พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 793 รุมสังหาร

บทที่ 793 รุมสังหาร

บทที่ 793 รุมสังหาร

ทั้งโรงยิมเงียบงันลงไปในพริบตา ทุกคนต่างช๊อคอย่างหนักกับภาพเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของพวกเขาจึงไม่ใช่การร้องอุทาน แต่เป็นตะลึงงัน

“ฉันเพิ่งเห็นเทคนิคพิเศษใช่หรือเปล่า?”

“นายก็เห็นเหรอ? ฉันยังนึกว่าเป็นภาพลวงตาของตัวเองอยู่เลย พระเจ้าช่วย ไม่ใช่ว่ารพีพงษ์ฉายภาพโฮโลแกรมรอบๆเวทีงั้นเหรอ? ถึงแม้ว่าภาพลวงตาเมื่อกี้นี้จะเบลอไปสักหน่อย แต่ฉันแน่ใจว่ามันปรากฏออกมา”

“มันจะเป็นการฉายภาพโฮโลแกรมได้ยังไง ถึงแม้ว่ามีก็น่ากลัวว่าจะถูกสั่นคลอนจากผลพวงของการต่อสู้

“พละกำลังของรพีพงษ์น่ากลัวมาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ? เขาไม่แม้แต่จะแตะต้องร่างของทั้งสี่คนที่อยู่ตรงข้ามเลยก็ยังตีพวกเขาจนปลิวตกเวทีไปได้ น่ากลัวเกินไปแล้ว”

“ฉันไม่ได้โม้นะ เห็นรพีพงษ์ในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว นายบอกฉันว่าบนโลกนี้มีเทพเจ้าอยู่จริงๆฉันก็เชื่อ”

…….

“รุ่นพี่ ดินแดนที่อยู่เหนือแดนปรมาจารย์ที่อาจารย์บอกไว้ สามารถเอาเทคนิคพิเศษมาเองได้เหรอ?” ดำเกิงที่ตัวแข็งทื่อไปเล็กน้อยถามเวทัส

เวลานี้สายตาของเวทัสก็อยู่ในความงงงวย เขาคิดไม่ออกเลยว่าทำไมการโจมตีของรพีพงษ์เมื่อสักครู่ถึงมีผลปรากฏออกมาแบบนี้

“เรื่องนี้ บางทีก็ต้องรอให้รพีพงษ์ไปถึงดินแดนนั้นแล้วพวกเราถึงจะรู้” เวทัสกล่าว

“ศิษย์พี่รพีพงษ์ สามารถบรรลุถึงดินแดนนั้นได้งั้นเหรอ?” ดำเกิงถาม

“ได้แน่นอน” ทันใดนั้นสายตาของเวทัศก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ขึ้นมา

บนเวที รพีพงษ์เองก็จ้องไปที่ฝ่ามือของตนเองด้วยความตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าภายใต้สภาวะที่ใช้กลวิธีลึกลับจะออกมาเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้

ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงมากที่สุดคือ ฝ่ามือของเขาเมื่อกี้นี้กลับเกิดเป็นเงาสะท้อนที่คลุมเครือปรากฏออกมา แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่คาดคิดว่าการโจมตีของตนเองจะมีผลเช่นนี้

เป็นไปได้ไหมว่าความแข็งแกร่งของเขาบรรลุไปถึงดินแดนนั้นแล้วจึงสามารถสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา?

นี่มันเกินขอบเขตของการรับรู้จริงๆ ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงค่อนข้างยากที่จะยอมรับได้

ไม่ทันที่จะคิดต่อไปถึงผลของกระทบของการโจมตีก่อนหน้านี้ของตนเอง ในชั่วพริบตานั้นเอง รพีพงษ์รู้สึกได้ถึงพลังที่ระเบิดออกในร่างกายของตนเองในตอนนั้นได้ลดลงอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำและแทนที่ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ยากจะทนรับได้

ตั้งแต่เล็กจนโตรพีพงษ์ไม่เคยรู้สึกร่างกายเหนื่อยล้าเหมือนเช่นตอนนี้มาก่อน ความรู้สึกนี้ได้จู่โจมใจของเขาจนทำให้เขาทิ้งตัวนั่งลงไปบนพื้นโดยตรง

สภาพของรพีพงษ์ในเวลานี้ ทั้งตัวไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ที่ยังฝืนนั่งลงลงพื้นได้ก็ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ถึงแม้จะเป็นเด็กเข้ามาในเวลานี้ก็น่ากลัวว่าจะฆ่าเขาได้

พวกบดีศวรทั้งสี่คนที่ตกลงไปจากเวทีในเวลานี้มีสองคนที่ไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ชเยศยังคงฝืนรักษาสติไว้ได้บ้าง แขนทั้งสองข้างของเขากระตุกไม่หยุด ดูเหมือนว่าถึงจะมีชีวิตรอดแต่ก็กลายเป็นคนที่ไร้ประโยชน์

มีเพียงบดีศวรคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถฝืนลุกขึ้นนั่งได้ ในเวลานี้มุมปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าซีดเผือดและต่างจากคนตายเพียงแค่เพราะยังหายใจเท่านั้น

เขาอดกลั้นต่อความเจ็บปวดบนร่างของตัวเองแล้วหันศีรษะมองดูพวกของชเยศทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆเขา มองเห็นชเยศยังคงลืมตาอยู่ เพียงแต่ไม่มีความในการเคลื่อนไหว ในใจรู้สึกอับจนหนทาง

สายตาของเขาตกไปอยู่ที่ร่างของนิรภาพและธนพลสองคนบนพื้น เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย และใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ ขณะที่บนตัวเขาไม่รับรู้ถึงลมหายใจของคนที่มีชีวิต สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน และเป็นเพราะความโกรธแค้นอย่างรุนแรงจึงกระอักเลือดออกมาอีกครั้งทันที

“ท่านนิรภาพ ท่านธนพล!” บดีศวรตะโกนใส่ทั้งสองคน

ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่า ทั้งสองคนนี้เกรงว่าจะไม่มีโอกาสที่จะตอบรับใดๆได้อีกแล้ว

ในใจของบดีศวรเสียใจอย่างมิอาจเทียบ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเขาทั้งสี่ร่วมมือกันเพื่อจัดการกับรพีพงษ์ แม้ว่าทุกคนจะถึงขั้นกินยาลงไปแล้ว แต่ยังคงไม่สามารถเอาชนะรพีพงษ์ได้ แม้กระทั่งยังมีสองคนตายด้วยน้ำมือของรพีพงษ์

ในตอนนี้ ห้าตระกูลใหญ่ได้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทัตเทพที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นสถานการณ์ของทางด้านนี้ ใบหน้าก็เกิดความวิตกกังวลด้วยเช่นกัน เขารีบลากร่างกายที่บาดเจ็บเดินเข้ามาหา หลังจากที่มองเห็นนิรภาพและธนพลขาดใจตายไปแล้ว และชเยศได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถขยับได้ รวมทั้งบดีศวรที่ร่างกายโชกเลือดไปทั้งตัว เขาก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมาในทันใด

เขาหันศรีษะมองไปที่รพีพงษ์บนเวทีแล้วกัดฟันตะโกนว่า : “รพีพงษ์ แกมันสมควรตาย หกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของฉัน มีนายใหญ่สามท่านที่ต้องตายในมือแก แกมันเป็นคนบาป แกไม่มีคุณสมบัติที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!”

ทุกคนในสนามได้ยินเสียงตะโกนของทัตเทพ ทันใดนั้นก็เข้าใจแล้วว่านิรภาพและธนพล ทั้งสองคนได้ตายไปแล้ว ภายในใจก็เกิดร่องรอยของความหวาดผวาทันที คิดไม่ถึงเลยว่ากระบวนท่าเมื่อกี้นี้ของรพีพงษ์ได้สังหารยอดฝีมือระดับนายใหญ่ไปถึงสองคน

รพีพงษ์ในเวลานี้ไม่มีความคิดที่จะสนใจพวกเขา เขาในตอนนี้แค่อยากจะนอนลงแล้วหลับฝันไปเลย

ดำเกิงได้ยินเสียงตะโกนของทัตเทพ ก็รู้สึกไม่สบายใจทันที เขาตะโกนสุดเสียงว่า : “พวกคุณนี่มันหน้าไม่อาย เห็นได้ชัดว่าพวกคุณสู้คนอื่นไม่ได้เอง ตอนนี้กลับยังมีหน้ามากล่าวโทษรุ่นพี่ของฉัน พวกคุณทั้งสี่ร่วมมือกัน ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการฆ่ารุ่นพี่ของฉัน ผลออกมากลับเป็นฝ่ายถูกฆ่าแล้วก็บอกว่ารุ่นพี่ของฉันผิด ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์ของฉันไม่ชอบตระกูลใหญ่ของพวกคุณ พวกคุณมันเป็นคนหลอกลวงเกินไป!”

ผู้ชมทุกคนที่สนามก็ล้วนแต่ไม่ใช่คนที่สุดโต่งอะไรเลย หลังจากชมการต่อสู้หลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเขารับรู้ได้นานแล้วถึงความรู้สึกเป็นศัตรูของห้าตระกูลใหญ่ที่มีต่อรพีพงษ์ นับตั้งแต่ตอนเริ่มต้นที่ประกาศงานประลองบู๊ พวกเขารู้แล้วว่าตระกูลใหญ่ทั้งห้าพุ่งเป้ามาหารพีพงษ์

เดิมทีทุกคนคิดว่าคนที่ฝึกฝนวิชาบู๊ ว่ากันว่าต้องอาศัยพละกำลัง บนเวที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพ่ายแพ้หรือเสียชีวิต ทั้งหมดเป็นปัญหาของความสามารถส่วนตัวจะโทษคนอื่นไม่ได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่นายใหญ่ของสี่ตระกูลร่วมมือกันบนเวทีล้วนแต่ไม่ได้รู้สึกไร้ยางอาย ตอนนี้พ่ายแพ้แล้ว กลับกล่าวโทษว่ารพีพงษ์ฆ่าคนของพวกเขา ตรรกะประเภทนี้ มีความสองมาตรฐานอย่างไม่ต้องสงสัย

“ไอ้พวกห้าตระกูลใหญ่ขี้โม้ สู้คนอื่นไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ ตอนนี้กลับมาโกรธแค้น หน้าไม่อายจริงๆ”

“คิดไม่ถึงเลยว่านายใหญ่ของตระกูลใหญ่ของวิชาบู๊โบราณที่แสนสง่างาม จะพูดคำนี้ออกมา ทำให้คนถึงกับตกตะลึงไปเลยจริงๆ”

“อนุญาตให้พวกเขาฆ่าคนได้เท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้ใครฆ่าพวกเขา หรือว่านี่จะเป็นตรรกะของตระกูลใหญ่ใช่ไหม บรรยากาศในวงการบู๊ล้วนแต่ถูกคนประเภทนี้ทำลาย!”

……

ทัตเทพเห็นว่าทุกคนเริ่มกล่าวโทษเขาขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คิดไม่ถึงเลยว่าคนสารเลวเหล่านี้ จะกล้าพูดจาขนาดนี้กับเจ้าบ้านตระกูลตะกั่วทุ่งที่มีเกียรติเช่นเขา เขาคิดแม้กระทั่งจะยืนขึ้นแล้วไปหาเหตุผลกับคนที่พูดถึงเขา

บดีศวรถอนใจอย่างจนปัญญาและเอ่ยปากว่า : “เรื่องนี้มันจบลงแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ทั้งห้ารักษาเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว โต้เถียงกับพวกเขาก็มีแต่ทำให้ความประทับใจของพวกเขาที่มีต่อตระกูลใหญ่แย่ลงเรื่อยๆ”

ทัตเทพเข้าใจความหมายของบดีศวรจึงทำได้เพียงกัดฟัน ไฟโกรธภายในใจไม่มีที่ให้ระบาย

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำยังไงดีล่ะ? พวกเราสูญสียมากขนาดนี้หรือว่าจะยอมแพ้ไปทั้งอย่างนี้เลยงั้นเหรอ?” ทัพเทพเอ่ยถาม

ทันใดนั้นดวงตาของบดีศวรเปล่งประกายชั่วช้าวาบขึ้นมาแล้วพูดว่า : “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แล้วฉันเองก็ไม่มีอะไรต้องสนใจอีก ถ้าหากครั้งนี้เราไม่ฆ่ารพีพงษ์ อย่างนั้นแล้วตระกูลภูธน ตระกูลยศบวร ตระกูลเมฆมหัส นายใหญ่ทั้งสามตระกูลก็จะต้องตายโดยเปล่าประโยชน์” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน พยายามใช้พลังเฮือกสุดท้ายทั้งหมดที่มีตระกูลบอกคนของห้าตระกูลใหญ่ที่อยู่ทางนั้นว่า :

“ทุกคนในห้าตระกูลใหญ่จงฟังคำสั่ง ตอนนี้รพีพงษ์ถึงขีดจำกัดแล้ว เขาไม่มีความสามารถในการต่อสู้ใดๆอีกต่อไป เขาฆ่านายใหญ่สามคนจากหกตระกูลใหญ่ของพวกเรา มันเป็นศัตรูของพวกเราทุกคน ถ้าหากไม่กำจัดเขาในวันนี้ หลังจากนี้จะกลายเป็นหายนะต่อตระกูลใหญ่ของพวกเรา”

“ดังนั้นวันนี้รพีพงษ์จำเป็นต้องตาย! พวกคุณทำการโจมตีเป็นกลุ่ม เขาไม่มีโอกาสรอดอย่างแน่นอน!”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท