บทที่673 กินแล้วหนี
ณ คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์ ในห้องของอารียา
อารียามองไปที่รพีพงษ์ ถามอย่างกังวลว่า “คนต้องไปอเมริกาเพื่อล้างแค้นคนของตระกูลตระกูลนิธิวรสกุลจริงๆหรอ?”
รพีพงษ์ยิ้มแล้วลูบหน้าของอารียา แล้วกล่าว “เรื่องนี้มีผมต้องไปจัดการด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะจบ ตราบใดที่ยังไม่จัดการ ผมก็รู้สึกไม่สงบสักวัน ผมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณและลูกสาว”
อารียาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย รู้ว่าถ้ารพีพงษ์ตัดสินใจทำอะไรแล้ว ใครก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
และตระกูลนิธิวรสกุลเป็นศัตรูตัวฉกาจของรพีพงษ์อยู่ในตอนนี้จริงๆ ถ้าไม่กำจัดตระกูลนิธิวรสกุล พวกเขาจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างไม่เป็นสุข
เห็นท่าทีเป็นกังวลของอารียา รพีพงษ์ก็ยิ้ม แล้วกล่าว “คุณไม่ต้องกังวลนะ เรื่องของตระกูลลัดดาวัลย์ คุณไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ผมได้หาคนดูแลตระกูลลัดดาวัลย์โดยเฉพาะแล้ว ถึงเวลานั้นเมื่อคุณเจอเขา ก็สบายใจได้”
อารียารู้สุกแปลกใจ แล้วถาม “คุณหาใครมา?”
รพีพงษ์ไม่ปิดบัง ยิ้มพลางกล่าวว่า “พ่อของคุณ ชลาธิป”
อารียาตาลุกวาว ไม่คาดคิดว่ารพีพงษ์จะเอานายใหญ่ของตระกูลพงศ์ธนธดามา
แต่ถ้าชลาธิปมาดูแลตระกูลลัดดาวัลย์ล่ะก็ เธอก็ไร้กังวลทันที
แม้ดูผิวเผินตระกูลพงศ์ธนธดาจะเป็นแค่ตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่เบื้องหลัง ได้ไต่เต้าไปถึงตระกูลระดับโลกแล้ว บวกกับครั้งที่แล้วที่ร่วมมือกับรพีพงษ์กำจัดตระกูลธาดาวรวงศ์ แล้วได้แย่งอำนาจคุณนายใหญ่ปสาทนีย์กลับมา ชลาธิปในปัจจุบัน ได้กลายเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเซี่ยงไฮ้แล้ว
ตระกูลพงศ์ธนธดาอยู่ใต้อานัดของชลาธิป นั่งแท่นตระกูลชั้นนำระดับโลกอย่างมั่นคง ถ้าในวงการธุรกิจ ตระกูลพงศ์ธนธดาเทียบได้กับตระกูลนิธิวรสกุลแล้ว
ให้นายใหญ่ของตระกูลใหญ่มาดูแลตระกูลลัดดาวัลย์ นอกเสียจากตระกูลนิธิวรสกุลจะมาหาเรื่องด้วยตัวเอง ก็ไม่มีใครกล้ามาแย่งอำนาจจากตระกูลลัดดาวัลย์อีกแล้ว
แน่นอน ว่าชลาธิปตกลงจะมาช่วย และก็เพราะรู้ว่าอารียาได้คลอดลูกสาว เขาในฐานะที่เป็นคุณตา ต้องมาเยี่ยมแน่นอน
“ในเรื่องความปลอดภัยของพวกคุณ คุณก็ไม่ต้องกังวลใดๆ แม้ผมจะไปแล้ว ก็ยังคงมียอดฝีมือดูแลคุณอย่างห่างๆ จะเป็นใครนั้น รอเขามาแล้วเดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง” รพีพงษ์พูดต่อ
อารียาพยักหน้า จากนั้นก็กล่าว “งั้นคุณคิดว่าจะไปตอนไหน? คงไม่ใช่พรุ่งนี้ตื่นเช้ามา คุณก็หายตัวไปแล้วนะ?”
รพีพงษ์ยิ้มไม่ออก แล้วกล่าว “ราวกับผมคือเด็กเลี้ยงวัว แล้วคุณคือสาวทอผ้า เพราะผิดกฎฟ้าดิน ดังนั้นต้องให้เวลาผ่านไปพักหนึ่งพวกเราจึงได้เจอกัน จากนั้นหลังจากที่ได้เจอกันแล้ว ฉันก็ต้องฃจากไปอย่างไม่เต็มใจ”
“เฮ้อ เลิกไร้สาระได้ล่ะ เค้ากำลังจริงจังอยู่นะ” อารียามองรพีพงษ์อย่างโมโห
รพีพงษ์เห็นอารียาทำหน้าตาแปลกๆ จึงกล่าว “เลิกกังวลได้แล้ว ผมจะบอกคุณก่อนผมจะจากไป ยอดฝีมือที่ผมหามาปกป้องคุณสองคนแม่ลูกตอนนี้ยังมาไม่ถึง ในช่วงเวลานี้ ผมไม่มีทางจากไปก่อน”
อารียาสบายใจขึ้น จากนั้นก็นอนลงบนเตียง แล้วเล่นกับมือน้อยๆของเด็กอ้วนอย่างขวัญนลิน
……
ณ สนามบินเกียวโต
ชลาธิปเดินออกมาจากสนามบิน ตามด้วยคนจำนวนมากอยู่ด้านหลัง มีทั้งชายและหญิง ล้วนเป็นคนที่มาบริการชลาธิปในครั้งนี้ทั้งหมด
“นายใหญ่ บอกคนของตระกูลลัดดาวัลย์ไหม ว่าให้พวกเขาจัดคนมารับพวกเรา?” ชายคนหนึ่งถามขึ้นมา
ชลาธิปยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วกล่าว “ตอนนี้ไม่ต้องก่อน ฉันไม่ได้มาเกียวโตหลายปีแล้ว ฉันเที่ยวรอบๆก่อน จากนั้นค่อยไปตระกูลลัดดาวัลย์”
“แกไปหาร้านอาหารก่อน ทุกคนนั่งเครื่องมานาน น่าจะเริ่มหิวกันแล้ว กินข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ครับ!” คนนั้นกล่าวทันที
“เอ้อ ไม่ต้องหรูมากนะ หาร้านธรรมดาก็พอ ร้านอาหารที่ดูหรูหราของที่นี่อาหารรสชาติไม่ค่อยเท่าไหร่ สู้หาร้านธรรมดาดีกว่า ที่แบบนั้นอาหารกลับอร่อย” ชลาธิปพูดอีก
คนนั้นพยักหน้า แล้วกล่าว “เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้”
ชลาธิปแล้วมองไปยังฟ้าของเกียวโต จากนั้นก็พึมพำ “ท้องฟ้าของเกียวโตไม่สดใสเอาเสียเลย ต่อไปต้องคุยกับรพีพงษ์หน่อยแล้ว ให้เขาพาหลานสาวของฉันอาศัยที่ๆอากาศบริสุทธิ์ อย่าให้เธอสูดมลพิษตั้งแต่เด็กๆ
ในขณะเดียวกันนี้ ณ ประตูของร้านอาหารหนึ่งใกล้ๆกับสนามบิน
ศศินัดดาเดินมาที่นี่อย่างเวทนา มองอาหารที่อยู่บนป้ายนั้น แล้วกลืนน้ำลายหลายอึก
เธออยู่เกียวโตคนเดียวมาหลายวัน เงินที่พกติดตัวมาก็ใช้หมดแล้ว เพราะปากมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้เอาเงินเก็บเป็นค่าเดินทางออกมาใช้แล้ว ตอนนี้ ในตัวเธอเหลือเพียงห้าหยวนเท่านั้น
มีห้าหยวนแล้วอยากกินอาหารมากๆ ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ศศินัดดาไม่ได้กินไปสองมื้อแล้ว หิวจนไม่รู้จะทำยังไง ตอนนี้ เธอไม่คิดอะไรมากมายขนาดนั้นแล้ว
จึงตัดสินใจว่า เดินเข้าไปด้านใน ที่ห้องโถงใหญ่ เธอนั่งลงบนโต๊ะหนึ่ง ก็มีพนักงานเอาเมนูมาให้เธอทันที
ศศินัดดาเห็นอาหารบนเมนู รู้สึกไม่ว่าจะเป็นเมนูอะไรเธอก็อยากกินทั้งนั้น สั่งทีเดียวสิบอย่าง ทำเอาพนักงานตกใจ
ไม่นาน พนักงานก็เสิร์ฟอาหารที่ศศินัดดาได้สั่งไว้ เธอเริ่มกินอย่างมูมมาม ราวกับคนที่ไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ศศินัดดาได้กินอาหารบนโต๊ะทั้งหมด จากนั้นก็เรอออกมา
ในขณะนี้พนักงานได้มาเข้ามา ด้านหลังมีชายร่างบึกบึนสองคน แล้วพูดกับศศินัดดาว่า “กรุณาจ่ายเงินด้วย”
ตอนนั้นพนักงานรู้สึกว่าศศินัดดาไม่ชอบมาพากล จึงได้เรียกสองคนมา เพื่อกันศศินัดดากินแล้วหนี
ศศินัดดามองไปที่สามคน เริ่มรู้สึกร้อนรนขึ้นมา เอามือไปล้วงเงินในเสื้อผ้า ล้วงอยู่นาน ก็หยิบเพียงธนบัตรเก่าๆห้าหยวนออกมา วางไว้บนโต๊ะ
พนักงานมองไปที่ห้าหยวนนั้น แล้วกล่าว “เจ๊ อย่ามาตลกหน่อยเลย รีบจ่ายเงินที่เหลือมา”
“ฉัน……ฉันมีแค่นี้” ศศินัดดากล่าว
พนักงานขนลุกซู่ จ้องไปที่ศศินัดดาอย่างเยือกเย็น แล้วถาม “เอาไง คิดจะกินแล้วหนีใช่ไหม?”
ศศินัดดากลอกตา แล้วกล่าว “ฉันจะบอกให้นะ ว่าฉันคือแม่ยายของรพีพงษ์ แกรู้จักรพีพงษ์ใช่ไหม นายใหญ่ของตระกูลลัดดาวัลย์หนะ พวกแกไปเอาเงินจากเขา เขาจะช่วยฉันจ่าย”
“มึงคิดว่าพวกกูโง่หรือไง? ถ้ามึงเป็นแม่ยายของนายใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์ล่ะก็ จะมากินแล้วหนีที่นี่ทำไม? รีบจ่ายเงินมาซะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่ากูไม่เตือน!” พนักงานตะคอก
ชายกำยำทั้งสองวางมือลงบนไหล่ของศศินัดดา เตรียมพร้อมที่จะลงมือทุกเมื่อ
“ฉันพูดจริงๆ ฉันเป็นแม่ยายของรพีพงษ์ พวกแกต้องเชื่อนะ!” ศศินัดดาแล้วตะโกนออกมา
ในขณะเดียวกันนี้ ชายคนหนึ่งเดินมายังด้านหน้าของศศินัดดา จ้องไปที่เธออย่างครุ่นคิด แล้วถาม “คุณเป็นแม่ยายของรพีพงษ์จริงหรอ?”
ศศินัดดามองคนนั้น แล้วรีบพยักหน้า กล่าว “จริงแท้แน่นอน ถ้ามีสักคำเป็นเท็จล่ะก็ ขอให้ฟ้าผ่าตาย!”
คนนั้นยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าว “อาหารมื้อนี้ ผมเลี้ยงคุณเอง แต่คุณต้องไปกับผม ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ”
ศศินัดดาไม่รีรอรีบตอบรับทันที ไม่ว่ายังไง ตัวเองไม่ต้องจ่ายเงิน เธอก็ถือว่าได้เปรียบแล้ว
แต่เธอกลับไม่รู้อะไรเลย ชายที่เลี้ยงข้าวเธอนั้น คือลูกชายของพลชที่กำลังตามล้างแค้นรพีพงษ์อยู่