บทที่761 เจ้าสำนัก
งานเลี้ยงของตระกูลลัดดาวัลย์ยาวนานติดต่อกันสามวันสามคืน ผู้ที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงจากปกติจนต่อนี้เมาเป็นที่เรียบร้อย และจากที่เมาก็เริ่มสร่างเมา จากนั้นก็เริ่มกินต่อ พูดคุยเรื่องทั่วไป เกี่ยวกับเรื่องในประเทศ ด้วยอารมณ์ที่พรั่งพรูออกมา
แต่ในสามวันนี้ การประลองระหว่างรพีพงษ์และปภาวิชญ์นี้ ได้เผยแพร่ไปทั้งเมืองชลาลัย ในคืนเดียว ทุกคนก็เริ่มพูดถึงการประลองนี้แล้ว
ชื่อของการประลองนี้ ได้โด่งดังไปถึงแถบภาคใต้ จนกระทั่งคนจำนวนไม่น้อยเริ่มสงสัยในความสามารถของรพีพงษ์ แล้วยังพูดท้าทายอยากที่จะประลองกับรพีพงษ์
ภายในระยะเวลาอันสั้นข่าวของรพีพงษ์ก็กระจายไปอย่างรวดเร็ว เพราะปภาวิชญ์ค่อนข้างมีชื่อเสียงที่แถบเมืองชลาลัย บวกกับตอนที่ผู้คนคุยโม้โอ้อวดกันนั้นชอบเอาเรื่องที่พวกเขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนมา “ใส่ไข่เพื่อเพิ่มอรรถรส” ส่งผลให้ภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น ทำให้ชื่อรพีพงษ์ชื่อนี้กลายเป็นตำนาน
คนจำนวนไม่น้อยเมื่อพูดถึงความตื่นเต้น ก็จะเริ่มแต่งเติมประวัติของรพีพงษ์ บ้างก็บอกว่ารพีพงษ์เป็นเทพจุติลงมา เพราะเดิมเป็นมังกร ดังนั้นภายในอายุยี่สิบกว่าปี ก็สามารถสังหารอันดับหนึ่งของศิลปะการต่อสู้แถบเมืองชลาลัยได้
บ้างก็บอกว่าตอนที่รพีพงษ์เกิด ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ฝนตกห่าใหญ่ ราวกับโลกใกล้แตกอย่างไรอย่างนั้น แต่ในตอนที่รพีพงษ์เกิดนั้น เสียงฟ้าร้อง ที่ดังครึมทั่วท้องฟ้าก็กลับไปอยู่ในก้อนเมฆ ฝนที่ตกลงมายังพื้นดินก็ได้หยุดลง
หลังจากที่รพีพงษ์ได้ยิน“ตำนาน”ที่เกี่ยวกับตัวเองเหล่านี้ ก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ยิ่งทำให้เชื่อในคำที่ว่า“ข่าวลือที่ได้ยินมา”ว่ามันมีอยู่จริง ไม่ใช่เขียนขึ้นมาเล่นๆไม่มีเหตุผล
แต่รพีพงษ์ไม่สนใจตำนานพวกนี้ ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันเรื่องการต่อสู้ครั้งนั้นระหว่างเขาและปภาวิชญ์อยู่นั้น รพีพงษ์และอารียาได้เก็บระเป๋า วางแผนว่าจะท่องเที่ยวแบบไปไหนไปกัน ไปเขายุผิงที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในขณะนี้ ปีนเขาดูทะเล ผ่อนคลายสักหน่อย
หนูลินเพื่อนตัวน้อยผู้น่าสงสาร ได้ฝากไว้กับชนิสราและแม่บ้านประจำดูแล
“พ่อแม่ลืมลูก” กลับไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ แต่กลับรู้สึกสบายเสียอย่างนั้น หลังจากที่มีลูกแล้ว โลกส่วนตัวที่มีแค่สองเรามันชั่งสำคัญกับพวกเขาเหลือเกิน แน่นอนว่าต้องรักษาไว้อย่างดี
ในเวลาเดียวกัน เทือกเขาคุนหลุน บนหน้าผา มีต้นไม้ต้นเล็กโตขึ้นตามซอก ราวกับหน้าผามีแขนยื่นออกมาอย่างไรอย่างนั้น ยืดยาวตระหง่าน
ลำต้นไม่หนามากนัก บนลำต้นมีกิ่งก้านแตกออกมาหลายกิ่ง ดูๆไปช่างเปราะบาง
ในขณะเดียวกันนี้บนก้านนั้น กำลังมีคนยืนอยู่ คนนั้นได้เหยียบไปเบาๆ ราวกับคนนั้นไม่มีน้ำหนักตัวแต่อย่างใด เพียงแค่ทำให้กิ่งก้านนั้นเบี้ยวไปนิดหน่อย มันชั่งดูลี้ลับเหลือเกิน
ถ้ามีคนธรรมดาเห็นเหตุการณ์นี้ล่ะก็ จะต้องคิดว่าเป็นเทพพญาดาแน่นอน มิเช่นนั้นด้วยน้ำหนักของคนปกติทั่วไป ไม่มีทางยืนอยู่บนกิ่งก้านที่เล็กแบบนี้ได้นานอย่างแน่นอน
คนที่ยืนบนกิ่งก้านนั้นสวมใส่ชุดฉางผาวขาว ผมยาวระดับผ้าคลุมไหล่ลงไป หนวดเครายาวได้ระดับเดียวกับผม เป็นสีขาวโพลน ท่าทางเหมือนกับชายชราประหลาดที่มีอายุเป็นร้อยๆปีในทีวีอย่างไรอย่างนั้น
แต่ผิวของคนนี้มีจุดแดงประกาย ดูแล้วมีชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับผมเขาแล้ว ไม่เหมือนกับคนที่มีอายุเลย
ชายชราผมขาวกำลังหลับตา ราวกับไม่กังวลว่าตัวเองอาจจะตกหน้าผาอย่างไรอย่างนั้น ให้อารมณ์ราวกับเป็นเซียน
“เจ้าสำนัก ทำไมท่านนั้นไปอยู่ในที่ที่อันตรายนั่นอีกแล้ว ผมได้เตรียมเอกสารเกี่ยวกับรพีพงษ์ไว้หมดแล้ว วางไว้บนก้อนหินแล้ว รอให้คุณเข้ามาจากนั้นไปดูก็โอเคแล้วล่ะ”
คนที่ยืนอยู่พื้นที่ราบของหน้าผา พูดออกมา เจ้าของเสียง คือผนึกสิน
ผนึกสินได้เอาเอกสารวางไว้บนหิน หลังจากใช้หินทับไว้แล้วนั้น ก็เดินไปที่หน้าผาอย่างระมัดระวัง ก้มหน้ามองไป ใจเต้นรัวๆ
นี่คือหน้าผาที่สูงที่สุดของเทือกเขาคุนหลุน มองจากด้านบนลงล่าง มองไม่เห็นพื้นล่างแต่อย่างใด บางจุดก็ยังเห็นหมอกลอยอยู่บ้าง ต้นไม้ต้นเล็กนั้น อยู่ห่างจากยอดเขาเพียงเจ็ดถึงแปดเมตรเท่านั้น
ความสูงแบบนี้ แม้จะเป็นยอดฝีมือแดนปรมาจารย์แบบผนึกสินนี้ ตกลงไปก็แตกเป็นผุยผงเท่านั้น บวกกับผนึกสินค่อนข้างกลัวความสูง ดังนั้นทุกครั้งเมื่อเห็นเจ้าสำนักไปที่ต้นไม้ต้นนั้นเพื่อฝึกจิตใจ ล้วนอกสั่นขวัญแขวน เหงื่อไหลไคลย้อย
“โลกของเจ้าสำนัก ที่แท้ฝีมือระดับผมก็เข้าไม่ถึงจริงๆด้วย คนที่หนักขนาดนี้ สามารถยืนอยู่บนก้านเล็กแบบนั้นได้โดยที่ไม่หักอีกต่างหาก ฝีมือของเจ้าสำนัก เกรงว่าจะแข็งแกร่งกว่าภูตผีปีศาจเสียแล้ว” ผนึกสินบ่นกับตัวเอง
ไม่กล้าดูต่อไปแล้ว จากนั้นก็เอาเอกสารเกี่ยวกับรพีพงษ์วางไว้ แล้วผนึกสินก็จากไป
ผ่านไปสักพัก ชายชราเปิดตาขึ้นมา จากนั้นก็ปล่อยพลังที่มองไม่เห็นออกมา ออกแรงที่เท้าเบาๆ ร่างก็ได้ลอยไป ด้านบนของหน้าผา แต่กิ่งก้านนั้นไม่เกิดความเสียหายแต่อย่างใด เพียงแค่ขยับเล็กน้อยเท่านั้น
เขาหยิบเอกสารบนก้อนหินขึ้นมา ดูอย่างละเอียดหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าว “น่าสนใจ มีพรสวรรค์ขนาดนี้ ควรจะเรียกให้มาเข้าร่วมกลุ่มสิงโตของฉันจริงๆ”
“นับๆไป กว่าจะถึงวันนั้น เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้ว ฉันจะต้องรีบหาคนที่เหมาะสม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันนั้น”
“หวังว่ารพีพงษ์นี้ จะเป็นคนที่เหมาะสมคนนั้น”
……
พลบค่ำ ณ ตีนเขายุผิง
รพีพงษ์และอารียากำลังสะพายกระเป๋าลงมาจากรถ วางแผนว่าจะไปพักที่โรงแรม พรุ่งนี้เริ่มปีนเขา
ขณะนี้ที่ตีนเขามีคนอยู่จำนวนมาก แม้จะอยู่ในภูเขา แต่ก็จะได้เห็นที่ขายของอยู่บ่อยๆ ไฟหลากหลายชนิดกำลังส่งแสงสว่าง และเต็มไปด้วยผู้คน
ห่างไปไม่ไกลจากตีนเขามากนัก เป็นห้องสไตล์โมเดิร์นเป็นแถวๆ เพราะความโด่งดังของแหล่งท่องเที่ยวเทือกเขายุผิง สิ่งที่เยอะที่สุด ก็คือโรงแรม แล้วยังมีโซนวิลล่าที่ปล่อยเช่าโดยเฉพาะอยู่ด้วย
รพีพงษ์และอารียาไปหาที่พักก่อน หลังจากที่วางของลงแล้วนั้น ก็ออกมาหาของกิน เมื่อกี๊ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะลงจากรถนั้นก็เหมือนจะเห็นว่ามีตลาดกลางคืนอยู่ไม่ไกล มีขนมมากมายก่ายกอง
“ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่เอาหนูลินไว้ที่บ้าน แล้วเราออกมาเที่ยวกันสองคนแบบนี้ แบบนี้ถือว่าไม่รับผิดชอบหรือเปล่า?” อารียยาจ้องรพีพงษ์แล้วกล่าว
รพีพงษ์ยิ้มแล้วมองไปที่อารียา กล่าว “สบายใจได้ มีพี่สาดูแลเธออยู่ ไม่มีทางเกิดปัญหาได้ คุณอยู่บ้านมาครึ่งปีแล้ว ถ้าไม่พาออกมาสูดอากาศบ้าง จะอึดอัดเอา”
“มาถึงนี่แล้ว อย่าคิดมากเลย พวกเราไปหาของกินก่อน เมื่อกี๊เหมือนผมจะเห็นว่าตรงนั้นมีการแสดง เหมือนจะเป็นชี่กง เดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้วไปดูกัน”
อารียาพยักหน้า แล้วเดินไปที่ขายของกินตรงนั้นพร้อมกับรพีพงษ์