รพีพงษ์จ้องมองไปที่ห้องโถงจิตตานุภาพแวบหนึ่ง หลังจากที่หายใจเข้าลึกๆ ก็เดินเข้าไปข้างใน
หุ่นเชิดตัวนั้นไม่ได้ก้าวก่ายอะไรทั้งนั้น ดูเหมือนว่าหน้าที่ของเขาคือรับผิดอธิบายอยู่ที่นี่ให้กับคนที่มาที่นี่
เท้าข้างหนึ่งของรพีพงษ์เหยียบไปที่บนพื้นของห้องโถงจิตตานุภาพ เกือบจะในทันที เขารู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงของร่างกายของตัวเองเกิดการเปลี่ยนไป ร่างกายของคนทั้งคนเหมือนราวกับมีของหนักหนึ่งพันชั่งทับอยู่ เกือบจะทำให้เขาล้มลงไปอยู่บนพื้นในทันที
เขาก็เหยียบเท้าอีกข้างหนึ่งอยู่บนพื้นห้องโถงจิตตานุภาพ ร่างกายทั้งหมดถูกห่มหุ้มด้วยแรงโน้มถ่วงที่มองไม่เห็น และความรู้สึกที่ผ่อนคลายก่อนหน้านั้นก็หายไปในทันที
แม้ว่าห้องโถงจิตตานุภาพนี้จะดูไม่ใหญ่มากนัก อย่างมากก็ระยะห่างเพียงหนึ่งร้อยเมตร แต่ว่าภายใต้การห่อหุ้มของแรงโน้มถ่วงแบบนี้ รพีพงษ์รู้สึกว่าหนึ่งร้อยเมตรนี้ค่อนข้างไกล
เขาพยายามลองก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แต่พบว่าทั้งร่างกายของตัวเองอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วง ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้เลย
อย่างไรก็ตามเขาคาดไม่ถึงว่า ตัวเองเพิ่งจะยืนขึ้นมา กลับต้องต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้
หรือว่าในสายตาของเจ้านายคนนี้ พลังจิตตานุภาพของคนธรรมดาตั้งแต่เริ่มแรกก็น่าจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้เลยเหรอ?
แต่ในเมื่อยืนอยู่ในห้องโถงจิตตานุภาพนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องถอยกลับแล้ว
เขากัดฟัน และใช้กำลังทั้งหมดในร่างกายของตัวเอง แววตาของคนทั้งคนก็เปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวหนักแน่นขึ้นมาก จากนั้นก้าวออกไปทางข้างหน้าเล็กน้อย
รพีพงษ์พยายามใช้พลังในร่างกายของตัวเองมาต่อต้านแรงโน้มถ่วงที่กดทับอยู่บนร่างกายของเขา แต่ว่าไม่ได้รับผลใดๆ ดูเหมือนว่าที่นี่จะเหมือนกับที่หุ่นเชิดบอกไว้ ต้องการผ่านไปด้วยความแข็งแกร่ง คือเป็นไปไม่ได้เลย
ตอนนี้ รพีพงษ์ทำได้เพียงอาศัยจิตตานุภาพของตัวเอง เดินไปข้างหน้า
เมื่อมันลึกเข้าไป อิทธิพลของแรงโน้มถ่วงในห้องโถงจิตตานุภาพอยู่บนร่างกายของคนก็จะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นรพีพงษ์ก้าวออกไปทางข้างหน้าเล็กน้อย และไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายใดๆ
ตรงกันข้ามกัน ทุกครั้งที่เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก็จะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นหลายเท่า
ภายใต้สถานการณ์นี้ สัญชาตญาณของมนุษย์ก็มักจะมีบีบคั้นให้เขายอมแพ้ เนื่องจากมีเพียงยอมแพ้ ถึงจะเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย
รพีพงษ์ก็ย่อมเกิดความคิดเช่นนั้น แต่ทว่าในใจของเขารู้ดี เกิดเขายอมแพ้ ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็ไม่มีทางไปช่วยอารียาตามหาเครื่องยาสมุนไพรที่ถอนยาพิษเหล่านั้นได้ และชาตินี้ตัวเองก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เจอเธออีกแล้ว
ดังนั้นเขาไม่สามารถที่จะยอมแพ้ และก็ไม่สามารถล้มเลิกได้
ด้วยความเชื่อแบบนี้ รพีพงษ์จึงสามารถทำให้ตัวเองเดินต่อไปได้ภายใต้แรงโน้มถ่วงที่ยิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกัน ที่ทางเข้าห้องโถงจิตตานุภาพ ในตอนนี้หุ่นเชิดวัยกลางคนตัวนั้นกำลังจ้องมองรพีพงษ์ที่กำลังเดินไปอย่างยากลำบากในห้องโถงจิตตานุภาพ
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น เกิดความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกัน ก่อนหน้านั้นเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไม่มีจิตวิญญาณใดๆ แต่ตอนนี้ มีความคล่องแคล่วของความชีวิตชีวาปรากฏขึ้นอยู่ในดวงตาของเขาอย่างกะทันหัน
“ผ่านไปหลายปี ในที่สุดก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาแล้วเหรอ?”ในเวลานี้เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นมาที่ข้างหูของชายวัยกลางคนคนนี้
ชายวัยกลางหันหน้ามองไปที่ด้านข้างแวบหนึ่ง คนคนหนึ่งที่แต่งตัวโป๊ะ รูปร่างเซ็กซี่ร้อนแรง หน้าตาที่สวยงดงาม เรียกได้ว่าเป็นหญิงสาวที่สวยมาก ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ มาปรากฏตัวอยู่ที่ข้างๆของเขาแล้ว
ถึงแม้ว่าในแววตาของชายวัยกลางจะมีความมีชีวิตชีวาอยู่ แต่ทว่าบนใบหน้ายังคงไม่มีความมีชีวิตชีวาใดๆเลย เอ่ยปากพูดว่า: “หลายปีแล้วจริงๆด้วย ถ้าหากไม่ใช่เขาปรากฏตัว ตอนนี้ฉันยังหลับสนิทอยู่”
หญิงสาวหัวเราะขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า: “แต่ว่าชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้เรื่องเลย มีเพียงความแข็งแกร่งของแดนธรรมวิสุทธิ์ชั้นยอด ความต่างก็มากเกินไปแล้ว”
“การทดสอบของห้องโถงจิตตานุภาพคือพลังจิตตานุภาพ ไม่เกี่ยวกับความแข็งแกร่ง คนที่จิตตานุภาพแน่วแน่มั่งคง มักจะมีโอกาสผ่านเสมอ ปีนั้นเจ้านายตั้งการทดสอบนี้ไว้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงคนที่หาที่นี่เจอแล้วไม่สามารถเข้าไปได้เพราะความแข็งแกร่งอ่อนแอเกินไป”
“เจ้านายทิ้งสถานที่นี่ไว้ เพื่อตาหาผู้สืบทอด เขาทิ้งมรดกไว้ข้างในจำนวนมากมาย ดังนั้นต่อให้คนที่หาที่นี่พบไม่มีความแข็งแกร่งใดๆ ก็ไม่ขัดขวางไม่ให้เขารับมรดกของเจ้านาย”
ชายวัยกลางคนเอ่ยปากพูด
หญิงสาวที่เซ็กซี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “ในความคิดของฉัน ชายหนุ่มคนนี้น่าจะเดินได้ไม่ไกล ถ้าพลังจิตตานุภาพของเขาแข็งแกร่งจริงๆ ก็จะไม่ใช้เวลานานขนาดนี้ ถึงจะเดินออกห่างไปได้ประมาณสิบเมตร”
ชายวัยกลางคนหันหน้ามองไปที่หญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วถามว่า: “เธอไม่อยากให้มรดกของเจ้านายถูกคนอื่นสืบทอดมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “ฉันก็แค่หุ่นเชิดที่เจ้านายกลั่นออกมาเท่านั้นเอง แม้ว่าจะมีสติสัมปชัญญะเป็นของตัวเอง แต่ทว่าก็มีความจงรักภักดีต่อเจ้านายมาโดยตลอด ความตั้งใจของเจ้านาย ก็คือความตั้งใจของฉัน แล้วฉันจะหวังให้มรดกของเจ้านายไม่มีผู้สืบทอดได้อย่างไร แต่ฉันแค่พูดความจริงตามสถานการณ์ของชายหนุ่มคนนั้นเท่านั้นเอง”
ชายวัยกลางมองไปที่รพีพงษ์อีกครั้ง เอ่ยปากพูดว่า: “ฉันมีความคิดตรงกันข้ามกับเธอ แม้ว่าความเร็วของเขาจะช้ามาก แต่ว่าฉันสามารถมองเห็นคำคำหนึ่งที่เจ้านายเคยพูดไว้เมื่อปีนั้นจากในสายตาของเขาได้”
“คำอะไร?”หญิงสาวเริ่มสนใจขึ้นมาทันที
“มุ่งมั่น”ชายวัยกลางคนตอบ “ในดวงตาของเขามีความมุ่งมั่นที่ล้ำลึกอยู่ ปีนั้นเจ้าเคยบอกว่า คนที่มีของสิ่งนี้อยู่ในแววตา สามารถที่จะสร้างความเป็นไปได้ที่ไม่มีขีดจำกัด”
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดว่า: “นั่นเป็นเพียงแค่คำพูดที่เจ้านายพูดออกมาหลอกนายเท่านั้นเอง ปีนั้นเจ้านายก็มีความมุ่งมั่นที่ล้ำลึกมาก น่าเสียที่ท้ายที่สุด…..”
เมื่อพูดถึงสิ่งนี้ แววตาของหญิงสาวกลายเป็นหม่นมัวขึ้นมา
ทั้งสองคนไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่มองดูรพีพงษ์เดินไปที่ปลายทางด้านนั้นของห้องโถงจิตตานุภาพ
ในเวลานี้รพีพงษ์ที่กำลังแบกรับกับความทุกข์ทรมานของแรงโน้มถ่วงในห้องโถงจิตตานุภาพไม่รู้ว่าหุ่นเชิดตัวนั้นเหมือนราวกับมาชีวิตขึ้นมา กลายเป็นปกติจนหาที่เปรียบไม่ได้ ที่สำคัญที่นี่ยังมีหุ่นเชิดตัวที่สองอยู่
หุ่นเชิดทั้งสองนี้ไม่ต่างจากคนปกติแม้แต่น้อย ถ้ารพีพงษ์เห็นสภาพแบบนี้ของพวกเขา คงจะปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนคนปกติอย่างแน่นอน
และก็เหมือนอย่างที่ชายวัยกลางคนพูด ในใจของรพีพงษ์มีความมุ่งมั่น ในใจของเขาไม่สามารถปล่อยวางอารียาได้ แล้วจะยอมแพ้อย่างง่ายดายได้อย่างไร
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเดินไปอย่างช้าๆ แต่ว่าเขาไม่เคยหยุดฝีเท้าของตัวเองลงมา เขาอาศัยความเชื่ออย่างแรงกล้าของตัวเอง และต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงบนร่างกาย
หลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืน
รพีพงษ์หมดเรี่ยวหมดแรง ในเวลานี้ระยะห่างจุดสิ้นสุดกับเขา เหลือเพียงก้าวเดียวสุดท้าย
เซลล์ในร่างกายทั้งหมดของเขากำลังเกลี้ยกล่อมเขา ให้เขายอมแพ้ เขาไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ตอนนี้เขาสั่นเทาไปทั้งร่างกาย ตราบใดที่เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพียงเล็กน้อย แรงโน้มถ่วงอันน่าสะพรึงกลัวที่กดทับอยู่บนร่างกายก็จะบดขยี้เขาให้เป็นชิ้นๆ
เขาก็อยากที่จะยอมแพ้มากจริงๆ เพราะนี่มันยากมากเกินไปจริงๆ แม้ว่ามันจะเหลือเพียงก้าวเดียวสุดท้าย สำหรับเขาแล้ว ก็ยากลำบากเหมือนการปีนขึ้นไปบนฟ้า
อย่างไรก็ตามความคิดที่อยากจะยอมแพ้เพิ่งปรากฏขึ้น ร่างของอารียาที่นอนอยู่บนเตียงก็กลับปรากฏขึ้นในหัวสมองของเขา
เมื่อนึกถึงว่าอารียายังคงทุกข์ทรมานจากยาพิษ เขาก็ไม่สามารถที่จะยอมแพ้ได้
เขากัดฟัน และใช้กำลังสุดท้ายของตัวเองออกมา ในที่สุดก็ก้าวเท้าก้าวสุดท้ายออกมาได้
แรงโน้มถ่วงที่น่าสะพรึงกลัวบนร่างกายก็หายไปทันที รพีพงษ์ทั้งคนก็เหมือนราวกับไม่มีกระดูก ล้มลงกับพื้นทันที และผล็อยหลับไป
เมื่อหญิงสาวเห็นฉากนี้ บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา จากนั้นพึมพำกับตัวเองว่า: “คาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนี้จะผ่านห้องโถงจิตตานุภาพ ทำให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ”
“เพียงแต่ไม่รู้ว่า เขามาถึงด่านนั้นของฉัน ยังสามารถต้านทานผ่านไปได้หรือเปล่า”
หลังจากที่บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หญิงสาวเซ็กซี่ก็หันหลังจากไป