บทที่815 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“อายุยี่สิบกว่าก็ความแข็งแกร่งบรรลุถึงเน่ยจิ้งขั้นกลาง นี่ถึงจะเป็นคนที่มีความสามารถที่แท้จริง เมื่อเทียบกับหล่อนแล้วฉันก็ไม่เท่าไหร่เลย ที่สำคัญเขายังเป็นผู้หญิงด้วย ดูเหมือนว่าฉันยังห่างไกลอีกมาก”ดรัณพูดอย่างทอดถอนใจ
เพ็ญรตีที่อยู่ด้านข้างก็ปลอบใจทันที: “พี่ชาย อย่าพูดแบบนี้ อันจริงพี่ก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว อย่างน้อย แข็งแกร่งกว่าคนบางคน”
หลังจากพูดเสร็จ หล่อนก็มองไปทางรพีพงษ์แวบหนึ่ง
ในเวลานี้ ก็เหลือเพียงรพีพงษ์คนเดียวที่ยังไม่ได้ทดสอบ
“ถึงคุณแล้ว ไปทดสอบเถอะ”ศิษย์พี่มองไปรพีพงษ์แล้วพูด
รพีพงษ์พยักหน้า เดินไปที่ตรงหน้าก้อนหิน หันหน้าไปถามศิษย์พี่คนนั้น: “จำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดโจมตีมั้ย?”
“ใช้แล้ว ใช้พลังทั้งหมดโจมตี ไม่ต้องออมมือใดๆทั้งสิ้น”ศิษย์พี่ตอบกลับ
รพีพงษ์จ้องมองหินก้อนนั้นแวบหนึ่ง คิดว่าผู้อาวุโสใหญ่รู้ว่าคนที่มาพร้อมกับอุเอสึงิ ฮารุคือปรมาจารย์ท่านหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไรกับการที่เขาแสดงความแข็งแกร่งของแดนปรมาจารย์ออกมา
หลังจากนั้นรพีพงษ์ก็เริ่มสะสมพลัง รู้สึกพอสมควรแล้ว ก็ฟาดฝ่ามือตรงไปที่ก้อนหินก้อนนั้น
อุเอสึงิ ฮารุมองไปที่ฉากนี้อย่างคาดหวัง จากการคาดเดาของหล่อน ฝ่ามือนี้ของรพีพงษ์ อย่างน้อยก็สามารถสั่นน้ำในลำธารออกได้หลายร้อยเซนติเมตร
ฝ่ามือของรพีพงษ์ฟาดลงบนก้อนหิน เสียงโครมครามดังขึ้น และทุกคนก็ตกตะลึงด้วย แม้แต่ศิษย์พี่จากสำนักเทพยาเซียนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ทุกคนมองไปที่ลำธารด้านหลัง และน้ำในลำธารสงบนิ่งผิดปกติมาก และไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
เมื่อศิษย์พี่เห็นเช่นนี้ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ เขายังคิดว่าความแข็งแกร่งของรพีพงษ์จะทำให้เขาตกใจ แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดา
อุเอสึงิ ฮารุมองไปที่ลำธารด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย คิดในใจคงจะต้องมีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน รพีพงษ์ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาได้เลย
เพ็ญรตีหัวเราะเสียงดังอย่างไร้ความปรานี และชี้ไปที่รพีพงษ์เอ่ยปากว่า: “คาดไม่ถึงว่านายก็เป็นคนธรรมดา ไม่รู้จริงๆว่าก่อนหน้านี้นายไปเอาความกล้ามาจากไหน กลับกล้าบอกว่าจะไม่เกรงใจสำนักเทพยาเซียนคนอื่นเขา เมื่อกี้นี้ฉันยังดีสามารถทำให้ผิวน้ำเกิดความสั่นสะเทือนเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าพลังทั้งหมดของนายโจมตีไป กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นายยังสู้ฉันไม่ได้เลย น่าตลกสิ้นดี”
เมื่ออุเอสึงิ ฮารุเห็นเช่นนี้ กำลังจะเถียงกับเพ็ญรตี แต่ถูกรพีพงษ์ห้ามไว้
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดหินทดสอบความแข็งแกร่งนี้ถึงได้ไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อรพีพงษ์มากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ศิษย์พี่คนนั้นก็มองพวกเขาแวบหนึ่ง เอ่ยปากว่า: “อย่าเสียเวลาเลย รีบเข้าไปกันเถอะ”
หลังจากพูดจบ ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อไป และยังคงเดินไปด้านในต่อ
รพีพงษ์และคนอื่นๆก็ไม่ชักช้า ต่างก็เดินตามไป
ไม่นานหลังจากที่ทุกคนจากไป มีผู้อาวุโสในวัยห้าสิบสองคนก็มาที่นี่ คนหนึ่งอ้วนคนหนึ่งผอม พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ฉันบอกกับท่านแล้วว่าช่วงนี้พลังของฉันเพิ่มขึ้น ท่านยังไม่เชื่อ ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเราก็มาทดสอบที่นี่ดู ให้ท่านได้ล้มเลิกความคิด”ผู้อาวุโสอ้วนเอ่ยปาก
ผู้อาวุโสผอมยิ้มเล็กน้อย และพูดว่า: “ช่วงนี้ท่านนอกจากกินแล้วนอน ฉันเห็นอยู่กับตา ถ้าสภาพแบบนี้ท่านยังมีความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอีก ถ้าอย่างนั้นก็มีอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ”
เมื่อผู้อาวุโสอ้วนได้ยินคำพูดของเขา ก็แสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามทันที ขี้เกียจที่จะต่อปากต่อคำกับเขาต่อไป ทุกอย่างพูดด้วยผลลัพธ์
เขายืนอยู่หน้าหินก้อนใหญ่ที่ทดสอบความแข็งแกร่ง เอ่ยปากว่า: “ผลการทดสอบครั้งก่อนของฉันได้หนึ่งร้อยแปดเซนติเมตร ถ้าในครั้งนี้เกินจำนวนนี้ ถ้าอย่างนั้นมันจะพิสูจน์ได้ว่าความแข็งแกร่งของฉันเพิ่มขึ้น ถึงเวลานั้นท่านต้องเอาโสมพันปีต้นนั้นของท่านมอบให้กับฉัน”
“แน่นอน ตราบใดที่ฉันแพ้ โสมก็จะเป็นของท่านไปโดยปริยาย แต่ถ้าฉันชนะ ยาดองที่ดองเห็ดหลินจือโหลนั้นของท่าน ก็จะต้องเป็นของฉัน”ผู้อาวุโสผอมเอ่ยปาก
ผู้อาวุโสผอมส่งเสียงเย็นชา จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าหิน หายใจเข้าลึกๆ รวบรวมพลังทั้งหมดลงบนฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นก็ฟาดกระแทกลงไปที่ก้อนหิน
ผู้อาวุโสผอมจ้องมองไปที่ลำธารด้านหลังอย่างตั้งใจ อยากจะดูว่าความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสอ้วนเพิ่มขึ้นจริงหรือเปล่า
แต่เป็นเวลานาน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในลำธาร
ผู้อาวุโสอ้วนก็มองไปที่ลำธารด้วยใบหน้าสงสัย และบ่นพึมพำ: “โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด คงจะไม่ใช่เพราะช่วงนี้นอนมากเกินไป นอนจนหมดเรี่ยวแรงแล้วเหรอ?”
ผู้อาวุโสผมก็หัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า: “ท่านไม่มีแม้แต่เซนติเมตรเดียว นี่ถือได้ว่าท่านแพ้แล้วใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นอย่าลืมเอายาดองโหลนั่นให้ฉันนะ”
ผู้อาวุโสอ้วนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และรีบไปตรวจสอบดูว่าหินก้อนนี้มีปัญหากับหรือไม่
ในขณะนี้ บนหินก้อนนั้นมีเสียงดังแกร๊กขึ้นมากะทันหัน ต่อจากนั้น รอยแตกก็ปรากฏขึ้นที่ด้านบน หินก้อนใหญ่ทั้งก้อนก็แตกแบ่งออกเป็นสองซีกทันที
ผู้อาวุโสทั้งสองมองไปยังตอนที่แยกออกจากกัน เห็นเพียงด้านในของหินก้อนใหญ่ กลับกลายเป็นผง เหลือเพียงเปลือกแข็งด้านนอกที่ว่างเปล่า
“นี่….นี่มันเป็นไปไม่ได้ หรือว่าความแข็งแกร่งของท่านแข็งแกร่งถึงขนาดนี้แล้วเหรอ? หินก้อนนี้ได้รับการจัดการด้วยยาพิเศษ คำนวณจากยอดฝีมือแดนปรมาจารย์ระดับสูงสุด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตีหินก้อนนี้กลายเป็นสภาพแบบนี้”ผู้อาวุโสผอมอุทาน
ผู้อาวุโสอ้วนก็ตกตะลึง ก้มหัวมองดูฝ่ามือของตัวเองแวบหนึ่ง พึมพำว่า: “หรือว่า…..ฉันเป็นคนมีความสามารถที่หาพบได้ยาก ช่วงนี้ความสามารถถึงได้แสดงออกมา เพียงแค่อาศัยกินข้าวแล้วนอน ก็สามารถกลายเป็นแข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอ?”
……
รพีพงษ์และอุเอสึงิ ฮารุทั้งสองคนเดินตามศิษย์พี่คนนั้นไปตลอดทางจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในสำนักเทพยาเซียน สองคนพี่น้องตระกูลพิมลนัทชามาเพื่อขอยา จุดประสงค์ที่แตกต่างกับพวกเขา ดังนั้นตอนนี้จึงถูกพาไปสถานที่อื่น
และที่รพีพงษ์พวกเขามา ก็เป็นที่อยู่ของผู้อาวุโสใหญ่สำนักเทพยาเซียน
ระหว่างทางมาที่นี่ รพีพงษ์ได้ถามศิษย์พี่คนนั้นแล้ว ได้รู้ว่าผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักเทพยาเซียนชื่อว่าปัณณธร ตำแหน่งที่เขาอยู่ในสำนักเทพยาเซียน อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเจ้าสำนักจิรภัทร
ศิษย์พี่เดินไปที่หน้าประตูบ้านหลังนั้น เคาะประตูไม่กี่ครั้ง และตะโกนว่า: “ผู้อาวุโสใหญ่ คนที่ท่านต้องการพบถูกพามาแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูก็เปิดออกจากด้านใน ร่างกายที่กำยำ ผู้ชายที่มีผมขาวดำแต่ยังคงดูแข็งแรงและมีพลังเดินออกมาจากข้างใน
คนคนนี้คือปัณณธรผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักเทพยาเซียน เขาอายุหกสิบกว่า แต่เป็นเพราะกินยาหลายชนิดมาตลอดทั้งปี ดังนั้นจึงดูไม่ต่างจากคนในวัยสี่สิบ
สายตาของปัณณธรจับจ้องไปที่บนตัวรพีพงษ์และอุเอสึงิ ฮารุ หลังจากที่เห็นอุเอสึงิ ฮารุ ดวงตาก็เปล่งประกาย ยังไม่ได้ถามเรื่องของชายในเสื้อคลุมดำ ก็เอ่ยปากว่า: “ตามฉันเข้ามาเถอะ”
ศิษย์พี่คนนั้นทำท่าทางเชิญรพีพงษ์และอุเอสึงิ ฮารุ จากนั้นก็ออกจากที่นี่ไปอย่างรู้ตัว