บทที่979 ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้
“ไม่เปลี่ยน”รพีพงษ์ปฏิเสธความต้องการของบอดี้การ์ดคนนั้นอย่างเด็ดขาด
บอดี้การ์ดก็คาดไม่ถึงรพีพงษ์จะปฏิเสธทันทีแบบนี้ บนใบหน้าก็ปรากฏความไม่พอใจออกมา
“เด็กน้อย ฉันว่านายอยากโดนต่อยเหรอ? ตอนนั้นอยู่ที่ด้านล่างฉันไม่ได้สนใจนาย ตอนนี้นายยังมาอวดเก่งกับฉันอีก ทำไม นายอยู่อยากอยู่ใกล้พี่ปรียาของพวกเรา เอาเปรียบเธอเหรอ?”บอดี้การ์ดพูดกับรพีพงษ์อย่างไม่เกรงใจ
รพีพงษ์เบะปาก แล้วพูดว่า: “นายคิดมากไปแล้ว อย่างหล่อนเหรอ ยังไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของฉันได้”
ทันใดนั้นบอดี้การ์ดก็แสดงรอยยิ้มโกรธ และเอ่ยปากพูดว่า: “แกแม่งเสแสร้งอะไรที่นี่ รูปลักษณ์และรูปร่างของพี่ปรียาของพวกเรา ไม่รู้ว่ามีผู้ชายกี่คนที่หลงใหล ฉันก็ไม่เคยเห็นผู้ชายที่กล้าไม่สนใจพี่ปรียา ต่อให้แกจะเสแสร้ง ยังไงก็น่าจะหาเหตุผลที่ดีกว่านี้”
จันทร์ปรียาก็เต็มไปด้วยความรังเกียจมองไปที่รพีพงษ์ พูดเบาๆว่า: “จอมปลอม”
เมื่อเห็นบอดี้การ์ดพูดแบบนี้ ในใจรพีพงษ์ก็ดูถูก เขาไม่อยากจะพูดจาไร้สาระกับคนเหล่านี้ เอ่ยปากพูดทันทีว่า: “ฉันขอเตือนนายทางที่ดีกลับไปที่ตำแหน่งที่นั่งของนาย ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด”
บอดี้การ์ดก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที เอ่ยปากพูดว่า: “ความอดทนของนายมีขีดจำกัด ความอดทนของกูก็มีขีดจำกัด แม่ง ดูเหมือนว่าวันนี้ไม่สั่งสอนแก แกก็ไม่รู้จริงๆว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”
จากนั้น บอดี้การ์ดก็พับแขนเสื้อของตัวเองขึ้นมา เผยให้เห็นกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ที่แข็งแรง
ทุกคนรอบข้างเห็นท่าทางที่จะต่อยตีรพีพงษ์ของบอดี้การ์ดคนนี้ ต่างก็วิตกกังวลแทนรพีพงษ์
แม้ว่าพวกเขาต่างจะรู้สึกว่าสิ่งที่บอดี้การ์ดคนนี้ของจันทร์ปรียาทำไม่ถูก แต่คนอื่นเขาก็เป็นบอดี้การ์ดของดาราใหญ่ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะยืนออกมาพูดแทนรพีพงษ์
ตัวของจันทร์ปรียาเองรู้สึกว่ารพีพงษ์สมควรที่จะโดนจัดการ ดังนั้นก็ไม่ได้ห้ามบอดี้การ์ดของตัวเอง
ถ้าหากใครโพสต์ข่าวบนอินเทอร์เน็ตในอนาคต หล่อนก็โยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้บอดี้การ์ด ค่อยหาบริษัทประชาสัมพันธ์ไม่กี่แห่งมาจัดการ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
รพีพงษ์มองดูบอดี้การ์ดที่กระตือรือร้น เพื่อทำให้เขาสามารถที่จะสงบลงมา เขาก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเอง
เมื่อบอดี้การ์ดเห็นรพีพงษ์ลุกขึ้นมา คิดว่าเขาหวาดกลัวกล้ามเนื้อของตัวเอง และหัวเราะเยาะทันที: “เด็กน้อย กลัวแล้วใช่มั้ย กลัวแล้วก็รีบไสหัวไปด้านหลัง อย่าให้ฉันต้องพูดจาไร้สาระอีก!”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “นายเสียงดังเกินไปแล้ว”
บอดี้การ์ดนิ่งอึ้ง ไม่รู้ว่ารพีพงษ์หมายความว่าอะไร
“แม่งเอ๊ย แกหมายความว่ายังไง? บีบคั้นให้ฉันต้องลงเหรอ?”
ในเวลานี้แอร์โฮสเตสคนหนึ่งเข้ามา จ้องมองที่บอดี้การ์ดแวบหนึ่ง แล้วมองไปที่รพีพงษ์ แล้วถามว่า: “คุณผู้ชาย มีอะไรให้ช่วยมั้ยค่ะ?”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “ไม่ต้อง ผมจัดการด้วยตัวเองก็พอแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็เอื้อมมือไปคว้าบอดี้การ์ด
เมื่อบอดี้การ์ดเห็น ตะคอกทันที ก็ยกแขนของตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะตีมือของรพีพงษ์ออกไป
แต่เขาก็เห็นไม่ชัดว่ามือของรพีพงษ์เคลื่อนไหวอย่างไร รู้สึกได้ว่าผ่านไปในพริบตาเดียวด้านหน้าของตัวเอง ต่อจากนั้นข้อมือของมือข้างของเขา ก็ถูกรพีพงษ์จับไว้
แม้ว่าเขาต้องการจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของรพีพงษ์ ในความคิดของเขา รพีพงษ์ก็ดูธรรมดา และไม่น่าจะมีพลังงานมากนัก
แต่เขาใช้แรงดึงแขนตัวเองกลับมา แขนของตัวเองไม่ขยับแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นบนใบหน้าของบอดี้การ์ดก็แสดงท่าทีประหลาดใจ แม้ว่าจะพยายามลองอีกครั้ง แขนของเขาก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่น้อย
“แม่ง คาดไม่ถึงว่าพละกำลังของแกก็ไม่น้อย แต่แกคิดว่า….”
เดิมทีบอดี้การ์ดต้องการพูดอะไรบางอย่างที่โหดร้ายกับรพีพงษ์ ให้รพีพงษ์ปล่อยแขนของตัวเอง แต่เขายังไม่ทันได้พูดหมด ก็รู้สึกถึงแรงมหาศาลที่ส่งผ่านมาทางแขน ก็เหมือนราวกับว่ากำลังจะบีบแขนของเขาให้เละจนเขาร้องโอดโอยขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรวดเร็ว
“เจ็บ เจ็บ เจ็บ แกปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ แขนของฉันจะหักอยู่แล้ว!”สีหน้าของบอดี้การ์ดเจ็บปวดจนถอดสี ความเย่อหยิ่งเมื่อกี้นี้ก็หายไป
“ขอโทษฉัน”รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขอโทษแกเหรอ? แกฝันไปเถอะ! กู….อ๊าก!!! ฉันเจ็บจะตายแล้ว!”
รพีพงษ์ใช้แรงอีกครั้ง และควบคุมความแข็งแกร่งอยู่บนจุดวิกฤติ ตราบใดที่บอดี้การ์ดไม่ขอโทษ เขาเพียงต้องใช้แรงอีกเล็กน้อย แขนของบอดี้การ์ดก็จะหักในทันที
“ฉันจะพูดอีกครั้ง ขอโทษฉัน ไม่อย่างนั้นแขนของนายก็ไม่ต้องคิดที่จะเอาแล้ว”รพีพงษ์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ในตอนนี้บอดี้การ์ดรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขาเห็นว่าท่าทางของรพีพงษ์ไม่เหมือนกับกำลังล้อเล่น รีบเอ่ยปากพูดอย่างรวดเร็วว่า: “พี่ชาย พี่ชาย ผมผิดไปแล้ว ผมรู้ว่าผิดแล้ว ขอโทษ ผมขอโทษพี่ พี่ปล่อยผมไปเถอะ”
เมื่อเห็นบอดี้การ์ดขอโทษ รพีพงษ์ถึงได้ปล่อยมือของตัวเอง กลับไปนั่งที่ที่นั่งของตัวเอง
ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างมองดูฉากนี้ด้วยเสียงร้องเชียร์อย่างล้นหลาม ต่างคิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะมีพลังมากขนาดนี้ มีคนไม่น้อยปรบมือให้
จันทร์ปรียาก็คาดไม่ถึงรพีพงษ์จะมีพลังมากขนาดนี้ บนใบหน้ามาพร้อมกับความตกใจ ตอนนี้เห็นทุกคนบนเครื่องบินเริ่มส่งเสียงเชียร์แทนรพีพงษ์ ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนในทันที
เนื่องจากคนคนนี้เป็นบอดี้การ์ดของหล่อน บอดี้การ์ดขายหน้า ซึ่งเท่ากับหล่อนก็ขายหน้า
“เศษสวะที่ไร้ประโยชน์จริงๆ!”จันทร์ปรียาพึมพำในใจ
บอดี้การ์ดหลังจากที่รพีพงษ์ปล่อยมือ ก็รีบถอยหลังไปหลายก้าว ใช้มืออีกหนึ่งข้างนวดบริเวณที่รพีพงษ์บีบเมื่อกี้นี้อย่างระมัดระวัง
เขาจ้องมองรพีพงษ์อย่างโหดร้าย ยังอยากจะประลองกับรพีพงษ์ต่อไป เขารู้สึกว่าเมื่อกี้ตัวเองประมาทไปเพียงชั่วขณะ ถูกรพีพงษ์เอาเปรียบเท่านั้นเอง
แต่ในเวลานี้จันทร์ปรียาเขม็งตาใส่เขา เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ควรที่จะก่อกวนต่อไป ไม่อย่างนั้นจะส่งผลร้ายแรงต่อจันทร์ปรียาอย่างมาก ทำได้เพียงแค่อดกลั้นความโกรธไว้ในใจ
“แกรอเดี๋ยวเถอะ ตอนนี้ฉันไม่ถือสาแกก่อน รอลงจากเครื่องบินแล้ว ฉันจะทำให้แกรู้ถึงความแข็งแกร่งของฉันแน่!”
บอดี้การ์ดพึมพำใส่รพีพงษ์ จากนั้นเดินไปด้านหลัง นั่งไปที่ตำแหน่งที่นั่งของตัวเอง
เมื่อเห็นบอดี้การ์ดจากไป รพีพงษ์มองไปที่จันทร์ปรียาแวบหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า: “ทางที่ดีคุณควรจะควบคุมดูแลให้ดี ในฐานะที่เป็นบุคคลสาธารณะ แม้แต่คุณสมบัติพื้นฐานที่สุดก็ไม่มี คุณดังได้ไม่กี่วันหรอก”
จันทร์ปรียาคาดไม่ถึงรพีพงษ์จะหันกลับมาวิพากษ์วิจารณ์หล่อน ก็เบิกตากว้างทันที จากนั้นมองไปที่รพีพงษ์อย่างเหลือเชื่อ เอ่ยปากพูดว่า: “ฉันจะเป็นอย่างไร นายไม่ต้องยุ่ง?”
รพีพงษ์ยักไหล่ รู้ว่าพูดกับคนแบบนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ หลับตาลง และพักผ่อน
ในระหว่างทาง จันทร์ปรียารู้สึกรำคาญอย่างมากเพราะรพีพงษ์ที่อยู่ข้างๆ หล่อนรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองออกมาข้างนอกซวยจริงๆ ซวยถึงขนาดที่เจอกับคนอย่ารพีพงษ์
ในที่สุด เมื่อเครื่องบินก็ลงจอด จันทร์ปรียาลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นอันดับแรก และเดินไปด้านนอก
สุดท้ายบอดี้การ์ดคนนั้นไม่กล้าไปหาเรื่องรพีพงษ์เพราะแขนของตัวเองยังคงปวดอยู่
รพีพงษ์ลงจากเครื่องบินอย่างช้าๆ และเมื่อมาถึงทางออกสนามบิน ก็โทรศัพท์ออกไป
กองกำลังของเทือกเขากิสนากระจายไปทั่วโลก และประเทศรัสเซียไม่มีข้อยกเว้นเป็นธรรมดา ในฐานะนายน้อยเทือกเขากิสนา รพีพงษ์ไม่ปฏิเสธความสะดวกแบบนี้เป็นธรรมดา