พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 795 ปิดฉาก

บทที่ 795 ปิดฉาก

บทที่ 795 ปิดฉาก

เสียงของวฤนท์ธมฟังดูสงบนิ่งอย่างมาก แต่หลังจากฟังทั้งหมดแล้วถึงจะมองเห็นร่องรอยของบรรยากาศแห่งการฆ่าอันแสนคลุมเครือ ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

หลังจากบดีศวรได้ฟังคำพูดนี้ของวฤนท์ธม ร่างกายก็สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถึงแม้เขาจะด่าวฤนท์ธมว่าเป็นเต่า แต่ในใจกลับรู้อย่างแน่ชัดว่า ความน่ากลัวของวฤนท์ธมไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ ถ้าหากพละกำลังของหกตระกูลใหญ่ยังอยู่ในสภาวะขั้นสูงสุด บางทีเขาอาจจะยังกล้าท้าทายวฤนท์ธม แต่ว่าตอนนี้หกตระกูลใหญ่ถูกรพีพงษ์ทำลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว เขาเองก็ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง วฤนท์ธมออกโรงเอง เขาก็เหลือแค่เพียงทางตัน

หลังจากรู้สึกได้ถึงสิ้นหวัง บดีศวรก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า : “คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลนักบู๊ที่สง่างามทั้งหกตระกูลใหญ่ วันนี้จะล่มสลายลงมาถึงขั้นนี้ ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่มีตาเลยจริงๆ”

วฤนท์ธมหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า : “อย่ายัดเยียดความโง่ของตัวแกเองให้กับพระเจ้า แกลองคิดดูให้ดี ที่แกกลายเป็นแบบนี้ เป็นเพราะการตัดสินใจของตัวเองหรือเปล่า ในตอนนั้นฉันกับหกตระกูลใหญ่ไม่ได้เป็นศัตรูคู่แค้นต่อกัน แต่พวกแกกลับยังมาหาถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง ตอนนี้ลูกศิษย์ของฉันก็ต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ ผลสุดท้ายการต่อสู้ของพวกแกถูกโจมตีจนยับเยิน หรือว่าแกยังจะพูดได้อีกว่านี่คือการปิดหูปิดตาของพระเจ้า?”

บดีศวรได้ยินคำถามของวฤนท์ธมแล้วใบหน้าก็แสดงถึงสีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนใจ เมื่อโดนทิ่มแทงเข้ากลางใจจนรู้สึกอับอายแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

สิ่งต่างๆในตอนนั้น เขาเป็นผู้นำจริงๆ ในเวลานั้นเขาเองก็ทำเพื่อหน้าตาของหกตระกูลใหญ่ จากการวิเคราะห์จนถึงท้ายที่สุดแล้ว เขาคิดว่าถ้าหกตระกูลใหญ่ร่วมมือกันแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือวฤนท์ธมคนเดียวไม่ไหว

สถานการณ์ในปัจจุบันคล้ายคลึงกับในตอนนั้นมาก เพียงแต่ว่าตัวเขาได้ทำผิดด้วยการคิดเองเออเองอีกครั้ง เขาคิดว่าถ้าหกตระกูลใหญ่ร่วมมือกันจะต้องสามารถจัดการกับรพีพงษ์ได้แน่นอน อย่างไรก็ตามเขาคิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะเก่งขนาดนี้ ดังนั้นสิ่งต่างถึงได้มีวิวัฒนาการเปลี่ยนเป็นอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

หลายปีมานี้เขาหลีกเลี่ยงเหตุผลที่เกิดขึ้นจริงในปีนั้นมาโดยตลอด เดิมคิดว่าถ้าฆ่ารพีพงษ์แล้วดึงให้วฤนท์ธมออกมาก็จะร่วมมือกันฆ่าวฤนท์ธมอีกที ความคับแค้นใจเหล่านั้นที่อยู่ในใจของเขาก็จะได้มลายหายไป ใครจะรู้เล่าว่าเพียงแค่รพีพงษ์ก็ทำให้พวกเขาใช้พลังในการต่อสู้จนหมดสิ้น ไม่ต้องพูดถึงการจัดการกับวฤนท์ธมเลย

“ฆ่าฉันเลยสิ” บดีศวรเอ่ยปาก

วฤนท์ธมยิ้มแล้วพูดว่า : “บดีศวร สิ่งที่แกคิดมันสวยงามเกินไป ฉันจะไม่ฆ่าแก ให้แกมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ตรงกันข้ามจะทำให้แกรู้สึกว่าเป็นเพราะการคิดไปเองของแกจึงได้สร้างความเสียหายต่อหกตระกูลใหญ่ไปตลอด แกจะต้องแบกรับความละอายใจนี้เอาไว้และมีชีวิตอยู่ต่อไป เทียบกับการฆ่าแกแล้ว สิ่งนี้ดีกว่าลงโทษแกเสียอีก ไม่ใช่หรือไง?”

บดีศวรนิ่งงันอยู่ที่เดิม ความรู้สึกคับข้องใจโผล่ขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ถ้าหากวฤนท์ธมฆ่าเขาตอนนี้เสียเลย เขาก็ยังคงมีร่องรอยศักดิ์ศรีสุดท้ายหลงเหลืออยู่บ้าง แต่วฤนท์ธมไม่ได้สนใจที่จะทำอะไรเขาเลยจริงๆ สิ่งนี้สามารถอธิบายได้เพียงวฤนท์ธมไม่เคยมองว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้เลย

ไม่มีการฉีกหน้าแบบไหนจะสามารถแทรกซึมเข้าไปถึงจิตวิญาณได้มากกว่าการถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยาม

ที่แท้ ความเกลียดชังที่เขาเอาแต่เฝ้าพะวงมาเนิ่นนานหลายปี ในใจของอีกฝ่ายไม่ใช่แม้แต่การผายลม

เขาบดีศวรเป็นเรื่องตลกตั้งหัวจรดเท้า!

ในกลุ่มผู้ชม ชายชุดดำมองดูสถานการณ์ในสนามแล้วก็สาปแช่งอยู่ลับๆ : “เป็นกองเศษสวะจริงๆ เป็นอย่างนี้ก็ฆ่ารพีพงษ์ไอ้เด็กคนนั้นไม่ได้แล้ว ตรงกันข้ามกลับทำให้พวกเขาต้องรอผู้ช่วยเหลือ สมควรเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่ของหกตระกูลใหญ่จะเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่าเป็นหกตระกูลโง่เง่า!”

สิ่งที่เรียกว่าตัวแทนของวงการบู๊แห่งหัวเซี่ยยังคงเป็นกลุ่มชายหนุ่มแค่ระดับพื้นผิวและไม่สามารถขึ้นมาบนเวทีได้ ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรก ฉันจะไม่ยอมเสียยาชั้นสุดยอดห้าเม็ดไปโดยเปล่าประโยชน์”

“ฮึ่ม รพีพงษ์ ครั้งนี้แกนับว่าโชคดี แต่ว่าฉันจะไม่ยอมล้มเลิกที่จะฆ่าแกหรอก พวกเรารอดูกันต่อไปเถอะ!”

หลังจากที่พึมพำกับตัวเองสองสามคำแล้ว ชายชุดดำก็หันหลังเดินออกไปด้านนอกของโรงยิม

จนถึงตอนนี้ ความท้าทายของรพีพงษ์ต่อวงการบู๊แห่งหัวเซี่ยในเรื่องที่เหล่าตระกูลใหญ่ทุกๆตระกูลส่งยอดฝีมือนับว่าได้ปิดฉากลงแล้ว

รพีพงษ์ต่อสู้สามสิบเจ็ดเกมติดต่อกันโดยไม่แพ้แม้แต่เกมเดียว โดยสนามสุดท้ายยังเป็นศัตรูสี่ต่อหนึ่ง ฝ่ามือที่น่าตกใจได้ส่งสองนายใหญ่แห่งตระกูลยศบวรและตระกูลเมฆมหัสไปยังปรโลก และบดีศวรกับชเยศที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์

การต่อสู้ครั้งนี้ ไม่อาจที่จะไม่เรียกว่าเป็นสิ่งวิเศษหาตัวจับยาก หลายคนอัปโหลดวิดีโอที่พวกเขาได้ถ่ายเอาไว้ลงบนอินเตอร์เน็ต หลังจากที่ทุกคนเห็นเงาอันคลุมเครือของฝ่ามือในวิดีโอแล้วล้วนพูดกันว่านี่คือการประมวลผลของเทคนิคพิเศษ

ไม่มีใครเชื่อว่าความแข็งแกร่งของรพีพงษ์ได้บรรลุมาถึงขั้นที่เขาสามารถเงาสะท้อนของฝ่ามือได้แล้ว คนจำนวนมากต่างพากันคิดว่านี่คือวิดีโอที่สร้างโดยชาวเน็ตเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ชม และภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏในวิดีโอจะเป็นของจริงหรือไม่นั้น ก็มีเพียงแค่บรรดาผู้ชมที่อยู่ที่นั่นในวันนั้นที่รู้

เพราะว่าในตอนสุดท้ายของการต่อสู้ของห้าตระกูลใหญ่ได้ปิดล้อมสังหารรพีพงษ์ ทำให้วงการบู๊แห่งหัวเซี่ยได้ชื่อว่าเป็นความอัปยศอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่นั้นมาจึงไม่ถือว่าตระกุลใหญ่เป็นมาตรฐานของวงการนักบู๊ ดังนั้น คำว่า “ตระกูลใหญ่” จึงเป็นคำด่าที่น่าอับอายอย่างไม่มีวันสิ้นสุดที่เขาต้องแบกเอาไว้บนหลัง

บดีศวรที่โชคดียังรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เมื่อมองดูทั้งหมดนี้ที่เป็นเพราะเขาและผลลัพธ์ที่ตามมา หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด วฤนท์ธมพูดถูกว่าปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่และมองดูตระกูลใหญ่ล่มสลายลงเพราะเขามันถึงจะเป็นการลงโทษเขาแล้ว

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา

ที่บ้านเก่าตระกูลลัดดาวัลย์ ในห้องของรพีพงษ์ เขาได้ลืมตาขึ้นช้าๆ ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงปรากฏขึ้นภายในใจ หลังจากปรับตัวเป็นเวลานาน ถึงได้ค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆ นับตั้งแต่สงครามในวันนั้น รพีพงษ์อยู่ในอาการโคม่าไม่ได้สติมาโดยตลอด ถ้าหากไม่ใช่เพราะวฤนท์ธมบอกว่าเป็นเพราะเขาบีบคั้นศักยภาพตัวเองมากเกินไปดังนั้นเขาจำเป็นต้องใช้เวลานานในการพักฟื้น อารียาคงคิดว่ารพีพงษ์จะทิ้งเธอไปอีกครั้ง

รพีพงษ์กัดฟันแล้วลุกจากเตียง เขาหันศรีษะมองเข้าไปในห้องแล้วพบว่าอารียากำลังนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะด้านข้าง จากหว่างคิ้วสามารถมองเห็นความเหนื่อยล้าของอารียาได้

รพีพงษ์เพิ่งจะลงจากเตียง อารียาก็ลืมตาขึ้นทันที หลังจากมองเห็นว่ารพีพงษ์ตื่นแล้ว ความเหนื่อยล้าในดวงตาก็หายไปโดยทันที ในทางกลับกันใบหน้านั้นมีความสุข

“ไอ้คนพาล ในที่สุดก็ตื่นแล้ว คุณไม่ทำให้ฉันกังวลไม่ได้หรือไง” อารียาบ่นใส่

รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดว่า : “ร่างกายที่เกิดมาก็มีแต่หาเรื่องเดือดร้อน ผมเองก็ไม่อยากได้หรอกนะ”

อารียากลอกตาแล้วพูดว่า : “คุณรีบเอนตัวนอนลงไปเลย ฉันจะไปขอให้พี่สาทำของกินให้คุณ คุณโคม่าเป็นอาทิตย์แล้ว สูญเสียสารอาหารมาตลอด ตอนนี้จะต้องหิวมากแน่ๆเลยสินะ”

หัวใจของรพีพงษ์รู้สึกอบอุ่น ความรู้สึกหลังจากฟื้นมาจากอาการโคม่าแล้วมีคนเป็นห่วงเป็นใย นั่นคือสิ่งที่เขาปกป้องมาตลอด

รพีพงษ์เชื่อฟังคำพูดของภรรยา เขาเอนหลังลงบนเตียงอีกครั้งและรออาหารเข้ามาส่งอย่างสบายใจ

หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้ว รพีพงษ์รู้สึกว่าพลังในตัวของเขาได้ฟื้นตัวคืนมาไม่น้อย ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนว่ามนต์ลึกลับนี้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆต่อร่างกายของมนุษย์จริงๆ ขอเพียงแค่มีเวลาพักฟื้น ก็สามารถกลับคืนสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง

หลังจากที่ความแข็งแรงฟื้นตัวแล้ว รพีพงษ์ก็ออกกำลังกายภายในห้องทันที หลังจากนั้นเขาจึงเดินออกจากห้องและไปยังห้องรับรองแขกของตระกูลลัดดาวัลย์

เขารู้จากอารียาว่าในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่เขาอยู่ในอาการโคม่า อาจารย์ก็พักอยู่ที่บ้านเก่าของตระกูลลัดดาวัลย์มาโดยตลอด

ในใจของรพีพงษ์มีข้อสงสัยมากมายที่ต้องการขอคำชี้แนะจากอาจารย์ ดังนั้นเขาจึงเดินไปทางห้องที่อาจารย์อยู่ทันที

พอมาถึงหน้าประตูห้องรับรองแขก ก่อนที่รพีพงษ์จะเคาะประตูก็ได้ยินเสียงอันสงบนิ่งดังขึ้นจากด้านใน : “เข้ามาสิ”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท