พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1164 ฟูมโดนวางยาพิษ

บทที่ 1164 ฟูมโดนวางยาพิษ

มองดูเหตุการณ์นี้ โพธิสุทธิ์ก็ตกใจมากในทันที และท่านปุณยธรก็ขมวดคิ้ว เขาเกิดในตระกูลที่เกี่ยวกับยา ทักษะทางการแพทย์ของเขาไม่ได้ด้อยกว่าโพธิสุทธิ์

แต่ทว่าในชั่วขณะหนึ่งเขาก็ทำได้คิดเพียงการเข้าคู่กันแบบนี้ ไม่นึกเลยว่าไม่มีประสิทธิผลอะไรทั้งนั้น แต่กลับยังทำให้อาการยิ่งแย่ลง และมองดูเหตุการณ์ตรงหน้านี้ บนหน้าของวิลเลียมก็เต็มไปความเหยียดหยาม ในใจของเขาอดคิดไม่ได้

บอกว่าแกเป็นหมอที่ไม่มีฝีมือในการรักษาแกยังไม่เชื่อ แม้แต่พิษที่ฉันออกมือไปลวกๆแกก็ไม่มีวิธีถอน ไม่นึกเลยว่าแกจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอเทวดา เทียบเท่ากับว่าเป็นเรื่องตลก!

“ไม่ได้ เรื่องสำคัญที่พวกเรายังต้องการรู้ในทันทีคือฟูมโดนพิษอะไรกันแน่ แบบนี้ถึงจะสามารถใช้ยาที่ถูกต้องได้”

ท่านปุณยธรเอ่ยปากพูดในทันที และเหตุผลนี้โพธิสุทธิ์ก็รู้ดีเป็นอย่างมาก เพียงแต่ถ้าหากต้องการรู้ว่าฟูมโดนพิษอะไรกันแน่ ถ้าอย่างนั้นทำได้เพียงถามวิลเลียมเมื่อกี้นี้แล้ว

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ โพธิสุทธิ์ก็หันหน้ากลับมาแล้วตะโกนขึ้นมา

“วิลเลียมฉันสามารถที่จะชดใช้เสื้อผ้าของคุณและความสูญเสียของคุณ แต่ว่าไม่ว่าฐานะของคุณจะเป็นอะไรกันแน่ ถ้าหากวันนี้หลานชายของฉันเป็นอะไรไป คุณก็ถือได้ว่าใกล้ตายอย่างแน่นอน!”

ในเวลานี้วิลเลียมฟังการข่มขู่ของโพธิสุทธิ์ ก็แค่หูทวนลมเท่านั้นเอง เขาไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาเกิดในตระกูลขุนนางของซีเป่ย

จารุดาก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไร ความแข็งแกร่งของชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่อ่อนแอ เพียงแค่สัมผัสฟูมเบาๆ ก็สามารถพอที่จะทำให้ฟูมอยู่ในอาการเฉียดตาย และยาพิษแบบนี้แม้แต่โพธิสุทธิ์ก็ไม่สามารถที่จะถอนได้

ถ้าหากเขาสามารถทำให้ชายคนนี้วางยาพิษชนิดให้กับรพีพงษ์ได้ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้จารุดาก็กลับไม่กล้าคิดต่อไป ไม่ว่าเขาเกลียดรพีพงษ์มากเพียงใด เรื่องของการฆ่าคน เธอก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไปทำ

ในเวลานี้โพธิสุทธิ์เหมือนจะนึกอะไรออก หยิบโทรศัพท์ในอ้อมกอดก็กดหมายเลขหนึ่งแล้วโทรหา โทรศัพท์ในอ้อมกอดของรพีพงษ์ที่ยืนอยู่ตรงมุมของสถานที่จัดงานกลับดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นบนร่างกาย รพีพงษ์ก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ความจริงตอนที่หลานชายของโพธิสุทธิ์โดนยาพิษ เขาก็ตั้งใจว่าจะลงมือแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากเปิดเผยฐานะของตัวเอง ดังนั้นถึงได้ตัดสินใจมองดูไปก่อน

ตอนนี้ไม่นึกเลยว่าโพธิสุทธิ์จะโทรศัพท์หาเขา แต่ต่อให้จะเป็นแบบนี้ รพีพงษ์ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ เนื่องจากฟูมเป็นหลานชายแท้ๆของโพธิสุทธิ์ และอยู่ใต้ความกังวลโพธิสุทธิ์ทำเรื่องแบบนี้ออกมาก็เป็นการกระทำที่ปกติ

ดังนั้นรพีพงษ์ที่กำลังยืนอยู่ในมุมหนึ่งของสถานที่จัดงาน ที่ข้างๆก็ไม่มีใครอยู่ ต่อให้โทรศัพท์จะดังขึ้นมา ก็ไม่มีใครจะคิดว่าโทรศัพท์ที่โพธิสุทธิ์ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเมืองแห่งนี้โทรออกไปหาเขา

แน่นอนว่าเนื้อหาในโทรศัพท์ยังคงเป็นเรื่องที่โพธิสุทธิ์จะขอให้ช่วยหลานชายของตัวเอง เขาก็รับสายโทรศัพท์ในมือโดยเร็ว และได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของโพธิสุทธิ์ในทันที

“คุณอยู่ที่ไหน? รีบมาที่สถานที่จัดงานด่วน หลานชายของฉันจะไม่ไหวแล้ว”

และในเวลานี้ได้ยินเสียงของโพธิสุทธิ์ รพีพงษ์กลับเอ่ยปากพูดเพียงคำเดียวด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ

“รอ”

หลังจากพูดคำนี้จบ เขาก็กดวางสายโทรศัพท์ในมือ นี่มันหมายความว่าอะไรกันแน่?

หลังจากที่ฟังคำพูดนี้ของรพีพงษ์จบ โพธิสุทธิ์ก็รู้สึกสิ้นหวังอย่างฉับพลัน หรือว่าความหมายของรพีพงษ์คือหลานตัวเองทำได้เพียงรอความตายเหรอ?

ต้องรู้ว่านี่เป็นหลานชายแท้ๆเพียงคนเดียวของเขา ถ้าไม่งั้นพวกเราก็ขอร้องชายคนนั้นเถอะ ในขณะนี้ไม่รู้ว่าใคร พูดประโยคนี้อยู่ที่ข้างหลังของโพธิสุทธิ์

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ โพธิสุทธิ์ทำได้เพียงสุดลมหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง เดินไปที่ตรงหน้าวิลเลียมอย่างง่อนแง่น ในขณะนั้นสีหน้าของดูซีดเซียวไปหลายเท่า

“ฉันขอร้องนายได้โปรดช่วยถอนพิษในร่างกายของหลานชายฉันด้วยเถอะ”

“ฮ่าๆ ในเมื่อคุณมาขอร้องฉันแล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณก็ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าตัวเองเป็นหมอที่ไม่มีฝีมือในการรักษาคน?”

ในน้ำเสียงของวิลเลียมเต็มไปด้วยความเหยียดหยามฟังคำพูดของวิลเลียม โพธิสุทธิ์ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างว่าง่าย เขาก็ไม่ได้สนใจทั้งหมดนี้ ตราบใดที่ตอนนี้สามารถพอที่จะช่วยฟูมกลับมาได้ เขายอมทำได้ทุกอย่าง

“ฮ่าๆ คุณยอมรับตอนนี้ก็สายไปแล้ว คุณยังต้องคุกเข่าก้มคำนับให้ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันไม่มีทางลงมือ”

หลังจากที่พูดคำนี้จบวิลเลียมก็กวาดสายมองไปยังทิศทางที่จารุดาอยู่ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เมื่อฟังคำพูดของวิลเลียมแล้ว โพธิสุทธิ์ก็มีความลังเลขึ้นมาทันที

และมองดูท่าทางของโพธิสุทธิ์ วิลเลียมก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ฮ่าๆ โพธิสุทธิ์ดูเหมือนว่าคุณก็ไม่ได้สนใจว่าหลานชายของตัวเองจะเป็นหรือตายมากสักเท่าไหร่ คุณก็น่ารู้ดีว่า เวลาที่ถอนพิษที่ดีที่สุดโดยปกติแล้วมีเพียงไม่ถึงสิบนาที ถ้าหากคุณยังจะคิดต่อไป ไม่แน่เดี๋ยวฉันก็อาจจะถอนพิษนี้ไม่ได้”

ขณะที่วิลเลียมพูด ยังจงใจยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาดูนาฬิกาที่สวมอยู่บนมือของตัวเอง และคำพูดนี้ของวิลเลียมทำให้หมดความอดโดยสิ้นเชิงอย่างไม่ต้องสงสัย

โพธิสุทธิ์รู้สึกว่าขาทั้งสองของตัวเองอ่อนทันที ก็คุกเข่าลงไปแบบนี้อย่างกะทันหัน ตอนที่คุกเข่าลงตรงหน้าวิลเลียม ในใจของเขาก็รู้ดีอย่างเป็นอย่างมาก ทั้งชีวิตนี้ของเขาจบลงแล้ว

และท่านปุณยธรมองดูเหตุการณ์นี้ก็ถอนหายใจออกมาในทันที แต่วิลเลียมกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา ภายใต้การจับตามองของทุกคน เขาเดินไปที่ตรงหน้าฟูมทีละก้าว

แกล้งทำเป็นเอามือข้างหนึ่งวางไว้บนหน้าผากของฟูมอีกครั้ง

“เอาล่ะ รออีกไม่กี่นาทีหลานชายของคุณก็จะฟื้นขึ้นมาทันที”

ในเวลานี้วิลเลียมรู้สึกเพียงตลก ถ้าหากโพธิสุทธิ์สามารถพอที่จะสงบสติอารมณ์ รออีกไม่กี่นาที ผลของพิษนี้ก็จะสลายไปเอง หลานชายของเขาก็จะฟื้นขึ้นมาโดยธรรมชาติ

เหตุผลที่เขาดูนาฬิกาตัวเองไม่หยุด ก็เพื่อแน่ใจว่าหลานชายของโพธิสุทธิ์ยังมีเวลาอีกกี่นาทีจะฟื้นขึ้นมา เพียงแต่น่าเสียดายที่คนรอบข้างเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่าพิษของตัวเองคาดเดาไม่ได้มากแค่ไหนกันแน่

ในเวลานี้ทุกคนก็คิดว่าสัมผัสเมื่อกี้นี้ของตัวเองคือกำลังถอนพิษให้ฟูม ความจริงเขาไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ในขณะนี้โพธิสุทธิ์ก็ดึงสติกลับมาได้ เมื่อกี้นี้รพีพงษ์พูดกับเขาหนึ่งคำให้เขารอ

ในใจของเขารู้สึกเพียงกลัดกลุ้มอย่างฉับพลัน ในขณะนี้ ท่านกลางฝูงชนที่ข้างหลังของวิลเลียมจู่ๆมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา

“คุณชายวิลเลี่ยมเวลาของพวกเรามีไม่มากแล้ว รีบกลับไปโดยเร็วที่สุดเถอะ”

“เอาล่ะฉันรู้แล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ วิลเลียมรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ต่อจากนั้นหันหลังแล้วเดินไปทางประตู

ในขณะนี้เขาเห็นรพีพงษ์ที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องโดยตลอด สี่ตาประสานกัน สีหน้าของทั้งสองคนไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท