พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่911 คำเชิญ

บทที่911 คำเชิญ

บทที่911 คำเชิญ

เรวัตจ้องมองไปที่รพีพงษ์แวบหนึ่ง แม้ว่าในใจจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาบนใบหน้า และยิ้มให้รพีพงษ์เล็กน้อย แล้วพูดว่า: “ในเมื่อน้องชายอยากได้ขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่เพิ่มราคาต่อไป กระบี่หยกเล่มนี้เป็นของนาย”

รพีพงษ์ก็ไม่ได้พูดอะไร หยิบการ์ดธนาคารออกมาในทันที ยื่นให้เจ้าของร้านไปรูดการ์ด

เมื่อมองไปที่คำว่าทำธุรกรรมสำเร็จที่บ่งบอกบนเครื่องPOS มือทั้งสองข้างของเจ้าขายของก็สั่นสะท้าน ยังไงเขาก็คาดไม่ถึงว่า ตัวเองจะเอากระบี่หยกหักที่ไม่มีใครสนใจ กลับขายได้ในราคาที่สูงเช่นนี้ เรื่องนี้ถ้าพูดออกไป เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ

ที่สำคัญมอบดูท่าทางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเฉยเมยของรพีพงษ์ ราวกับว่าไม่สนใจเงินล้านนี้เลย เจ้าของร้านก็รู้อยู่ในใจ รพีพงษ์ก็คงจะเป็นคนที่เอาเงินหลายล้านสิบล้านมาเป็นเงินค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อยๆ

เขาไม่ชักช้าอีกต่อไป รีบห่อกระบี่หยกและกำไลข้อมือให้รพีพงษ์อย่างรวดเร็ว ส่งยื่นให้ถึงในมือของรพีพงษ์

รพีพงษ์เก็บกระบี่หยกไว้ จากนั้นยื่นกำไลข้อมือให้หงส์

หงส์มองไปที่กำไลข้อมือ ด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง และถามว่า: “นี่ให้ฉันเหรอ?”

รพีพงษ์พยักหน้า

ใบหน้าของหงส์เขินอายทันที หล่อนคาดไม่ถึงว่า รพีพงษ์ซื้อกำไลข้อมือนี้ เพื่อมอบให้กับหล่อน

ทันใดนั้นหล่อนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรขึ้นมา ในหัวสมองก็มีความคิดฟุ้งซ่าน แม้ว่าจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรรับกำไลข้อมือนี้ แต่หล่อนก็ยังรับกำไลข้อมือนี้มาอย่างไม่รู้ตัว

“โธ่เอ๊ย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงเป็นแบบนี้ กลับยังมอบกำไลข้อมือให้กับฉัน เขากำลังบอกใบ้อะไรกับฉันหรือเปล่า?”ในหัวของหงส์เต็มไปด้วยความคิดแบบนี้ ไม่กล้าที่จะสบตากับรพีพงษ์

รพีพงษ์ไม่ทันได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหงส์ เดิมทีกำไลข้อมือนี้เอามาก็เพื่อตอนนั้นจะให้เจ้าของร้านรู้สึกว่าเขาไม่ตั้งใจที่จะซื้อกระบี่หยกเล่มนี้โดยเฉพาะ รพีพงษ์ไม่สนใจกำไลข้อมือเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ตอนนั้นเห็นว่าหงส์จะชอบกำไลข้อมือนี้มาก ดังนั้นจึงโอกาสมอบให้หล่อน

ถ้ารู้ว่าในหัวของหงส์จะมีความคิดมากมายเช่นนี้ ต่อให้รพีพงษ์ต้องทิ้งกำไลข้อมือนี้ ก็คงจะไม่มอบให้กับหล่อนอย่างแน่นอน

เรวัตจ้องมองไปที่รพีพงษ์และหงส์พวกเขาทั้งสองสักพัก ดวงตากลอกไปมา จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เอ่ยปากว่า: “ดูจากท่าทางของทั้งสองคน น่าจะมาท่องเที่ยวที่เมืองอยู่เย็นของเรา เมื่อกี้นี้ฉันมีความต้องการกระบี่หยกเล่มนี้มากๆ ดังนั้นจึงได้เสนอราคาไปสองครั้ง หวังว่าพวกคุณก็อย่าได้ถือสา”

“การพบกันคือโชคชะตา เมื่อพบกันแล้ว มาเป็นเพื่อนกันน่าจะดีกว่า เดี๋ยวฉันจะไปร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลงานหนึ่ง ช่วงนี้ที่ตระกูลกิติมหาคุณของเรามีการจัดงานประชุมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการฝึกวิชาเวทย์ ฉันได้เชิญอาจารย์ที่แข็งแกร่งหลายท่านมาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ไม่ทราบว่าทั้งสองคนมีความสนใจ ไปด้วยกันมั้ย?”

เมื่อได้ยินคำพูดของเรวัต รพีพงษ์กลับเริ่มเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง เรวัตคนนี้ที่ประกาศตัวเองว่าเป็นคุณชายของตระกูลกิติมหาคุณ คิดว่าต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับประชุมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการฝึกวิชาเวทย์อยู่บ้าง พอดีกับที่รพีพงษ์ก็อยากจะดูว่าคนที่มาร่วมงานประชุมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการฝึกวิชาเวทย์เป็นใครบ้าง

“ก็ได้”รพีพงษ์ตอบกลับหนึ่งประโยค เขาดูท่าทางของเรวัตแล้ว กลับเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะคนหนึ่ง ไม่ได้โกรธเพราะตัวเองซื้อกระบี่หยกในราคาที่สูงกว่า แต่กลับยังเชิญตัวเองไปรับประทานอาหารด้วย ดังนั้นรพีพงษ์รู้สึกว่าให้เกียรติเขาก็เป็นเรื่องที่สมควร

“เธอจะไปมั้ย?”รพีพงษ์หันหน้าไปถามหงส์

ในเวลานี้หงส์ยังคงตกอยู่ท่ามกลางความประหลาดใจและความพัวพันกับกำไลข้อมือที่รพีพงษ์มอบให้ตัวเอง เมื่อได้ยินรพีพงษ์คำถามที่รพีพงษ์ถาม ก็ตอบตกลงโดยไม่ได้คิด รพีพงษ์ก็จะไปอยู่แล้ว แน่นอนว่าหล่อนก็ต้องตามไปด้วย

เรวัตหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม แล้วพารพีพงษ์พวกเขาทั้งสองคนเดินไปที่รถคันหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล

รพีพงษ์และหงส์ไม่ทันได้สังเกตเห็น ในขณะที่เรวัตหันกลับไป ในแววตาเผยให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมและเลวร้าย

ฐานะตำแหน่งของเรวัตอยู่ในเมืองอยู่เย็นก็ใหญ่โต พ่อของเรวัตก็เป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อเสียงในแวดวงวิชาเวทย์ รพีพงษ์กล้าแย่งสิ่งของกับเขา เขาจะปล่อยรพีพงษ์ไปได้อย่างไร

ทั้งสามคนนั่งรถไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองอยู่เย็นพร้อมกัน ในระหว่างทางเรวัตถามคำถามกับรพีพงษ์และหงส์มากมาย อยากจะรู้ที่มาของพวกเขาให้ชัดเจน

แม้ว่าที่รพีพงษ์พวกเขาสองคนมาก็เพราะงานประชุมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการฝึกวิชาเวทย์ แต่บัตรเชิญในมือของพวกเขาก็คือแย่งมา เพื่อไม่ทำให้เรวัตเกิดความสงสัย จึงบอกว่ามาท่องเที่ยวที่เมืองอยู่เย็น บังเอิญได้ยินว่ามีประชุมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการฝึกวิชาเวทย์ ดังนั้นจึงสนใจเป็นอย่างมาก

เรวัตตั้งใจถามรพีพงษ์เป็นพิเศษว่าทำไมออกไปข้างนอกต้องพกกระบี่หนึ่งเล่มด้วย รพีพงษ์บอกว่าตัวเองชื่นชอบของด้านนี้มาก ดังนั้นจะพกกระบี่หนึ่งเล่มเมื่อออกมาข้างนอก ในเวลาเดียวกันก็สามารถใช้มาป้องกันตัวเองได้

เรวัตเดาว่ารพีพงษ์อาจจะเป็นนักศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะอยู่ในตระกูลกิติมหาคุณตั้งแต่เล็กจนโต เขาคิดมาโดยตลอดว่านักศิลปะการต่อสู้เทียบกับวิชาเวทย์ไม่ติด

นักรบเหล่านั้นที่มาท้าทายนิธินาถสุดท้ายต่างก็พ่ายแพ้อยู่ภายใต้กระบี่บินของนิธินาถ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาไม่ได้ของวิชาเวทย์ เรวัตรู้สึกมาโดยตลอดว่าศิลปะการต่อสู้เป็นของอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ไม่สามารถออกหน้าสู่สังคมได้

ไม่ว่าสิ่งที่รพีพงษ์และอารียาพูดจะเป็นจริงหรือไม่ เรวัตก็แน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ลูกหลานของอาจารย์อะไร ทั้งสองคนไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับวิชาเวทย์ อยากจะจัดการก็ง่ายพอสมควร

หลังจากนั้นไม่นาน รถก็มาหยุดที่หน้าร้านอาหาร เรวัตกับรพีพงษ์และหงส์ลงจากรถด้วยกัน และเชิญพวกเขาเข้าไปในร้านอาหารอย่างกระตือรือร้น

วันนี้เรวัตจองร้านอาหารแห่งนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเรวัต บุคคลภายนอกทุกคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า

ทันทีที่รพีพงษ์และหงส์ทั้งสองคนเข้ามาในร้านอาหาร ก็มองเห็นว่ามีโต๊ะขนาดใหญ่อยู่ในห้องโถง ซึ่งสามารถรองรับคนได้ประมาณสิบกว่าคน ในเวลานี้มีเพียงอุปกรณ์ทานอาหารอยู่บนโต๊ะอาหารเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มเสิร์ฟอาหาร

และไม่ไกลจากโต๊ะ มีผู้คนมากมายรออยู่ที่นี่ และคนเหล่านี้เป็นคนที่เรวัตเชิญมา

รพีพงษ์และหงส์มองไปที่คนเหล่านั้นแวบหนึ่ง ในใจต่างก็ประหลาดใจ เพราะคนเหล่านี้ที่อยู่ในร้านอาหาร กลับเป็นผู้หญิงทั้งหมด ที่สำคัญส่วนใหญ่รูปร่างหน้าตาโดดเด่นสวยงาม งดงามอายุยังน้อย ทั้งในห้องโถง มีเพียงรพีพงษ์และเรวัตทั้งสองคนที่เป็นผู้ชาย

สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้รพีพงษ์เกิดความสงสัย เรวัตคนนี้บอกว่าจะชวนเพื่อนและอาจารย์ในแวดวงวิชาเวทย์หลายท่านมาร่วมประทานอาหารด้วยกัน อาจารย์ที่เรวัตพูดถึงอาจจะยังมาไม่ถึง แต่เพื่อนของเขากลับเป็นผู้หญิงทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้คนรู้สึกแปลกๆเล็กน้อย

“ทุกคนนั่งลงก่อนเถอะ ฉันจะไปเชิญอาจารย์ทั้งหลายท่านมา เดี๋ยวตอนที่รับประทานอาหารอาจารย์จะดำเนินการบรรยายวิชา นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเรา ทุกคนอย่าได้พลาดเด็ดขาด”

เรวัตพูดกับทุกคน จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน

ลึกเข้าไปในร้านอาหาร ในห้องแห่งหนึ่ง มีชายที่หน้าตาที่มาพร้อมกับความอันธพาลทั้งสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่บนพื้น สามารถมองเห็นหมอกปรากฏขึ้นบนหัว และดูเหมือนว่ากำลังฝึกวรยุทธบางอย่างอยู่

เรวัตผลักประตูเข้ามา หลังจากเห็นทั้งสามคน ก็ยิ้มและพูด: “อาจารย์ทั้งสามท่าน อย่าเพิ่งใจร้อนฝึกฝนวรยุทธ ผู้คนต่างก็มาครบกันหมดแล้ว ในครั้งนี้ที่หามาให้พวกท่าน ก็เป็นระดับที่ดีสุด รับรองว่าพวกท่านจะพึงพอใจ”

ทั้งสามคนคนลืมตาขึ้น บนใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม

“ได้รับความช่วยจากคุณชายเรวัต การฝึกวิชาของพวกเราคงจะมีจะดีขึ้นอย่างมาก หลังจากเรื่องนี้แล้ว พวกเราจะให้ค่าตอบแทนที่น่าพอใจกับคุณชายเรวัตอย่างแน่นอน”ชายที่นั่งตรงกลางเอ่ยปากพูด

“อาจารย์จิรัสย์เกรงใจเกินไปแล้ว แต่ในบรรดาคนที่ฉันเชิญมาในวันนี้ มีชายคนหนึ่ง ตามที่ฉันได้สังเกตน่าจะเป็นนักรบคนหนึ่ง คนคนนี้แย่งสิ่งของหนึ่งอย่างไปจากมือของฉัน หวังว่าเดี๋ยวอาจารย์ทั้งสามท่านจะสามารถช่วยฉันจัดการเด็กคนนั้น เรวัตก็จะขอบพระคุณในความเมตตากรุณาอย่างแน่นอน”เรวัตเอ่ยปาก

“เรื่องนี้คุณชายเรวัตสบายใจได้ แค่นักรบคนหนึ่งเท่านั้นเอง ก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับพวกเรา เดี๋ยวคุณชายเรวัตรอดูความสนุกก็พอ”คนที่ถูกเรียกว่าอาจารย์จิรัสย์ตอบกลับหนึ่งประโยค ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท