รพีพงษ์งงกับการกระทำที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของนลิน เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านลินจะถอดผ้าขนหนูอย่างกะทันหันเช่นนี้ แถมยังมากอดเขาด้วย
เมื่อได้สัมผัสถึงความอบอุ่นที่มาจากร่างกายของนลิน อีกทั้งความอ่อนโยนที่แปลกประหลาด ตอนนี้รพีพงษ์งงไปหมด
ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะก้มมองคนที่กำลังกอดตัวเอง และไม่กล้าใช้มือผลักเธอออกไป เพราะตอนนี้นลินกำลังโป๊ ถ้าเกิดไปโดนส่วนที่ไม่ควรไปโดนจะกระอักกระอ่วนเปล่าๆ
“พี่รพีพงษ์ เราไปที่เตียงกันเถอะ” นลินพูดอย่างหน้าแดง
รพีพงษ์กระแอมออกมาเบาๆ แล้วพูดว่า “เธอรีบปล่อยฉัน ฉันไม่ต้องการให้เธอตอบแทนฉันด้วยวิธีนี้”
จู่ๆ นลินก็ร้อนใจขึ้นมา และพูดว่า “พี่รพีพงษ์ ฉันมีเสน่ห์ไม่พอใช่ไหม ฉันอยากมอบกายให้พี่รพีพงษ์จริงๆ นะ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของพี่”
รพีพงษ์สูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “ไม่เกี่ยวอะไรกับที่เธอทำเลย เธอรีบเอาตัวออกไปเลย ไม่งั้นฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
นลินเห็นว่ารพีพงษ์ไม่ได้พูดเล่น จู่ๆ เธอก็ลังเลขึ้นมา
เมื่อคิดว่ารพีพงษ์อาจจะโกรธจริงๆ สุดท้ายเธอจึงยอมปล่อยมือที่กอดรพีพงษ์ออก
รพีพงษ์ไม่มองนลินแม้แต่น้อยและเดินออกไปข้างนอก
เมื่อมาถึงหน้าประตู เขาหันหลังให้นลินแล้วพูดว่า “นี่ก็ดึกแล้ว เธอรีบพักผ่อนเถอะ”
พูดจบ เขาก็เดินออกไป
นลินมองรพีพงษ์จากไปด้วยสีหน้าสิ้นหวัง แววตาของเธอฉายแววความหดหู่ออกมา
เธอถูกคนมองว่าเป็นตัวซวยตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเธอโตมาขนาดนี้จึงไม่มีสิ่งของล้ำค่าอะไร มีเพียงร่างกายของเธอเท่านั้นที่ถือว่าเป็นของมีค่า
เธอคิดว่าจะใช้วิธีนี้ตอบแทนรพีพงษ์ แต่ใครจะไปคิดล่ะว่ารพีพงษ์จะไม่รับความรู้สึกของเธอ
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ หญิงสาวเก็บผ้าขนหนูและเดินเข้าไปในห้อง
หลังจากที่รพีพงษ์เดินกลับมาที่ห้อง เขาถอนหายใจออกมา คนที่เป็นผู้ชายและเจอกับสถานการณ์เมื่อครู่ เขาจะไม่รู้สึกอะไรได้ยังไงกัน
แต่เขาไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นกับนลินได้ ตอนนี้อารียายังไม่ฟื้น ถ้าเขาทำเรื่องแบบนี้จะเจอหน้าอารียาได้ยังไง
เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากเบาๆ แล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ต่อจากนี้คงไม่สามารถเข้าไปในห้องของนลินได้ตามอำเภอใจอีกแล้ว ครั้งหน้าก่อนที่จะไปต้องใช้พลังจิตก่อน ไม่งั้นอันตรายแน่ๆ”
……
บ่ายวันต่อมา รพีพงษ์กำลังฝึกวิชาอยู่ในห้อง
จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังอยู่ข้างนอก จู่ๆ รพีพงษ์ก็ลืมตาขึ้นมา เขาใช้พลังจิตมองพบว่าคนที่มาคือธีรเดช
เขาลงมาจากเตียงและเดินมาที่หน้าประตู ตอนที่ธีรเดชกำลังจะเคาะประตู เขาก็เปิดประตูออกมา
ธีรเดชตกใจจนสะดุ้งโหยงและถอยหลังกรูด หลังจากที่เขามองรพีพงษ์ ก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “นายนี่ทำให้คนตกใจจริงๆ นี่ยังกลางวันแสกๆ ถ้าเป็นกลางคืนฉันคงจะตกใจตายไปแล้ว”
รพีพงษ์มองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นจึงพูดว่า “นายคิดจะทำอะไรอีก อย่าบอกนะว่าอยากตกใจจนเยี่ยวแตกอีก”
ธีรเดชรีบหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ๆ นายเข้าใจผิดแล้ว การที่ฉันมาหานายก็เพราะอยากชวนนายไปทานข้าวเย็นด้วยกัน และถือโอกาสขอโทษนายด้วย นายรักษาแม่ของนลินจนหายดี เป็นผู้มีพระคุณกับตระกูลของฉันมาก ฉันไม่ผิดใจอะไรกับนายอีกแล้ว ดังนั้นฉันเลยมาเชิญนายน่ะ”
รพีพงษ์มองเขาอย่างแปลกใจ จากนั้นจึงถามว่า “นายมีจิตใจดีขนาดนี้เลยเหรอ เชิญฉันทานข้าวเนี่ยนะ”
ธีรเดชรีบพูดขึ้นมาว่า “นายอย่าคิดมากสิ ฉันมาเชิญนายเพราะอยากขอโทษจริงๆ”
รพีพงษ์คิดว่าเย็นนี้เขาก็ไม่มีเรื่องอะไร รับปากธีรเดชก็ไม่เห็นเป็นอะไร ถึงธีรเดชจะมาหาเรื่องเขา เขาก็ไม่กังวล คิดเสียว่าเป็นเรื่องสนุกที่เอาไว้ฆ่าเวลา
“ได้สิ งั้นฉันจะไปทานข้าวกับนาย” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น
เมื่อเห็นว่ารพีพงษ์ตอบตกลง สีหน้าของธีรเดชเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่ไม่นานเขาก็กลับมามีสีหน้าปกติ
แน่นอนว่าเขาไม่ได้ตั้งใจมาขอโทษรพีพงษ์ เขาเกลียดรพีพงษ์จนแทบอยากจะฆ่าอยู่แล้ว
การที่เขามาเชิญรพีพงษ์ไปทานข้าว เพราะเขาได้ข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งว่าพี่ชายที่เป็นทหารของเพื่อนเขากลับมาวันนี้
ว่ากันว่าพี่ชายของเพื่อนเขาเป็นทหารอยู่ในกองทัพที่ลึกลับและแข็งแกร่งของประเทศจีน เป็นหนึ่งในสมาชิกของทหารมังกร ถือว่าเก่งมาก หลังจากที่ธีรเดชได้ยินเช่นนั้น ก็รีบบอกกับเพื่อนของเขาและรอให้พี่ชายของเพื่อนกลับมา พวกเขาจะหาวิธีทำให้พี่ชายของเพื่อนจัดการกับรพีพงษ์ เขาจะได้ระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ
เพื่อที่จะแก้แค้นรพีพงษ์ จำเป็นต้องมีความอดกลั้น ดังนั้นธีรเดชจึงอ่อนน้อมกับรพีพงษ์
“งั้นเราไปกันเถอะ ฉันนัดเพื่อนมาสองสามคน พวกเขาถึงที่ร้านอาหารแล้ว เราจะได้ไปทานอาหารกันเลย” ธีรเดชยิ้มแล้วพูดออกมา
รพีพงษ์พยักหน้าแล้วเดินตามธีรเดชออกไป
ธีรเดชขับรถของตัวเองเข้ามา เป็นรถสปอร์ตราคาสูง ตระกูลณัฐรัชต์ที่เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองภูเขาขาว มีภูมิหลังที่ไม่เลวเลยทีเดียว
หลังจากที่ขึ้นมาบนรถ ธีรเดชพารพีพงษ์ไปที่ร้านอาหารที่เขาได้จองไว้เรียบร้อยแล้ว
ถึงเมืองภูเขาขาวจะสู้เมืองใหญ่ๆ ไม่ได้ แต่ด้วยการพัฒนาของประเทศ ทำให้เศรษฐกิจของที่นี่ไม่ถือว่าล้าหลัง
ที่นี่ครบครันไปด้วยภัตตาคาร ผับบาร์ ร้านคาราโอเกะและห้างสรรพสินค้า เมื่อตกเย็นบนถนนในเมืองภูเขาขาวเต็มไปด้วยแสงไฟหลากสีทำให้ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน ธีรเดชจอดรถลงหน้าภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองภูเขาขาว
ทั้งสองเดินลงมาจากรถ มีวัยรุ่นหญิงชาวในชุดแฟชั่นรออยู่ที่นี่แล้ว
ธีรเดชพารพีพงษ์เดินเข้าไปหาคนพวกนั้น จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคน ฉันมาสายไปหน่อย ทำให้พวกนายรอนาน”
“ฉันจะแนะนำให้พวกนายรู้จัก นี่คือรพีพงษ์ เป็นเพื่อนของนลิน”
เมื่อเขาพูดจบ ทุกคนต่างพากันมองไปที่รพีพงษ์ แววตาของพวกเขาแสดงความรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน
ในสายตาของพวกเขา นลินคือชื่อของความโชคร้าย เพื่อนของเธอคงไม่ดีไปกว่าเธอหรอก
ผู้หญิงบางคนถึงขนาดที่เดินถอยหลังออกไป เพราะกลัวว่ารพีพงษ์จะนำพาความโชคร้ายมาให้เธอ
“คุณชายเดช ทำไมถึงพาเขามาที่นี่ล่ะ การที่เป็นเพื่อนกับนลินคงไม่มีอะไรดีไปกว่าเธอหรอกมั้ง คุณพาเขามาแล้วเราจะทานอาหารมื้อนี้กันยังไง” หญิงสาวที่แต่งหน้าจัดจ้านพูดขึ้นอย่างรังเกียจ
ธีรเดชเห็นปฏิกิริยาของทุกคน เขาก็รู้สึกได้ใจ เขาอยากทำให้รพีพงษ์อับอาย จึงจงใจพูดแบบนั้น
“อย่าพูดแบบนั้นสิส้ม รพีพงษ์เป็นคนรักษาแม่ของนลินให้หายนะ เขาเป็นผู้มีบุญคุณกับตระกูลของเรา อีกอย่างฉันก็พิสูจน์แล้วว่าการที่อยู่กับเขาไม่ใช่เรื่องไม่ดี” ธีรเดชพูดขึ้น
ทุกคนต่างพากันโล่งใจ แต่สายตาที่มองไปยังรพีพงษ์ยังคงเป็นสายตาที่ดูถูก
ผู้หญิงที่ชื่อส้มปรายตามองรพีพงษ์ แล้วพูดพึมพำว่า “หมดคำจะพูดจริงๆ ขยะแบบไหนก็สามารถมาอยู่ในกลุ่มของเราได้ ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ฉันไม่มาหรอก”
เหมือนธีรเดชไม่ได้ยินคำพูดของส้ม เขาพูดขึ้นมาว่า “พวกเรารีบเข้าไปเถอะ ไม่งั้นจะไม่มีที่นั่งนะ”
ทุกคนพากันเดินเข้าไปข้างใน
ผู้ชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับธีรเดชเดินเข้ามาข้างเขา ผู้ชายคนนี้ชื่อว่าดนัทธ์ พี่ชายของเขาอยู่ในกองทัพทหารมังกร
ดนัทธ์ส่งสายตาให้ธีรเดช รอยยิ้มร้ายกาจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งสองคน