พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่1214 ในที่สุดก็รอจนได้พบคุณ

บทที่1214 ในที่สุดก็รอจนได้พบคุณ

“แม่ง ทำไมกูมีเลขาอย่างมึงนะ ตั้งแต่ตระกูลอุเอสึงิถูกล้างบางไป ตระกูลฮารุฮิก็ขึ้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นแล้ว มึงรู้อะไรบ้างเนี่ย!” ธมลด่ารุนแรง

“อะไรนะ? ตระกูลอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น?” เลขาสาวแข็งทื่อเป็นหินไปในที่สุด

วันนี้เป็นอะไรเนี่ย คนหนึ่งตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศจีน อีกคนตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น แต่ตัวเองกลับทำผิดต่อทุกคน

“รีบขอโทษคุณมิยาโมะโตะเร็วๆ!” ธมลกล่าว

เลขาสาวก้มหน้า “ฉัน……ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ทราบว่าคุณคือคุณมิยาโมโตะ ต่อไปฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว”

ฝนสุดากล่าวอย่างไม่พอใจ “ถ้ารพีพงษ์ไม่อยู่ที่ล็อบบี้ ฉันขี้เกียจจะเจอพวกคุณ แต่ ในเมื่อก่อนหน้านี้พวกคุณกล้าดูถูกฉัน งั้นก็ต้องรับผิดชอบกับการกระทำ

ฝนสุดาพูดพลาง หยิบมือถือขึ้นมา “ผู้ว่าการป้อง ฉันคือฝนสุดา ได้ยินมาว่าเมืองของเราเชิญคนมาลงทุน ใช่มั้ย”

ปลายทางมีเสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นมา “ที่แท้ก็เป็นคุณฝนสุดานี่เอง ไม่คาดคิดจริงๆว่าคุณจะโทรหาผม สิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง เราเชิญบอสธมลมาลงทุน น่าจะมาถึงในวันสองวันนี้แหละครับ”

โครงการนี้ลงทุนประมาณเท่าไหร่? ฝนสุดาถาม

“เกือบๆ พันล้านนะ” ผู้ว่าการป้องกล่าว

“พันล้าน? ไม่มากนะ”ฝนสุดาหัวเราะ “ผู้ว่าการป้อง ฉันรับโครงการนี้เอง พันห้าร้อยล้าน เงินสด!”

“คุณฝนสุดา คุณ……คุณพูดจริงเหรอ? ดีจริงๆ ผมจะไปปฏิเสธบอสธมลเดี๋ยวนี้”

“โอเค งั้นเรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้เงินจะเข้าบัญชีจำนวนพันห้าร้อยล้าน”

พูดพลาง ฝนสุดาก็ได้วางสายไป

ธมลและเลขาสาวมึนงง เพราะวันนี้ตนก่อเรื่อง ทำให้โครงการนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า

“ตอนนี้ พวกคุณไปได้แล้ว ฉันหวังว่าจะไม่เจอพวกคุณอีก!”

ตอนฝนสุดาพูด ไม่แม้แต่จะมองพวกเขาทั้งสอง เพียงแค่หันไปยิ้มให้รพีพงษ์ที่อยู่ข้างๆ

“หิวแล้วใช่มั้ย ไปข้างบนกัน ฉันเตรียมอาหารค่ำแล้วเรียบร้อยแล้ว คุณไม่รู้อะไร ฉันนะมีเรื่องจะคุยกับคุณเยอะแยะไปหมดเลย”

เธอพูดพลาง จับแขนรพีพงษ์ เดินไปข้างบน

ธมลแข็งทื่ออยู่ข้างๆ

ฝนสุดาที่ท่าทางเลือดเย็นอยู่เมื่อกี๊ แต่กลับมีท่าทีอบอุ่นเหมือนลมฤดูใบไม้ผลิต่อรพีพงษ์

แท้จริงแล้ว ความแตกต่างระหว่างคนนั้นมันมีมากมายจริงๆ

“พอแล้ว สุดา คุณปล่อยมือได้แล้วละ”

เมื่อมาถึงประตูห้องชั้นบนสุด รพีพงษ์ได้เอามือของอีกฝ่ายออกจากแขนของตน

“ทำไม แค่แป๊บเดียวก็ไม่ได้เหรอ?” ฝนสุดากล่าว เหมือนกับจะน่าสงสาร

“คุณรู้ดี ผม……”

“ฉันรู้ คุณมีภรรยาแล้ว ไม่พูดซ้ำๆจะได้มั้ย”

ฝนสุดาพูดพลาง เปิดประตูห้องออก

บนโต๊ะอาหารตะวันตกอย่างประณีตโต๊ะหนึ่ง ได้วางอาหารที่วิจิตรบรรจงไว้มากมาย เมื่อดูก็รู้ว่าใช้จิตทำ

“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเฉพาะกิจ วัตถุดิบพวกนี้ถูกขนส่งจากประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านทางอากาศ ไม่รู้ว่าถูกปากคุณมั้ย” ฝนสุดากล่าว

“นี่ก็ดีมากแล้ว ขอบคุณมากจริงๆ ผมไม่ซีเรียสเรื่องการกิน” รพีพงษ์กล่าวอย่างเรียบง่าย

“อ้อ้ใช่ เมื่อก่อนคุณอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ละ แล้วก็ โรคที่นี่มันเป็นมาเป็นไปยังไง?” รพีพงษ์ถาม

ฝนสุดายิ้ม “รพีพงษ์ แป๊บเดียวคุณก็ถามเยอะขนาดนี้ คุณอยากให้ฉันตอบคำถามข้อไหนก่อนดีละ?”

“งั้นคุณก็ตอบทีละข้อก็แล้วกัน” รพีพงษ์ยิ้ม แล้วจิบไวน์แดงไปหนึ่งกรึ๊บ

ฝนสุดายกแก้วเช่นกัน จากนั้นก็ยิ้ม “คุณนั่นแหละ หลังจากที่ครั้งที่แล้วคุณไปจากประเทศญี่ปุ่น ก็ทิ้งฉันไว้กับชุติเทพ ทำไม คิดว่าฉันกับอุเอสึงิ ฮารุน่ารำคาญเหรอ?”

“ไม่เลยไม่เลย ผมแค่รู้สึกว่าพวกคุณมีพรสวรรค์มาก ดังนั้นจึงให้ชุติเทพสอนพวกคุณ” รพีพงษ์รีบกล่าว กินซูชิเข้าไปหนึ่งคำ แก้เขิน

ฝนสุดายิ้มอย่างขี้เล่น “ชั่งเหอะ ใครให้ฉันมีนิสัยอ่อนโยนละ ยกโทษให้กับเรื่องครั้งที่แล้วของคุณ แต่เอาจริงๆ ฉันอยากขอบคุณที่คุณให้ฉันเรียนศิลปะการป้องกันตัวกับชุติเทพนะ”

“เหรอ? ดูๆแล้วช่วงนี้คุณฝึกฝนไปไม่น้อยเลยนะ?” รพีพงษ์ยิ้มพลางถาม

“ก็ได้อยู่นะ เน่ยจิ้งขั้นกลาง” ฝนสุดากล่าว ด้วยท่าทีรีบชมฉันสิ

“ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ถึงขั้นเน่ยจิ้งขั้นกลางได้ ถือว่าไม่เลว” รพีพงษ์พูดตรงๆ

ถึงแม้ พรสวรรค์แบบนี้มาเทียบกับของตัวเอง ยังห่างกันอยู่มาก

“ชิ แน่นอน เทียบกับคนประหลาดอย่างคุณไม่ได้หรอก แต่ ชุติเทพพูดแล้ว เพียงแค่ฉันตั้งแต่ฝึกฝน ใช้เวลาไม่กี่ปี ไม่แน่อาจจะเป็นแดนดั่งเทพก็ได้” ฝนสุดากล่าว

รพีพงษ์พยักหน้า ตอนแรกตนก็มองเห็นพรสวรรค์ของฝนสุดาเช่นกัน ดังนั้นจึงได้แนะนำให้ชุติเทพ

“รู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่?”

ฝนสุดาถาม

รพีพงษ์ยักไหล่ “ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงปรากฏกายที่นี่ นี่มันน่าแปลกใจมากจริงๆ”

“ก็ไม่ใช่เพราะคุณหรือไง” ฝนสุดาทำปากมุ่ยแล้วกล่าว “ไม่งั้น ฉันคงไม่มารอคุณที่เมืองเล็กๆแบบนี้หรอก”

“รอผม?”

รพีพงษ์ยากที่จะเชื่อคำพูด

“ใช่ ใครให้ฉันลืมคุณไม่ได้ละ คิดถึงคุณมาโดยตลอด” ฝนสุดากล่าว “เป็นยังไงบ้าง ได้ยินฉันพูดแบบนี้ แอบดีใจอยู่ใช่มั้ยละ?”

“แฮ่มแฮ่ม คุณยิ่งพูดผมยิ่งมึนละ”

รพีพงษ์รีบดื่มเหล้าเข้าไป “คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมจะปรากฏตัวที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ ถ้าผมไม่มา คุณก็ต้องรอเปล่าประโยชน์เลยนะสิ?”

“นิรภัฏเป็นคนบอก”

“นิรภัฏ? เขารู้ได้อย่างไรกัน” รพีพงษ์สงสัย

“ธัชธรรมน่าจะบอกเขา” ฝนสุดาพูดต่อ “นิรภัฏรู้ว่าฉันคิดถึงคุณทุกเช้าค่ำ จากนั้นจึงพูดว่า คุณอาจจะกลับไปที่สำนักเทพยาเซียน ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ให้ฉันรู้คุณที่นี่”

รพีพงษ์ไตร่ตรองอย่างละเอียด พอจะรู้แล้วว่าทำไมนิรภัฏถึงได้รู้เรื่องนี้

ไม่ต้องพูด น่าจะเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่หลังจากธีรพัฒน์กลับไปที่สำนักเทพยาเซียนแล้วพูดเรื่องนี้กับธัชธรรม แล้วธัชธรรมบอกนิรภัฏต่อ

“หลังจากที่ผมมาถึงเมืองเล็กๆนี้แล้ว ก็สนใจโรงแรมนี้ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ซื้อโรงแรมไว้เพื่อรอคุณ” ฝนสุดากล่าว

ไม้ทั้งสองแทนตัวอักษรหลิน ตอนนี้รพีพงษ์เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว

ไม่คาดคิด ว่าฝนสุดาจะใช้ใจกับตนมากขนาดนี้

เพียงแค่ รพีพงษ์ตัดสินใจแล้ว ว่าชาตินี้ จะไม่ผิดต่ออารียา

พูดได้เพียงว่า ฝนสุดาปรากฏตัวค่อนข้างช้าไปหน่อย

“แล้ว โรคในครั้งนี้ละ คุณพอจะรู้เรื่องมั้ย?” รพีพงษ์เปลี่ยนเรื่องคุยแล้วถาม “ครั้งที่แล้วตอนที่ผมมา ที่นี่ไม่เหมือนสถานการณ์ในตอนนี้เลย”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ คิ้วของฝนสุดาได้ขมวดเข้ามาหากัน “โรคที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันแปลกมา ได้ยินมาว่ามันแพร่ระบาดเมื่อไม่กี่วันก่อน มาอย่างรุนแรง ฉันสงสัยมาตลอดว่า……”

“สงสัยอะไร?” รพีพงษ์ถาม

“ฉันสงสัยว่า โรคระบาดในครั้งนี้เป็นฝีมือของมนุษย์” ฝนสุดากล่าว

“ฝีมือมนุษย์?” รพีพงษ์หน้าลิ่วคิ้วขมวด ถ้าเป็นจริงตามนี้ละก็ งั้น คนนี้มันก็เลวร้ายเกินไปแล้ว

“คุณพูดมีเหตุผล ที่นี่อยู่ใกล้กับสำนักเทพยาเซียน ปราณทิพย์มหาศาล ตามหลัก ที่แห่งนี้ไม่น่าจะมีโรคระบาดแบบนี้” รพีพงษ์กล่าว

ฝนสุดาพยักหน้า จากนั้นก็ยิ้ม “แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของฉัน ฉันเพียงแค่รอคุณก็พอแล้ว ”

รพีพงษ์ยิ้มอย่างเบื่อหน่าย “ถ้าคุณไม่เจอผม หรือ ถ้าผมไม่ได้พักที่เมืองเล็กๆนี้เลยจะทำยังไง?”

“งั้น……ฉันก็จะรอต่อไป”

ฝนสุดาก้มหน้าพูด ด้วยใบหน้าสีแดงก่ำ

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท