ทที่ 659 ผมกลับมาแล้วอารี
หน้ากระจกเต็มบาน
รพีพงษ์เปลี่ยนสูทเรียบร้อย ผมและหนวดเคราของเขาได้รับการตัดแต่งเรียบร้อย ช่างทำผมยังจัดทรงผมให้เขา จนทำให้รพีพงษ์เหมือนเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์
หลังจากที่กลับมารพีพงษ์ไปพูดคุยกับผู้อาวุโสในตระกูลเป็นอันดับแรก บอกให้พวกเขาอย่าเอาเรื่องที่ตัวเองมีชีวิตอยู่ไปพูดกับใคร และไปสอบถามสถานการณ์ของสองตระกูลนั้นจากดัมพ์รงค์และท่านคทา สุดท้ายจึงให้ท่านคทาหาคนมาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ให้เขา
และการที่ทำเช่นนี้ เพราะเขาอยากเจออารียาด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างาม ลูกทั้งสองของเขาใกล้คลอดแล้ว ถึงแม้ลูกในท้องจะไม่เห็นเขา รพีพงษ์ก็ไม่อยากเจอพวกเขาด้วยสภาพเละเทะ
หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อย รพีพงษ์สูดหายใจ แล้วเดินไปที่ห้องของอารียาอย่างช้าๆ
เขาค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป เห็นอารียากำลังนอนอยู่บนเตียง ท้องของเธอโตมาก เธอหลับตา คิ้วขมวด ส่วนข้างๆ เตียงของเธอมีพยาบาลคอยดูแลและรับคำสั่งของอารียา
เมื่อพยาบาลสองคนที่อยู่ข้างในเห็นประตูห้องถูกผลักเข้ามา ก็รีบหันมาดูทันที เมื่อเห็นว่าเป็นรพีพงษ์ ต่างก็พากันเบิกตาโต
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเจอรพีพงษ์ แต่ชื่อเสียง รูปภาพต่างๆ ของรพีพงษ์ในเมืองเกียวโต พวกเธอเคยเห็นมาแล้ว ตอนนี้เห็นคนที่เหมือนรพีพงษ์เดินเข้ามา พวกเธอตกตะลึงเป็นอย่างมาก
รพีพงษ์ทำท่าบอกให้พยาบาลอย่าส่งเสียง และให้พวกเธอออกไปก่อน พยาบาลทั้งสองไม่กล้าส่งเสียงและรีบลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง
เมื่อพยาบาลออกไป รพีพงษ์เดินเข้าไปที่ข้างเตียงอย่างเงียบๆ เขานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างเตียง และมองอารียาอย่างรักใคร่
เมื่อเทียบกับครึ่งปีก่อน อารียาในตอนนี้ดูอ่อนล้ากว่าตอนนั้นเล็กน้อย ใบหน้าที่เนียนละเอียดของอารียาดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยเนื่องจากความกดดัน รพีพงษ์เห็นแล้วก็ปวดใจ
“รพีพงษ์ นายจะกลับมาตอนไหน ฉันรู้สึกกดดันมาก ฉันกลัวว่าจะอดทนต่อไปไม่ไหว ถ้าเป็นอย่างนั้นตระกูลลัดดาวัลย์ต้องแย่แน่…”
ไม่นาน อารียาที่กำลังนอนหลับอยู่ก็ขมวดคิ้ว แล้วเพ้อออกมา
“ไอ้คนนิสัยไม่ดี ไม่รู้ว่าตอนนี้นายอยู่ที่ไหน แต่ฉันจะต้องหานายและสั่งสอนนายให้ได้”
“ไม่ได้ สิ่งที่เป็นของรพีพงษ์จะหายไปไม่ได้ พวกเขายังไม่รู้ว่ารพีพงษ์ยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะเป็นคนปกป้องสิ่งที่เป็นของรพีพงษ์เอง!”
“ฉันอยากกอดนาย สักแป๊บก็ได้”
…..
เสียงเพ้อของอารียา ทำให้ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจของรพีพงษ์ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้ร้องไห้มาเป็นเวลาหลายปี ทำให้ต่อมน้ำตาของเขาเริ่มชา เขาคงจะร้องไห้ออกมาแล้ว
ความกดดันที่อารียาแบกรับเอาไว้ในช่วงนี้ เขาว่ามันต้องหนักหนาเป็นสิบเป็นร้อยเท่า จนทำให้เธอเพ้อออกมาแบบนี้
เธอแบกรับและทำทุกอย่างเพื่อเขา
รพีพงษ์ยื่นมือไปลูบหน้าผากของอารียา อาจจะเป็นเพราะสัมผัสที่มองไม่เห็น เมื่อมือของรพีพงษ์สัมผัสไปบนหน้าผากของอารียา คิ้วที่ขมวดก็เริ่มคลายลง รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
เมื่อเห็นว่าอารียาเริ่มผ่อนคลายลง รพีพงษ์จึงเอามือคลึงบริเวณหน้าผากของเธอเบาๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เหมือนว่าอารียาอยากพลิกตัว แต่เพราะท้องของเธอจึงทำให้เธอต้องนอนอยู่ท่าเดิม และทำให้เธอลืมตาขึ้น
เธอลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นว่ามีมือข้างหนึ่งวางอยู่บนหน้าผากของเธอ และคนที่เธอคิดถึงตลอดเวลาก็นั่งอยู่ข้างเตียง จู่ๆ เธอตั้งสติได้ และคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป
“ไอ้คนนิสัยไม่ดี กลับมาให้ฉันเห็นในฝัน ทำไมไม่กลับมาจริงๆ ล่ะ อย่าให้ฉันตื่นมาด้วยจิตใจที่ว่างเปล่าทุกครั้งสิ”
รพีพงษ์กำลังหวนคิดถึงเรื่องราวที่เขาผ่านมากับอารียา เมื่อได้ยินเสียงของอารียา เขาก็หลุดออกจากภวังค์ ยิ้มให้อารียา และพูดว่า “ผมกลับมาแล้วนี่ไง”
อารียาย่นปากยู่ แล้วพูดว่า “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าฉันกำลังฝันอยู่ นายหลอกฉันทุกครั้ง”
รพีพงษ์จับแก้มของอารียาเบาๆ จากนั้นยื่นแขนของตัวเองไปตรงปากของอารียา “กัดดูสิ”
อารียาอึ้งไปเล็กน้อย คิดในใจว่าฝันของตัวเองแปลกมาก รพีพงษ์พูดอะไรแปลกๆ กับเธอ ดูเหมือนว่าเธอจะต้องปรึกษาจิตแพทย์สักหน่อยแล้ว
“ไม่กิน” อารียาปฏิเสธ
รพีพงษ์ยื่นแขนของตัวเองออกไปอีกครั้ง “หวานนะ”
อารียาเห็นว่ารพีพงษ์เอาแต่ให้ตัวเองกัด เอาแต่พูดอยู่อย่างนั้น เธอก็เลยอ้าปากกัดไปหนึ่งที
ช่วงที่กัดลงไปบนแขนของรพีพงษ์ อารียาเบิกตาโต เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและสัมผัสจากร่างกายของรพีพงษ์
“ฉะ…ฉันไม่ได้ฝันไปเหรอ” อารียาถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
รพีพงษ์รวบตัวเธอมากอด แล้วพูดว่า “ยัยโง่ ตั้งแต่วันนี้ผมจะไม่อยู่ในความฝันของคุณอีกแล้วนะ”
อารียาได้ยินเสียงหัวใจของรพีพงษ์ จากนั้นเธอก็ดึงแขนของรพีพงษ์มากัดอีกรอบหนึ่ง
ครั้งนี้ เธอใช้แรงกัดอย่างรุนแรง รพีพงษ์ปล่อยให้เธอกัดตามสบาย รอยยิ้มเอ็นดูยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
“นายโกหก นายไม่เจ็บนิ” อารียาพูดขึ้น
“บางครั้งการโดนคุณกัด ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งนะ ผมจะกล้าพูดว่าเจ็บได้ยังไงล่ะ”
“ผมกลับมาแล้วอารี”
อารียามองคนตัวเป็นๆ ที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลพรั่งพรูออกมา
“รพีพงษ์ อย่าจากฉันไปอีกตลอดชีวิต ได้ไหม” อารียายื่นมือไปโอบคอของรพีพงษ์
“ได้สิ”
….
เกาะทะเลสาบเทียมที่กิสนา
นนทภูนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอย่างเหม่อลอย
หลังจากที่เขารู้ว่ารพีพงษ์ตายในเงื้อมมือของอนันยช เขามักจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนจิตใจขาดอะไรไปบางอย่าง เขาจัดการอะไรได้ช้าลงมาก
ไม่นาน เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้นนทภูหลุดออกจากภวังค์
“เข้ามา” นนทภูเอ่ยขึ้น
ชายสวมแว่นเดินเข้ามาในห้อง นนทภูถามขึ้นว่า “ทำไม เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ตระกูลนิธิวรสกุลอีกเหรอ”
ชายคนนั้นส่ายหน้า แล้วพูดว่า “เราได้รับข่าวที่ดัมพ์รงค์แจ้งมาจากเกียวโต”
“ข่าวอะไร” นนทภูรู้สึกเครียดเล็กน้อย เขารู้ดีว่าสถานการณ์ที่ตระกูลตอนนี้เป็นยังไง เพราะเขาทุ่มเทแรงไปกับการรับมือตระกูลนิธิวรสกุล ตอนนี้เขาแทบจะไม่มีแรงจัดการเรื่องในตระกูลลัดดาวัลย์
“ดัมพ์รงค์บอกว่านายน้อยยังมีชีวิตอยู่ครับ อีกทั้งเขายังกลับไปที่เกียวโตแล้ว”
นนทภูอึ้งไป เขาย้อนถามกลับไปว่า “นายว่าอะไรนะ”
“นายน้อยยังมีชีวิตอยู่ครับ” ชายคนนั้นพูดย้ำอีกรอบ
นนทภูลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว สีหน้าตึงเครียดเมื่อครู่หายไปในพริบตา
“ฉันคิดไว้แล้วว่าไอ้เด็กนี่มันไม่ตายง่ายๆ หรอก ไม่เสียแรงที่เป็นลูกชายฉัน ไม่ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ”
คนที่เย็นชามาตั้งแต่ไหนแต่ไรอย่างนนทภู ตอนนี้เขาแทบจะกระโดดโลดเต้นออกมา
“ออกคำสั่งกลับไปว่า ให้ระงับแผนที่จะจัดการกับตระกูลนิธิวรสกุลไว้ชั่วคราว ให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม และรอฟังคำสั่งจากรพีพงษ์”
“ขอแค่รพีพงษ์ยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลนิธิวรสกุลจะต้องหายไปจากโลกนี้ไม่ช้าก็เร็ว”
นนทภูพูดด้วยความมั่นใจ
“รับทราบครับ!”