบีบบังคับตระกูลลัดดาวัลย์”

……

เมื่อได้ฟังคนพวกนั้นพูดกัน รพีพงษ์มีความรู้สึกเกิดขึ้นในใจ เขาไม่คิดว่าครึ่งปีที่ผ่านมา อารียาแบกรับภาระที่ควรจะเป็นของเขาเอาไว้ ทำให้ตระกูลอยู่ถึงทุกวันนี้

เขาให้เธอรีบกลับมาที่นี่ ถ้าคืนนั้นให้ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับอนันยชทำสำเร็จ ก็ไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมาเลย

“ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมงั้นเหรอ ในเมื่อพวกแกรนหาที่ตาย งั้นฉันจะทำตามที่พวกแกต้องการเอง วันนี้รพีพงษ์กลับมาแล้ว ฉันจะฆ่าคนที่ข่มเหงรังแกภรรยาของฉันให้หมดทุกคน! ” รพีพงษ์พึมพำในใจ

ผ่านไปไม่นาน รถบัสก็จอดรับคนระหว่างทาง หญิงวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบกว่าปีพาเด็กผู้ชายอายุหกขวบขึ้นมาบนรถ

หญิงวัยกลางคนกวาดตามอง พบว่าที่นั่งข้างรพีพงษ์เหลืออยู่เพียงที่เดียว เธอรีบพาเด็กเดินเข้ามา

เมื่อเด็กเห็นรพีพงษ์ก็ชี้นิ้วมาที่เขาแล้วพูดว่า “คุณย่าดูสิ คนนี้ผมยาวมากเลย”

หญิงวัยกลางคนรีบดึงแขนของเด็กคนนั้นแล้วพูดว่า “อย่าไปอยู่ใกล้เขา ไม่รู้เป็นหนีมาจากไหนหรือเปล่า ไม่รู้มีเชื้อโรคอะไรติดตัวมาหรือเปล่า”

เมื่อรพีพงษ์ได้ยินคำพูดของหญิงวัยกลางคน เขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจ และมองออกไปนอกหน้าต่าง ในหัวของเขาคิดถึงแต่อารียา

ถึงปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ทว่าหญิงวัยกลางคนก็ไม่อยากยืน แถมยังคิดจะแย่งที่นั่งของรพีพงษ์อีกด้วย เธอกลอกตาไปมา แล้วก็ตะโกนใส่รพีพงษ์ “นี่ มองไม่เห็นเหรอว่าฉันพาเด็กมาด้วย รีบลุกขึ้นเลย สละที่นั่งให้ฉัน ดูสภาพของนายแล้ว เหมือนขอทานเลย ยังมีหน้ามานั่งบนที่นั่งอีก”

ถ้าผู้หญิงคนนี้พูดกับเขาอย่างเกรงอกเกรงใจ เขาอาจจะลุกให้เธอนั่งก็ได้ แต่เมื่อได้ยินเธอพูดแบบไร้มารยาทเช่นนี้ รพีพงษ์จึงไม่อยากสนใจเธอแม้แต่น้อย

หญิงวัยกลางคนเห็นรพีพงษ์ไม่สนใจ จึงทำได้เพียงด่าทอรพีพงษ์ว่าเขาไม่มีความเมตตา ไม่สละที่นั่งให้คนแก่ เป็นคนไร้คุณธรรม

สุดท้ายเธอจึงให้เด็กนั่งข้างรพีพงษ์ และตัวเองก็ยืนอยู่ข้างเด็ก

ในมือของเด็กผู้ชายมีค้อนเล็กๆ ที่ทำจากไม้ ดูเหมือนของเล่นที่เพิ่งซื้อมา หลังจากที่เด็กคนนั้นได้นั่งก็เอาแต่เอาค้อนเคาะไปทั่ว ทำให้เสียงดังไปทั่วรถบัส

มีคนบอกหญิงวัยกลางคนว่าตัวเองต้องการจะพักผ่อน ให้เด็กเงียบลงสักครู่ได้ไหม หญิงวัยกลางคนรีบจ้องเขาแล้วพูดว่า “เขาเป็นแค่เด็ก เล่นสักแป๊บจะเป็นอะไร ถ้าเงียบจะเรียกว่าเด็กเหรอ นายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมไม่ยอมให้เด็กบ้าง ดูนายก็เป็นผู้ดีนะ ลืมเรื่องที่ได้ร่ำเรียนมาไปหมดแล้วเหรอ”

เมื่อคนนั้นได้ยินหญิงวัยกลางคนพูดอย่างหยาบคาย และเป็นคนที่ไม่น่าไปยุ่งด้วย เขาจึงไม่พูดอะไรต่อ

เด็กคนนั้นยังใช้ค้อนเคาะต่อไป ขณะนั้นเองเด็กก็เหลือบมองรพีพงษ์ อาจจะเป็นเพราะรพีพงษ์ไม่ยกที่ให้ย่าของเขานั่ง เด็กคนนั้นจึงมองรพีพงษ์อย่างไม่เป็นมิตร

เด็กน้อยเห็นรพีพงษ์มองไปนอกหน้าต่าง ก็รีบเอาค้อนทุบลงไปบนขาของรพีพงษ์ จากนั้นก็เก็บมือกลับมา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กน้อยแสดงได้สุดยอดมาก

รพีพงษ์หันมามองเด็กน้อย เพราะเขายังเด็กรพีพงษ์จึงไม่ถือสา และมองออกไปนอกหน้าต่างต่อไป

เด็กน้อยยิ้มอย่างร้ายกาจ คิดในใจว่ารพีพงษ์เป็นคนโง่ และเอาค้อนทุบลงไปที่ขาของรพีพงษ์อีกครั้ง

รพีพงษ์หันมามอง เมื่อเด็กเห็นว่ารพีพงษ์ไม่พูดอะไร จึงคิดว่ารพีพงษ์กลัวตัวเอง จึงเริ่มเอาค้อนทุบไปที่หน้าของรพีพงษ์อย่างไม่กลัว

หญิงวัยกลางคนมองการกระทำที่รุนแรงของหลานชายตัวเอง เธอทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนว่าสิ่งที่หลานตัวเองทำเป็นสิ่งที่ดี

ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นในใจของรพีพงษ์ เขาจับมือที่กำค้อนอยู่ ก่อนที่เด็กจะทุบลงมา

“รู้ไหมว่าทำแบบนี้มันไร้มารยาทมาก” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“หึ ผมชอบนิ ผมอยากตีใครก็จะตี ปล่อยผมนะ” เด็กชายพูดอย่างได้ใจ

รพีพงษ์ยิ้มแล้วปล่อยมือของเด็กที่กำค้อนอยู่ และค้อนถูกรพีพงษ์จับเอาไว้ส่วนหนึ่งกลายเป็นขี้เลื่อยร่วงลงไปบนพื้น

เด็กชายมองภาพนั้นปากค้าง จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมา

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท