หลังจากที่จัดการเฮียวุตเรียบร้อย รพีพงษ์เดินในบ้านของเฮียวุตหนึ่งรอบ อยากจะดูว่าเฮียวุตยังทิ้งภัยพิบัติแอบแฝงไว้อยู่หรือเปล่า
หลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร รพีพงษ์ก็เผาร่างของเฮียวุตทันที จากนั้นก็ออกจากบ้านหลังนั้น
อันธพาลเหล่านั้นที่ถูกรพีพงษ์ฟาดก่อนหน้านั้นเห็นกระบวนการทั้งหมดกับตาตัวเอง ต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจแรงๆออกมา และนอนแกล้งตายอยู่บนพื้น
หลังจากที่รพีพงษ์จากไป พวกเขารีบลุกขึ้นมาจากบนพื้นอย่างรวดเร็ว และออกจากที่นี่ไป
หลังจากวันนี้ไป ข่าวการเสียชีวิตของบริวุตน่าจะแพร่กระจายไปหมู่บ้านใกล้เคียงหลายแห่งในไม่ช้า และถึงเวลาชาวบ้านในหมู่บ้านเหล่านี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะโดนบริวุตรังแกอีก
รพีพงษ์ก็เดินทางกลับไปในบ้านของเวทิดา ในเวลานี้คนเหล่านั้นที่ถูกรพีพงษ์ฟาดจนสลบก่อนหน้านี้ก็วิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งนานแล้ว
ตอนที่เขากลับไป เวทิดากำลังยืนอยู่ในสวนลาน หลังจากที่เห็นรพีพงษ์กลับมา ดวงตาเปล่งประกายทันที รีบก้าวไปข้างหน้าแล้วถาม: “พี่รพีพงษ์ เป็นอย่างไงบ้าง?”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “บริวุตคนนั้นถูกฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปพวกคุณก็ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมีสร้างความเดือดร้อนให้อีกแล้ว”
หลังจากที่เวทิดาได้ยิน ในใจก็เพิ่มความรู้สึกชื่นชมนับถือต่อรพีพงษ์ขึ้นอย่างลึกซึ้ง จากนั้นพูดกับรพีพงษ์อย่างจริงใจว่า: “พี่รพีพงษ์ ขอบคุณพี่”
รพีพงษ์ยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
“พี่รพีพงษ์ ฉันกับแม่ของฉันได้เก็บกวาดห้องในบ้านออกมาเรียบร้อยแล้ว ตอนกลางคืนพี่ก็นอนที่นี่เถอะ ท่านปรมาจารย์ในภูเขายังมีเวลาอีกหลายวันที่จะภูเขามารับลูกศิษย์ ถ้าหากว่าพี่ไม่รังเกียจ หลายวันนี้ก็พักที่บ้านของฉัน แม้ว่าฐานะของเราจะไม่ค่อยดีมากนัก แต่ว่าก็ถือได้ว่าบังลมหลบฝนได้ ตราบใดที่พี่รพีพงษ์ไม่รังเกียจก็พอ”เวทิดาพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง
รพีพงษ์ไม่ได้ปฏิเสธ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาไหว้บูชาอาจารย์ แต่ว่าอยากจะหาผู้คุมกันคนที่สี่ของชัชพิสิฐ เขาก็ทำได้เพียงรอลูกศิษย์ของผู้คุมกันคนนี้ลงจากภูเขามารับลูกศิษย์ และถามตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ของผู้คุมกันคนที่สี่จากปากของพวกเขา
ดังนั้นหลายวันนี้เขาต้องอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จริงๆ
ตอนกลางคืน เวทิดาสองแม่ลูกใช้อาหารเย็นมากมายมาต้อนรับรพีพงษ์ ในระหว่างรับประทานอาหารทั้งสองคนยังแสดงความขอบคุณต่อรพีพงษ์อยู่ตลอด
ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้รพีพงษ์ทำอะไรไม่ถูกคือ แม่ของเวทิดาตั้งใจมุ่งมั่นว่ารพีพงษ์ก็คือเทพเจ้า ไม่ว่าทานอะไร ก็ให้รพีพงษ์ทานก่อน บอกว่าอาหารที่เทพเจ้าทานแล้ว ก็จะมีโชคของเทพเจ้าติดด้วย พวกเธอทานก็จะมีความโชคดี
รพีพงษ์อธิบายหลายรอบว่าตัวเองไม่ใช้เทพเจ้า แต่ว่าแม่ของเวทิดาก็ไม่เชื่อ และเชื่อมั่นว่ารพีพงษ์คือเทพเจ้ากลับชาติมาเกิด ดังนั้นมองไปแล้วจึงเหมือนกันคนทั่วไป
รพีพงษ์รู้ว่าไม่สามารถอธิบายให้เธอได้อย่างชัดเจน ดังนั้นก็ไม่อธิบายแล้ว สงบจิตสงบใจก้มหน้าทานข้าว
เช้าวันรุ่งขึ้น รพีพงษ์ตื่นขึ้นมา พบว่าข้างเตียงของตัวเองมีกระถางธูปอยู่หนึ่งอัน ในกระถางธูปปักธูปไว้สามดอก เผาไหม้หมดแล้ว
ถ้าหากเดาไม่ผิด เมื่อคืนนี้แม่ของเวทิดาคงจะแอบเอามาวางไว้อย่างแน่นอน
มองดูธูปที่เผาไหม้หมดในกระถางธูป รพีพงษ์ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา ยังไงเขาก็คาดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ตัวเองถูกคนอื่นบูชาในฐานะเทพเจ้า
หลังจากนั้นหลายวัน รพีพงษ์ก็พักอยู่อาศัยในหมู่บ้านเล็กๆที่รอบล้อมไปด้วยภูเขาแม่น้ำ ข่าวคราวที่บริวุตถูกเขาฆ่าตายก็แพร่กระจายไปหมู่บ้านใกล้เคียงหลายแห่ง หลังจากที่ทุกคนรู้ ต่างร่วมยินดีเฉลิมฉลองกันทั่วหน้า และแทบต้องการที่จะจัดงานเลี้ยงใหญ่มาเฉลิมฉลองเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลาเดียวกันแม่ของเวทิดาก็บอกกับคนอื่นไปทั่วว่าบ้านของเธอมีเทพเจ้าพักอยู่ ก็คือเทพเจ้าท่านนี้ที่กำจัดบริวุต
ผ่านไปได้ไม่นาน คนทั้งหมู่บ้านรู้เรื่องราวนี้ ต่างก็วิ่งมาดูเทพเจ้าในบ้านของเวทิดา
เรื่องนี้ทำให้รพีพงษ์ค่อนข้างปวดหัว แต่ก็ทานต้านความกระตือรือร้นของชาวบ้านไม่ไหว ดังนั้นโดยทั่วไปในเวลากลางวันเขาไม่ได้อยู่ที่บ้านของเวทิดา วิ่งไปในภูเขาเพื่อฝึกฝน
ถึงแม้ว่าจะเป็นแบบนี้ ทุกคืนตอนที่รพีพงษ์กลับไป ก็จะเห็นกระถางธูปวางอยู่ที่หน้าบ้านของเวทิดา ด้านในจุดธูปที่ทั้งไหม้หมดแล้วและยังไหม้ไม่หมด
ก็แบบนี้ผ่านไปหลายวัน ในเช้าของวันนี้ ตอนที่รพีพงษ์กำลังจะออกจากบ้านของเวทิดา เวทิดาที่ออกไปแต่เช้าก็วิ่งกลับมาในบ้านอย่างรวดเร็ว เห็นรพีพงษ์กำลังจะออกไป รีบเรียกเขาไว้ แล้วพูดว่า: “พี่รพีพงษ์ พี่ไม่ต้องไปในภูเขาแล้ว วันนี้ลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์คนนั้นลงมาจากภูเขาแล้ว พวกเขามาถึงที่หมู่บ้านข้างๆพวกเราแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดเวทิดา ดวงตาของรพีพงษ์ก็เปล่งประกายทันที จากนั้นเอ่ยปากพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นพาฉันไปเถอะ”
เวทิดาพยักหน้า จากนั้นพารพีพงษ์รีบไปยังหมู่บ้านข้างๆอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองคนก็มาถึงพื้นที่โล่งแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านหมู่บ้านข้างๆใช้รวมตัวกันประชุม
ในเวลานี้ผู้คนจำนวนมากมายรวมตัวกันอยู่ที่นั่น คนของหมู่บ้านรอบๆหลายแห่งแทบจะวิ่งมาที่นี่ เพื่อดูฉากที่ลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์รับลูกศิษย์
แน่นอนว่า แต่ละครอบครัวก็จะส่งลูกของตัวเองมาที่นี่ ถ้าหากโชคดี เกิดถูกคัดเลือก ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปครอบครัวนี้ก็จะถือได้ว่าประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองขึ้น
ในระหว่างเดินทางที่มาเวทิดาบอกรพีพงษ์ว่า เงื่อนไขในการรับลูกศิษย์ของศิษย์ท่านปรมาจารย์คืออายุต้องไม่น้อยกว่าเจ็ดปี ไม่เกินยี่สิบปี ผู้ที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขนี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการคัดเลือก
แน่นอนว่าอายุเป็นเพียงเกณฑ์การคัดเลือกอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากคุณสมบัติดี ต่อให้อายุจะมากไปบ้างก็ไม่เป็นไร พวกเขาสามารถอาสาเสนอตัวเองได้ แน่นอนว่า และถ้าหากไปก่อกวนเพียงอย่างเดียว ก็จะถูกลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์ลงโทษ
ตอนนั้นที่เวทิดาบอกเรื่องนี้กับรพีพงษ์ ก็รู้สึกว่าคุณสมบัติของรพีพงษ์เหมาะสม ลองอาสาเสนอตัวเองดู ไม่แน่อาจมีโอกาสถูกคัดเลือก
แน่นอนว่า หลังจากที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของรพีพงษ์ เวทิดาก็ไม่มีความคิดแบบนี้แล้ว เนื่องจากความแข็งแกร่งของรพีพงษ์ ไม่เห็นว่าจะอ่อนแอกว่าท่านปรมาจารย์คนนั้นในภูเขา
ทั้งสองคนมาถึงในกลุ่มฝูงชน เห็นด้านหน้ามีโต๊ะวางอยู่หลายโต๊ะ มีคนสามคน ผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน ในเวลานี้กำลังนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะ มองไปที่ชาวบ้านรอบๆอย่างไม่สนใจไยดี และสามารถมองออกมาได้ว่าในแววตาของพวกเขามาพร้อมกับความดูถูกเล็กน้อย
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเกิดในหมู่บ้านใกล้เคียง แต่หลังจากที่เข้าไปฝึกฝนในภูเขากับท่านปรมาจารย์ การเปิดหูเปิดตาก็กลายเป็นกว้างขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความหยิ่งยโส และย่อมดูถูกชาวบ้านเหล่านี้เป็นธรรมดา
และชาวบ้านเหล่านี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรเป็นธรรมดา และยังรู้สึกว่าก็สมควรที่จะเป็นอย่างนั้น เนื่องจากแนวคิดของพวกเขายังอยู่ในสภาพที่ล้าหลัง
บนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าของทั้งสามคนนั้น วางก้อนหินแปลกประหลาดไว้ก้อนหนึ่ง ทุกคนที่มาเข้าร่วมการคัดเลือก เพียงต้องวางมือของตัวเองไว้บนก้อนหินก้อนนั้น ก้อนหินก้อนนั้นก็จะเปล่งแสงออกมาบ้าง ทั้งสามคนดูตามความแข็งความอ่อนของแสง มาตัดสินว่าจะรับคนคนนี้หรือไม่
รพีพงษ์มองไปที่ก้อนหินก้อนนั้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น คาดไม่ถึงว่ายังมีของแบบนี้ที่สามารถทดสอบศักยภาพได้อยู่
ดูเหมือนว่าคนที่มาจากทวีปโอชวิน ไม่ธรรมดาจริงๆ
รพีพงษ์ไม่รีบร้อน รอให้ทั้งสามคนนั้นทดสอบทุกคนที่เข้าร่วมการคัดเลือกเสร็จอย่างอดทน
หลังจากที่มองดูคนสุดท้ายที่เข้าร่วมการคัดเลือกเสร็จ รพีพงษ์ก็เดินออกมาจากฝูงชน และเดินไปทางทั้งสามคนนั้น