พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1161 ท่านปุณยธร

บทที่ 1161 ท่านปุณยธร

ในเวลานี้นาถินีได้ยินคำพูดของโพธิสุทธิ์ ก็นิ่งอึ้งไปทันที เนื่องจากน้ำเสียงของโพธิสุทธิ์เมื่อกี้นี้เต็มไปด้วยความเคารพเป็นอย่างมาก แค่หมอนี่ เขาคู่ควรมั้ย?

และท่านปุณยธรก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง และรีบถามอย่างรวดเร็วว่า: “คนนี้เป็นใครเหรอ?”

“โพธิสุทธิ์คุณไม่ต้องแนะนำให้กับฉันแล้ว”

น้ำเสียงของรพีพงษ์กลายเป็นเย็นชาในทันใด ต่อจากนั้นเอ่ยปากพูดว่า: “ฉันกับพวกเขาไม่มีอะไรต้องคุยกัน”

หลังจากพูดคำพูดเช่นนี้ออกมารพีพงษ์ก็หันหลังเดินตรงออกจากประตู

“นี่ก็อวดดีไปแล้ว ต่อให้นายจะรู้จักกับโพธิสุทธิ์ ก็ไม่มีสิทธิ์มาอวดดีต่อหน้าคุณปู่ของฉันขนาดนี้!”

ใบหน้าของนาถินีเต็มไปด้วยความโกรธทันที

“หยุดเดี๋ยวนี้! ไม่ว่าโพธิสุทธิ์จะเคยบอกนายหรือไม่ นายต้องขายจอกหนูให้พวกเรา ไม่อย่างนั้นนายก็ถือได้ว่าตกอยู่ในหายนะครั้งใหญ่!”

นาถินีตะคอกขึ้นมาทันที

“ฮ่าๆ หายนะครั้งใหญ่ เธอลองพูดมาให้ฉันฟังดูสิว่าหายนะครั้งใหญ่แบบไหนเหรอ?”

รพีพงษ์หยุดฝีเท้าแล้วหันหลังกลับมา มองไปที่นาถินีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

“คุณรพี ท่านปุณยธรพวกคุณมีอะไรที่เข้าใจกันผิดหรือเปล่า? เชิญพวกคุณนั่งลงมากันก่อนเถอะ”

เมื่อโพธิสุทธิ์เห็นฉากนี้ทำได้เพียงกระอักกระอ่วน และเริ่มไกล่เกลี่ยขึ้นมา

“ท่านปุณยธร ท่านนี้คือคุณรพี ทักษะทางการแพทย์ของเขาเอ่อคือ……”

ท่านปุณยธรถึงได้เข้าใจ เมื่อกี้นี้ตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว

แน่นอนว่าตัวเองไม่ได้บอกกับโพธิสุทธิ์ว่าคนคนนี้เป็นใครกันแน่ และก็ไม่ได้บอกว่ายาสมุนไพรต้นนั้นคืออะไร

โพธิสุทธิ์แค่ได้รับสายโทรศัพท์แล้วออกไปครู่หนึ่งเท่านั้นเอง จะสามารถหาคนที่เขาจะตามหาได้พอดีได้อย่างไร

หรือว่าเขาทำอะไรไม่ถูก คาดไม่ถึงอายุมากขนาดนี้แล้ว ยังจะทำผิดพลาดแบบนี้

“ก่อกวนไร้สาระจริงๆ นาถินีเธอพูดอะไรนะ? เพื่อนของโพธิสุทธิ์ก็เป็นเพื่อนตระกูลจิตรศิลป์ของพวกเรา เธอรีบขอโทษเดี๋ยวนี้”

เมื่อนาถินีได้ยินคำพูดเช่นนี้ของท่านปุณยธร แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่ก็กลับทำได้เพียงนั่งอยู่บนโซฟาเท่านั้น

ท่านปุณยธรก็คิดออกมาแล้ว เขาอยากจะใช้สถานะของตระกูลของตัวเองมากำราบรพีพงษ์ ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ได้พูดถึงอำนาจของตัวเองมาโดยตลอด

สาเหตุแรกเป็นเพราะมีคนมากมายอยู่รอบๆ ที่สำคัญอายุอย่างเขารู้ถึงประโยชน์ของการนอบน้อม และอย่างที่สองก็ไม่มีความจำเป็น

แม้ว่าเขาจะว่าสายตาของรพีพงษ์ไม่ได้แย่ แต่อาจจะไม่ได้มาจากภูมิหลังที่ร่ำรวยอะไร ตราบใดที่เขาใช้เงินมากเล็กน้อย หมอนี่คงจะละโมบโลภมากอย่างแน่นอน และเอาจอกหนูส่งมอบให้เขา

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ไม่คิดเลยหมอนี่ที่อยู่ตรงหน้าจะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโพธิสุทธิ์ได้ จะต้องเข้าใจตระกูลของพวกเขาบ้าง ด้วยชื่อเสียงของตระกูลพวกเขาน่าจะสามารถพอที่จะขู่ขวัญหมอนี่ได้เช่นกัน

ทำให้หมอนี่เอาสิ่งของส่งมอบให้ตัวเองอย่างว่าง่าย โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว ก็สามารถพอที่จะให้เขาส่งมอบให้ตัวเอง

รพีพงษ์หันหลังกลับมา เมื่อท่านปุณยธรเห็นฉากนี้ยังคิดว่ารพีพงษ์ถูกตัวเองขู่ขวัญแล้ว แต่ก็ได้ยินรพีพงษ์พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามทันที

“บีบบังคับให้ซื้อขาย โพธิสุทธิ์ นี่ก็เป็นเรื่องที่คุณอยากทำเหรอ?”

จนกระทั่งถึงเวลานี้โพธิสุทธิ์ถึงได้เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ในใจของเขาก็รู้สึกหมดคำพูดในทันที ที่แท้ยาสมุนไพรที่ท่านปุณยธรให้เขาช่วยตามหาคาดไม่ถึงกลับอยู่ในมือของรพีพงษ์ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้เขาจะช่วยไม่ได้แล้ว

“ไม่ใช่ คุณรพีคุณเข้าใจผมผิดไปแล้ว”

โพธิสุทธิ์เอ่ยปากพูดทันที

โพธิสุทธิ์บอกทุกอย่างกับรพีพงษ์หนึ่งรอบ และเมื่อฟังคำพูดเหล่านี้จบ ในที่สุดสีหน้าของรพีพงษ์ถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย

เดิมทีเขาคิดว่าโพธิสุทธิ์ลับหลัง กำลังช่วยสองคนที่อยู่ตรงหน้าบีบคั้นตัวเองให้ยอมจำนน

ถ้าหากคนที่มียาสมุนไพรนี้ไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง คงจะยอมจำนนต่อหน้าโพธิสุทธิ์และภายใต้การคุกคามของตระกูลจิตรศิลป์ และส่งมอบยาสมุนไพรนี้ให้อย่างยอมจำนน

แต่เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของนาถินีก็ไม่ได้ธรรมดา ตำแหน่งของโพธิสุทธิ์ถูกวางไว้ที่นี่ แต่กลับพูดกับไอ้หมอนี่อย่างนอบน้อมขนาดนี้

หรือว่าตัวเองมองจนตาลายไป แต่คำพูดต่อมาของรพีพงษ์ก็ยิ่งทำให้เธอเบิกตากว้างขึ้น

“ท่านปุณยธรอภัยให้ฉันด้วยที่​ต้องพูดตรงๆ จอกหนูนี้ฉันให้ท่านไม่ได้จริงๆ”

น้ำเสียงของรพีพงษ์น่าฟังกว่าในตอนแรกเริ่มเป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาก็เป็นแพทย์สิ่งที่ทำก็คือช่วยชีวิตคนใกล้ตายและรักษาผู้บาดเจ็บ ที่สำคัญเดิมทีก็ไม่ได้มีความเกลียดชังที่ล้ำลึกยิ่งใหญ่อะไร เพียงแต่เขาไม่เคยมองนาถินีอย่างเคารพตั้งแต่จนจบ

“ในเมื่อจอกหนูนี้คุณรพีมาก่อนได้แล้ว พวกเราไม่มีเหตุผลที่จะแย่งของรักคนอื่นมาได้จริงๆ ท่านปุณยธร”

โพธิสุทธิ์เอ่ยปากพูดทันที

แต่เมื่อท่านปุณยธรได้ยินโพธิสุทธิ์พูดแบบนี้ ก็ขมวดคิ้วทันที เนื่องจากตระกูลของพวกเขารู้จักกับโพธิสุทธิ์มาหลายปีแล้ว และโพธิสุทธิ์ไม่มีเหตุผล ที่จะไม่ช่วยตัวเองพูดในเวลานี้

เขาหันหน้ามองกลับไปที่รพีพงษ์ กลับพบว่ารพีพงษ์ก็มองมาที่ตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็พบว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ดูเหมือนกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่เขารู้จักมาก่อนหน้านี้

“แต่แม้ว่าจอกหนูนี้จะล้ำค่า แต่ก็ไม่ได้บอกว่าบนโลกนี้มีเพียงต้นนี้ต้นเดียว”

โพธิสุทธิ์ก็เอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้งในทันที ก็ทำลายการครุ่นคิดของท่านปุณยธรไปครู่หนึ่ง

“หรือว่าโพธิสุทธิ์ความหมายของคุณคือ?”

นาถินีก็เริ่มสนใจและเอ่ยปากถามทันที

“ตอนเริ่มแรกคุณก็ไม่ได้บอกผมว่าพวกคุณต้องการจอกหนู ไม่อย่างนั้นพวกเรารู้จักกันมาหลายปีแล้ว ผมสามารถเก็บต้นนั้นของผมไว้มอบให้พวกคุณทันที”

นี่มันเหยียบย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลยจริงๆ

เมื่อนาถินีได้ยินคำพูดนี้ก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ก็ไม่มีเวลาไปสนใจรพีพงษ์ และก็กอดโพธิสุทธิ์ไว้ทันที ในที่สุดก็ใช้น้ำเสียงออดอ้อนพูดว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณคุณมาก โพธิสุทธิ์!”

แต่เนื่องจากโพธิสุทธิ์ก็มีอายุมากแล้ว ในขณะนี้ถูกนาถินีกอดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ที่สำคัญยังอยู่ต่อหน้ารพีพงษ์ ใบหน้าแก่ก็แดงขึ้นทันที

ในเวลานี้โทรศัพท์ของโพธิสุทธิ์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ผลักนาถินีออกไปทันที และรับสายโทรศัพท์ หลังจากที่พูดไปไม่กี่คำก็บอกกล่าวกับรพีพงษ์และท่านปุณยธรว่า

“การประชุมแลกเปลี่ยนจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้แล้ว”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท