พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1200 ตั้งใจพักผ่อน

บทที่ 1200 ตั้งใจพักผ่อน

“นี่…เป็นไปได้ยังไงกัน?”

ชุติเทพอุทานอย่างตกใจ

ถึงจะบอกว่าเจสสิก้าเป็นลูกศิษย์ที่ตนภูมิใจ ต่อไปตนเองก็จะถ่ายทอดวิชาทั้งหมดให้กับเธอ

แต่ตอนนี้ชุติเทพกลับไม่เชื่อคำพูดของเจสสิก้าเลยสักนิด

ทั้งๆที่ก่อนนี้ศักดานอนหายใจรวยรินแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาจะตายในไม่กี่นาทีต่อไป

สำหรับการวินิจฉัยของตนเองก่อนหน้านี้ ชุติเทพไม่เคลือบแคลงใจเลยสักนิด

“จริงๆนะอาจารย์ ถ้าไม่เชื่อ อาจารย์มาดูเองสิ!” เจสสิก้าพูด

ชุติเทพเดินขมวดคิ้วมาที่ข้างตัวศักดา

“ถึงชีพจรจะยังอ่อนอยู่ แต่เต้นเป็นจังหวะ แถมยังดูจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ นี่…เป็นไปได้ยังไงเนี่ย?”

ชติเทพบ่นพึมพำ “ผมเป็นหมอมาหลายสิบปี รู้จักหมอมีชื่อมากมายนัก ยังไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย”

เขาหันมองผู้อาวุโสที่ยืนข้างรพีพงษ์อีกครั้ง สายตาเลื่อมใสมาก

“ผู้อาวุโส ขอถามหน่อยนะครับว่าคุณใช้วิธีอะไร ขอความกรุณาสอนผมด้วยครับ!”

ชุติเทพคารวะให้ธีรพัฒน์อย่างเคารพขั้นสุด

สำหรับการคารวะครั้งนี้ ธีรพัฒน์สมควรได้รับมัน

“วิชาการแพทย์ของคุณถือว่าสุดยอดแล้วในทศวรรษนี้ ส่วนวิธีการของผม มันไม่ใช่อะไรที่คุณจะเข้าใจได้หรอก” ธีรพัฒน์พูดเสียงเรียบ เหมือนจะปฏิเสธคำขอร้องของชุติเทพ

รพีพงษ์ที่ยืนอยู่อีกด้านกลับเข้าใจความหมายของธีรพัฒน์ได้ดี

วิชาแพทย์ของชุติเทพเอามาใช้ช่วยประชาชนพอแล้ว แต่เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา เรื่องการฝึกตนนี่ไม่ใช่อะไรที่เขาจะเข้าใจและควบคุมได้หรอก

“ผู้อาวุโสธีรพัฒน์” รพีพงษ์หันไปมองธีรพัฒน์ “คุณช่วยดูภรรยาผมหน่อย อาการเธอ…”

ธีรพัฒน์พยักหน้า ช่วยอารียา เป็นเป้าหมายสำคัญวันนี้ในการมาที่นี่ของเขา

“หนูน้อย นั่งเถอะ ให้ผมตรวจคุณหน่อยนะ”

ธีรพัฒน์พูด

อารียาดึงแขนเสื้อขึ้น ธีรพัฒน์ตรวจชีพจรเธอ

ในพริบตา อารียารู้สึกถึงความอบอุ่นสายหนึ่งแล่นปราดจากจุดชีพจรเข้าสู่ร่างกายตน ทำให้เธอรู้สึกสบายมาก

หันกลับมามองธีรพัฒน์ ตอนนี้เขาคิ้วขมวดมุ่น สีหน้าดูเคร่งเครียดกว่าตอนตรวจศักดามากนัก

“อาจารย์? หรือว่าภรรยารพีพงษ์ก็บาดเจ็บหรอ? แต่ก่อนหน้านี้ที่พวกเราดู ก็ดูไม่ออกนี่นา” เจสสิก้ากระซิบถามข้างๆ

สายตาชุติเทพเคร่งเครียด “จริง คุณอารียาดูแล้วเหมือนคนปกติไม่ผิดเพี้ยน แถมยังดูแข็งแรงมาก เพียงแต่ดูจากสีหน้าผู้อาวุโสแล้ว ดูท่าอาการบาดเจ็บของคุณอารียาจะเป็นอะไรที่พวกเราไม่รู้น่ะสิ”

เจสสิก้าพยักหน้า หลังจากรู้ซึ้งถึงวิธีเทพของธีรพัฒน์แล้ว เธอเลื่อมใสในตัวคุณปู่เคราขาวคนนี้มากเลย

วิชาการแพทย์ล้ำลึกดุจทะเลลึกจริงๆ

เจสสิก้าทอดถอนใจ

ในเวลานี้คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือรพีพงษ์

“ผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าพิษของยาเปลี่ยนวิญญาณในตัวอารียา คุณจะสามารถแก้ได้ไหม” รพีพงษ์ถาม

ธีรพัฒน์ลืมตาขึ้นมามองรพีพงษ์ “แปลก ในตัวเธอเหมือนมีปราณทิพย์ชนิดหนึ่งอยู่ ปราณทิพย์ชนิดนี้สามารถบังคับพิษของยาเปลี่ยนวิญญาณได้ ยกเว้นแต่ว่าเธอเองก็ฝึกพลังวิเศษเสนด้วย?”

รพีพงษ์ส่ายหน้าอธิบายว่า “เธอเป็นแค่คนธรรมดา ผมคิดว่า ปราณทิพย์ที่เหลือในร่างน่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้กินไม้เทพเข้าไปนิดหน่อยล่ะมั้ง”

“ไม้เทพ!”

สำหรับเรื่องนี้ ธีรพัฒน์รู้ดีกว่าใคร เพราะผลของไม้เทพ เขาถึงฝึกจนมีร่างได้

“แบบนี้ก็ดีละ” ธีรพัฒน์พูดอย่างมั่นใจ

“ผู้อาวุโสสามารถแก้พิษได้?” รพีพงษ์รีบถาม ชุติเทพและเจสสิก้าที่ยืนอยู่อีกข้างมีสีหน้ามึนงง

พลังวิเศษเสน ไม้เทพ?

พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อพวกนี้มาก่อนเลย

ชุติเทพมองไปทางรพีพงษ์พลางส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ รพีพงษ์ในตอนนี้ดูต่างจากตอนแรกที่ตัวเองเจอมากนัก

อัจฉริยะก็คืออัจฉริยะ ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเข้าไปเทียบเคียงได้เลย

“ลองดูได้”

ธีรพัฒน์บอก และหันไปมองชุติเทพ “ผมต้องการที่สงบ พวกคุณจะหาให้ได้ไหม?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ด้านหลังมีห้องอยู่ ผู้อาวุโสพาคุณอารียาไปได้เลย” ชุติเทพบอก

“อะไร นั่นห้องหนู…”

เจสสิก้ายังพูดไม่ทันจบ ก็โดนชุติเทพห้ามไว้

“อย่ารอเช้าเลย รพีพงษ์ พวกเราไปกันเถอะ”

ระหว่างพูด ธีรพัฒน์พาอารียากับรพีพงษ์เดินไปทางด้านหลัง

“จริงสิ” ในตอนที่จะเข้าห้อง ธีรพัฒน์หมุนตัวกลับมาบอกชุติเทพว่า “ก่อนผมออกมา คุณกับแม่หนูนี่ห้ามเข้าใกล้ห้องนี้เด็ดขาด ด้านหลังนี่ก็อย่าเข้ามาเลย ผมหวังดีกับพวกคุณนะ”

“วางใจเถอะ ผู้อาวุโส พวกผมจะไปเดี๋ยวนี้”

ชุติเทพพูดอย่างนอบน้อม ลากดึงเจสสิก้าออกไป

“ให้ตายสิ นี่เป็นถิ่นเรานะ รักษาอาการก็รักษาอาการสิ ทำไมเข้าไม่ได้ล่ะ กลัวพวกเราแอบดูหรือไง?”

เจสสิก้าที่เดินมาห้องโถงบ่นอุบอิบ

“เอาน่า ผมว่าผู้อาวุโสนี่เป็นยอดฝีมือ เขาพูดแบบนี้ต้องมีเหตุผลของเขาสิ พวกเราแค่ทำตามก็พอแล้ว” ชุติเทพปลอบ

“เชอะ อาจารย์ยังมาพูดอีก อาจารย์ไม่รู้ว่าห้องนั้นเป็นของหนูหรือไง? ทำไมให้พวกเขาเข้าไปล่ะ ไม่ไปใช้ห้องอาจารย์ล่ะ?” เจสสิก้าเบ้ปากบ่น

เธอรู้สึกไม่พอใจมากกับการจัดการแบบนี้ของชุติเทพ

“ไอ้หยา เจสสิก้าอย่างกสิ ยืมห้องใช้แป๊บเดียวเองไม่เป็นไรหรอก” ชุติเทพบอก

ที่ไหนได้ใบหน้าเจสสิก้าแดงก่ำ รีบบอก “หนูงกที่ไหนกัน ในห้องหนูมี…”

“มีอะไร?”

ชุติเทพมองเจสสิก้าที่หน้าแดงด้วยสายตาล้อเลียน พลางถามกระเซ้า

พอเห็นสีหน้าแบบนี้ของชุติเทพ เจสสิก้าถึงบางอ้อ

“ดีนี่ อาจารย์ อาจารย์จงใจล่ะสิ ต่อไปอาหารสามมื้อหนูไม่ทำให้แล้ว!”

ระหว่างพูด เจสสิก้าหันหัวไปอีกข้างด้วยความโกรธ แต่หน้าเธอกลับแดงมากขึ้นกว่าเดิม

ชุติเทพมองท่าทางเขินอายของลูกศิษย์ตัวเองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แอบคิดในใจว่า

“เด็กน้อย ผมทำเพื่อคุณนะ คุณไม่ให้เขาเห็น เขาจะเข้าใจความรู้สึกคุณได้ยังไงกัน?”

ในห้อง กลับเป็นบรรยากาศตึงเครียด

“พวกเราเริ่มกันเถอะ” ธีรพัฒน์พูดระหว่างมองหน้ารพีพงษ์

“รพีพงษ์ ฉันกลัว” อารียาบอก

รพีพงษ์ยิ้มมุมปาก พลางโอบไหล่อารียาว่า “วางใจเถอะ ผมอยู่ข้างคุณตลอด ผู้อาวุโสธีรพัฒน์เก่งมากนะ คุณต้องเชื่อเขาสิ”

เห็นสายตาอบอุ่นของรพีพงษ์ อารียาพยักหน้า เหมือนไม่กลัวเท่าไหร่แล้ว

“รพีพงษ์ ต่อให้พิษในร่างฉันแก้ไม่ได้ มีคุณอยู่เคียงข้าง แค่นี้ก็พอใจแล้วล่ะ” อารียาพูด

พอนึกถึงเรื่องในอดีต ภาพความทรงจำสวยงามแล่นผ่านเข้ามาในสมองประหนึ่งภาพหนัง

และภาพสวยงามพวกนี้รพีพงษ์เป็นคนสร้างให้เธอทั้งนั้น

“แต่งงานกับคุณ ฉันไม่เคยเสียใจเลย เพราะฉันแต่งงานกับผู้ชายที่ดีที่สุดในโลก” อารียาบอก

รพีพงษ์จุมพิตที่แก้มเธออย่างรักใคร่

“คุณอย่าพูดซี้ซั้วสิ ทางเดินในอนาคตของพวกเรายังอีกยาวไกลนะ มีผมอยู่ คุณไม่เป็นไรหรอก” รพีพงษ์บอก

“แค่กแค่ก”

อีกด้านหนึ่งธีรพัฒน์กระแอมสองที และยิ้มบอก “วางใจเถอะ คุณหลับไปสักพัก พอคุณตื่นก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ”

“ค่ะ รบกวนผู้อาวุโสธีรพัฒน์ด้วยนะคะ” อารียาบอก

ความอบอุ่นของปราณทิพย์แล่นเข้าไปทั่วร่างของอารียา ไม่นาน อารียาค่อยๆหลับลึกนอนลงบนเตียง

“รพีพงษ์ ตอนนี้ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ!”

ธีรพัฒน์บอกรพีพงษ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท