พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1157 แกกล้าทำร้ายฉัน

บทที่ 1157 แกกล้าทำร้ายฉัน

รพีพงษ์ไม่มีท่าทีที่จะสนใจทั้งสองคนแม้แต่น้อย เขาเดินเข้าไปที่ร้านหินก้อนนั้นทันที

“ปารย์ นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ทามินีถามขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียด

“ผมไม่เป็นไร ไอ้หมอนั่นมันรู้จักการต่อสู้ แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอกนะ ผมรู้จักรปภ.ของที่นี่ทั้งหมด รอก่อนเถอะ ผมไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ แน่”

ตอนนี้ปารย์โกรธจนแทบจะระเบิดออกมา เพราะเขาเสียหน้าต่อหน้าของทามินี เขาจะต้องสั่งสอนให้หมอนั่นให้สาสม

เขาฝืนลุกขึ้นมาจากพื้น จากนั้นจึงเดินตามทามินีไปหารปภ.

ตอนนี้รพีพงษ์ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เขาเดินเข้าไปที่ร้านค้าเร่ทันที

ตอนนี้ มีชายคนหนึ่งกำลังหยิบหินก้อนนั้นขึ้นมาดูสองสามที จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า

“หินก้อนนี้ราคาเท่าไรครับ”

พ่อค้าคนนั้นได้ยินก็ถึงกับอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนเข้ามาถามราคาหินก้อนนี้ในร้านของเขา

“ไม่ใช่นะครับ นี่เป็นแค่หินที่พบเก็บมาจากข้างถนน ทำไมคุณถึงอยากซื้อมันล่ะครับ”

พ่อค้าเร่คนนั้นถามด้วยสีหน้าสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมเป็นช่างแกะสลัก เห็นว่ารูปร่างของหินก้อนนี้ดูไม่เลว เหมาะกับการนำมาแกะสลัก ผมเลยอยากซื้อมัน นายว่าราคามาได้เลย”

ชายคนนี้มีสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน รพีพงษ์ไม่แน่ใจว่าชายคนนี้จะซื้อหินไปแกะสลักจริงหรือเปล่า

ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อยากให้หินก้อนนี้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น เขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“ผมคิดว่าหินก้อนนี้มีรูปร่างไม่เลวเลยทีเดียว ผมก็อยากซื้อเหมือนกัน”

เมื่อพ่อค้าเร่ได้ยินก็หันไปมองรพีพงษ์ เมื่อเห็นการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาถูกของรพีพงษ์ เขาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

นี่มันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็มีคนสองคนอยากซื้อเห็นในเวลาเดียวกัน อย่าบอกนะว่าหินก้อนนี้มีอะไรพิเศษ

แต่ไม่ว่าเขาจะดูยังไงก็ไม่เห็นว่าหินก้อนนี้มีอะไรผิดปกติ

เมื่อชายคนที่กำลังถือหินได้ยิน เขาจึงหันมามองรพีพงษ์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“อย่าบอกนะว่านายจะมาแย่งหินก้อนนี้กับฉัน ฉันจะซื้อไปแกะสลัก แล้วนายซื้อมันไปทำอะไร”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น รพีพงษ์จึงพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ขอโทษด้วยนะครับ ผมเป็นช่างแกะสลักและอยากใช้หินก้อนนี้แกะสลักเหมือนกัน”

“ฟังดูน่าสนใจ หรือว่านายอยากแก่งแย่งกับฉัน ดูจากการแต่งตัวของนายไม่น่าจะมีเงินมากเท่าไรนะ ไม่แน่นายอาจจะเพิ่งขนอิฐเสร็จ แล้วมาเดินเล่นที่นี่หรือเปล่า”

“ฉันเตือนว่านายอย่ามาแย่งฉันเลย นายไปถามใครก็ได้ ไม่มีใครที่ไม่รู้จักอาจารย์โอภาสผู้ร่ำรวย”

ชายคนนั้นพูดด้วยสีหน้าโอหัง

“โอ้ คุณคืออาจารย์โอภาสเหรอครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยเห็นผลงานแกะสลักของคุณมามากมาย ฝีมือขั้นเทพเลยครับ”

พ่อค้าเร่พูดด้วยสีหน้านอบน้อม

“เหอะๆ ผลงานนั่นก็แค่ทำขึ้นมาเล่นๆ เท่านั้น”

เมื่อได้ยินคำเยินยอจากพ่อค้าเร่ จู่ๆ อาจารย์โอภาสก็มีสีหน้าไม่พอใจ เขาคิดว่ารพีพงษ์เป็นแค่คนจนๆ เท่านั้น การที่เขามาที่นี่ได้ก็เพราะความโชคดีเท่านั้น

คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามาแย่งของกับเขา ฝันกลางวันชัดๆ เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์โอภาส รพีพงษ์ก็รู้สึกโล่งอก

ที่แท้เขาไม่ได้เห็นความพิเศษของหินก้อนนี้ แต่เขาต้องการนำมันไปแกะสลักจริงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวอะไรอีก

ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ซื้อไปแกะสลัก รพีพงษ์ก็ไม่กลัวเหมือนกัน เพราะเงินสำหรับเขามันก็แค่ตัวเลขและเศษกระดาษเน่าๆ เท่านั้น

“ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณ แต่ว่าถ้าอยากซื้อของ ใครให้ราคาสูงคนนั้นก็ควรจะได้ไป คุณเจ้าของร้านว่าผมพูดถูกไหม”

รพีพงษ์พูดกับพ่อค้าเร่คนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ถูกต้องครับ จากฐานะของอาจารย์โอภาส ผมสามารถบอกราคาได้ตามใจชอบเลยใช่ไหมครับ ขอแค่ผู้ชายคนนี้ซื้อไม่ได้ หินก้อนนี้ก็จะตกเป็นของคุณ”

เมื่อพ่อค้าเร่ได้ยินที่รพีพงษ์พูด เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

ถึงแม้ว่าเขาจะดูถูกปารย์ แต่อย่างน้อยรพีพงษ์ก็ยืนอยู่ที่นี่ เขามีสิทธิ์ที่จะโก่งราคากับอาจารย์โอภาส

“ได้ นายว่าราคามาได้เลย ถ้าราคาของนายไม่เกินกว่าเหตุ ฉันจะจ่ายเงินสดให้นายทันที”

เมื่ออาจารย์โอภาสได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมให้หกพันแล้วกัน คุณรับได้ไหม”

พ่อค้าเร่เปิดราคาด้วยจำนวนเงินหกพัน เขารู้ดีว่านี่เท่ากับการปล้นเงิน เพราะเขาคิดว่านี่มันแค่หินธรรมดาเท่านั้น

พ่อค้าเร่คนนี้ไม่เคยเห็นรพีพงษ์อยู่ในสายตามาตั้งแต่แรกแล้ว เมื่ออาจารย์โอภาสได้ยินจำนวนเงินหกพันจากปากของพ่อค้าเร่ จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโมโห

หินนี่เป็นแค่หินธรรมดาเท่านั้น ถึงรูปร่างของมันจะเหมาะกับการนำมาแกะสลัก แต่ราคาหกพันมันเกินกว่าเหตุไปมาก

นี่เขาไม่ได้ซื้ออัญมณีสักหน่อย

“พ่อค้า นายลดราคาลงอีกสักหน่อยได้ไหม”

อาจารย์โอภาสกำลังจะต่อราคากับพ่อค้า แต่ทว่ารพีพงษ์พูดขึ้นมาว่า

“ได้ หกพันก็หกพัน ผมจะจ่ายเงินให้คุณเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ อาจารย์โอภาสกับพ่อค้าถึงกับอึ้งไป พวกเขาคิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะตัดสินใจเร็วขนาดนี้ ยังไม่ทันได้กะพริบตาด้วยซ้ำ

มันแค่หินธรรมดาๆ ก้อนหนึ่ง ราคาตั้งหกพัน ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบจริงๆ ก็มีแค่คนโง่เท่านั้นแหละที่ซื้อ

แต่เมื่อพ่อค้าได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาตื่นเต้นจนมือเริ่มสั่น

อาจารย์โอภาสรู้สึกหน้าร้อนผ่าว

เดิมทีเขากะจะต่อราคาลงมาอีกหน่อย คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะตอบตกลงทันที นี่มันเหมือนการตอกหน้าเขาชัดๆ

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ที่เขาพูดเยาะเย้ยรพีพงษ์ ไม่ทันได้ทำอะไรก็โดนรพีพงษ์ตอกกลับจนหน้าหงาย นี่ช่างแกะสลักที่มีชื่อเสียงอย่างเขาสู้คนจนๆ อย่างรพีพงษ์ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท