พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก – บทที่ 1236 ปยุตคำนับอาจารย์

บทที่ 1236 ปยุตคำนับอาจารย์

เช้าวันต่อมา

เสี่ยงนอนกรนของปยุตเมื่อคืนนี้ ทำให้รพีพงษ์รู้ว่าอะไรที่เขาเรียกว่าดังสนั่นฟ้าดิน เขาแทบปิดตาหลับไม่ได้ทั้งคืน จนถึงช่วงดึกรพีพงษ์ถึงจะได้หลับ

เสียงนกร้องในหุบเขา ปลุกรพีพงษ์ให้ตื่นขึ้น

พอกำลังลืมตาขึ้น รพีพงษ์ก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตรงหน้าตนเอง

รอยยิ้มนั้น มันอบอุ่นบริสุทธิ์ จนน่ากลัว!

รพีพงษ์ก็กำหมัดต่อยออกไปด้วยสัญชาตญาณ โดยไม่ลังเล

“อย่าๆ !”

ปยุตพูดออกมา

รพีพงษ์ก็พบว่า คนที่มายิ้มใส่หน้าตนเองตั้งแต่เช้า ก็คือตาแก่ปยุตนี่เอง

โชคดีที่รพีพงษ์ตอบสนองเร็ว จึงเก็บกำปั้นกลับมาได้

“คุณมาจ้องมองทำไมตั้งเช้าเนี่ย?” รพีพงษ์หัวเสียนิดหน่อย

เล่นแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าตนเองเก็บกำปั้นไม่ทันล่ะก็ ตอนนี้กระดูกของปยุตก็คงจะแหลกสลายไปหมดแล้ว

“ผมแค่อยากจะบอกว่า อาหารเช้ามาส่งแล้ว รีบลุกไปกินเลย” ปยุตเหมือนจะไม่หัวเสียเลย ยังคงยิ้มตาหยีพูดออกมาเหมือนเดิม

รพีพงษ์ก็แอบแปลกใจ ตาแก่คนนี้ วันนี้เป็นอะไรไป รู้สึกไม่เหมือนเมื่อวาน

อยู่ดีๆ มาทำดีด้วย ไม่มีเรื่องดีแน่!

รพีพงษ์ก็คิดในใจว่า ตาแก่นี่ จะต้องมีเรื่องมาขอร้องตนเองแน่

“มา รีบกินสเต๊กเนื้อนี่สิ!”

ปยุตก็เอาสเต๊กเนื้อวากิวจากประเทศญี่ปุ่นใส่ลงไปในจานของรพีพงษ์โดยไม่รอรี

คุณภาพเนื้อนุ่มลิ้น ละลายในปาก

พูดถึงสเต๊กเนื้อแบบนี้ รพีพงษ์ก็ยอมรับในคุณภาพของวัวญี่ปุ่น

“ถ้าคุณจะพูดกับผมเรื่องรอธส์ไชลด์ล่ะก็ บอกเลยว่าไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ผมรับปากคุณแล้ว ผมไม่เบี้ยวคุณหรอก” รพีพงษ์กล่าว

“เปล่า ใช่เรื่องรอธส์ไชลด์ที่ไหนกัน”

ปยุตทำท่าดีใจ แล้วก็ยิ้มใส่ฝั่งตรงข้าม

รพีพงษ์ก็ทำอะไรไม่ได้ คนแก่ๆ คนหนึ่ง มายิ้มให้คุณตั้งแต่มื้อเช้า โดยไม่มีเหตุผล ต่อให้เป็นเนื้อวัววากิวจากญี่ปุ่น ก็ไม่อร่อยแล้ว

“วางมีดกับส้อมลง รพีพงษ์ก็พูดว่า “มีเรื่องอะไรก็บอกมาตามตรงเลยครับ ไม่ต้องมองผมแบบนี้” ”

“จริงๆ ……..ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

ถูกเดาความคิดออก ปยุตก็เขินอายขึ้นมา

“จริงๆแล้ว ผมมีเรื่องหนึ่งอยากจะให้คุณช่วย คือว่า……”

พูดถึงตรงนี้ ปยุตก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วก็คำนับไปที่รพีพงษ์ โดยไม่รอให้เขาตอบสนองอะไรเลย

“ผมอยากขอให้คุณมาเป็นอาจารย์ผม สอนให้ผมบำเพ็ญฝึกวิชา!”

“อะไรนะ?”

รพีพงษ์รีบลุกขึ้น “นี่คุณ จะกราบผมเป็นอาจารย์งั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว!”

ปยุตเหลือบาขึ้นมองรพีพงษ์ “ให้ตายเถอะ ไอ้แก่จิรภัทรนั่น มักจะอาศัยว่าตัวมันเองมีวิชาสูงกว่าผม พอพูดไม่เข้าหูก็เอากำลังมาบีบบังคับผม ผมไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก”

รพีพงษ์ก็หัวเราะออก “พูดมาตั้งนาน ที่แท้ก็เรื่องแค่นี้เอง”

“ใช่ ด้วยเหตุผลนี้แหละ แต่ว่า ผมยังมีเหตุผลอื่นด้วย” ปยุตพูด

“คุณลุกขึ้นมาพูดก่อนเถอะ มีเรื่องอะไรก็ลุกขึ้นมาพูดกันก่อน ถ้าคุณยังคุกเข่าอยู่แบบนี้ล่ะก็ งั้นผมก็จะคุกเข่าลงไปเหมือนกัน” รพีพงษ์กล่าว

ยื่นมือออกไปช้าๆ รพีพงษ์ก็พยุงเขาลุกขึ้นมา

“เก่งกาจกว่าไอจิรภัทรนั่นจริงๆ ด้วย!” ปยุตพูดชมออกมา

“ไหนลองว่ามา มีเหตุผลอะไรที่จะให้ผมช่วยคุณเพิ่มระดับ” รพีพงษ์ถามเบาๆ

“ก็เพราะคุณไง!”

ปยุตพูดสีหน้าปกติ

“ผมงั้นหรือ?”

ครั้งนี้ รพีพงษ์ไม่รู้จริงๆ ว่าในใจของตาแก่นี่กำลังคิดอะไรอยู่ อยู่ดีๆ ทำไมลากเอาตนเองไปเกี่ยวข้องด้วย

“ถูกต้อง”

สายตาของปยุตจริงจังขึ้น ไม่ได้พูดเล่นแม้แต่น้อย แล้วก็พูดว่า “คุณรู้อยู่ว่าตอนนี้ผมอยู่ในระดับแดนปรมาจารย์เท่านั้น ถึงแม้จะมีส่วนช่วยในด้านอายุขัยอยู่มาก แต่ว่า ถึงแม้จะอายุยืน แต่ก็มีวันสิ้นอายุ”

ตาแก่นี่ มีความรู้เหมือนกันนะเนี่ย!

รพีพงษ์คิดในใจ

“ดังนั้นก็เลยจะ……”

ปยุตก็พูดต่อ “ผมเลยคิดว่า อยากจะอาศัยโอกาสที่ได้อยู่กับคนอัจฉริยะแบบคุณอย่างนี้ทุกวัน ไม่สู้รีบเพิ่มตบะบำเพ็ญ ลองดูสิว่าผมจะเลื่อนขั้นได้ไหม”

รพีพงษ์ก็พูดนิ่งๆ ว่า “ที่แท้คุณก็จะทำเพื่อยืดอายุขัย แต่ก็เหมือนที่คุณพูดไว้นะ ต่อให้เป็นระดับแดนเทพ อายุขัยก็จะมีวันสิ้นสุดในสักวัน”

“ถูกต้อง ตอนแรกผมก็คิดแบบนี้ แต่ว่า ตั้งแต่ที่ได้รู้จักคุณ ผมก็อยากมีชีวิตที่ยืดยาวกว่าเดิม”

ปยุตบอกว่า “เพราะว่า คุณทำให้ผมได้มีมุมมองใหม่ต่อสรรพสิ่งต่างๆอยู่ตลอดเวลา ผมอยากดูเห็น อยากจะเห็นว่าสุดท้ายแล้ว คุณจะกลายเป็นยอดฝีมือแบบไหนกันแน่!”

รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กๆ แล้วมองปยุต

คำที่ปยุตพูดแต่ละคำมันมาจากใจ ถึงขนาดแม้แต่ตนเองก็ยังไม่เคยได้คิดถึงปัญหาจุดนี้เลย

ใช่น่ะสิ หลังจากนี้หลายปี ผมจะกลายเป็นคนแบบไหนกันแน่?

ในใจรพีพงษ์ไม่มีคำตอบ แต่เขารู้ดีว่า จากการที่ระดับที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ มันก็จะหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

ที่ตนเองแบกรับไว้ ก็คือแรงกดดันที่คนอื่นไม่สามารถรับรู้ได้

“ปยุต คุณให้ผมสอนคุณ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้” รพีพงษ์กล่าว

ปยุตเตรียมจะคำนับลงไปอีกครั้ง รพีพงษ์ก็ยื่นมือไปพยุงเข้าขึ้น

“เรื่องการกราบเป็นอาจารย์ ก็ไม่ต้องหรอก พอดีเลยว่า ผมก็กำลังจะขอให้คุณสอนเรื่องการกลั่นยา พวกเราก็ถือว่าเจ๊ากันไป คุณว่าไง?” รพีพงษ์กล่าว

พอปยุตได้ยิน ก็ไม่ได้บังคับอะไร

“ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ จากนี้พวกเราก็เรียกชื่อซึ่งกันและกัน ไม่ต้องมาคิดเรื่องผู้ใหญ่ผู้น้อย เป็นไง?” ปยุตยิ้มพูด

“ตามนี้!”

สายตาของรพีพงษ์มีรอยยิ้ม รู้จักกัน2วัน เขาก็มองตาแก่นี่ในอีกแบบหนึ่ง

ปยุตคนนี้ มีความคิดซื่อตรง จะทำอะไรก็ทำตามความชอบของตนเอง ไม่ถูกควบคุมจากเรื่องราวภายนอก ใช้ชีวิตอย่างปลดปล่อย

“ผมมีเคล็ดวิชาอันหนึ่ง เหมาะกับการฝึกวิชาของคุณเหมือนกัน ขอเพียงคุณขยันฝึกฝน จะเลื่อนขั้นได้ในไม่ช้า” รพีพงษ์กล่าว

“เคล็ดวิชาอะไรครับ?”

ปยุตรีบถาม

“คาถาคำสิบ”

รพีพงษ์ตอบ

ก่อนหน้านี้ หลังจากที่รพีพงษ์ได้รับการถ่ายทอดทั้งหมดจากจอมมารชูร่าแล้วนั้น ก็เคยจดจำกระบวนท่าของจอมมารชูร่าทั้งหมดอีกครั้ง

เขาก็ได้พบกับคาถาคำสิบบทนี้เข้า

เคล็ดวิชานี้ เหมาะสมกับคนที่มีพื้นฐานแล้วอย่างมาก

เคล็ดวิชามีทั้งหมด10ตัวอักษร เมื่อฝึกได้แต่ละอักษรแล้ว พลังของตนเองก็จะเพิ่มขึ้น

ถ้าหากว่าฝึกครบทั้ง10ตัวอักษรแล้ว รพีพงษ์ก็คาดว่า ปยุตก็จะสามารถเข้าสู้ช่วงกลางของระดับแดนดั่งเทพ

เพียงแต่ สำหรับรพีพงษ์ที่เข้าสู่ระดับแดนดั่งเทพแล้วนั้น เคล็ดวิชาแบบนี้มันไม่มีประโยชน์แล้ว

“คาถาคำสิบงั้นหรือ?”

ปยุตได้ยินดังนั้น ก็แปลกใจอย่างมาก “นี่มันเป็นคาถาซ่างกู่ เป็นสุดยอดเคล็ดวิชา คุณไปได้มันมาอย่างไร?”

รพีพงษ์ก็อึ้งๆ จริงอยู่ จอมมารชูร่าเป็นแค่การสืบทอดวิชาการต่อสู้ แต่ล้วนแล้วไม่ธรรมดา

“เรื่องนี้คณไม่ต้องกังวล สรุปว่า เดี๋ยวผมจะถ่ายทอดคาถาคำสิบนี้แก่คุณเอง”

พูดจบ รพีพงษ์ก็พูดไป ปยุตก็จดจำอย่างขึ้นใจ

ปยุตที่มีพลังจิต ความจำก็ไม่ได้แย่เลย ไม่นาน เขาก็จดจำคาถาคำสิบได้

“ขอบคุณมาก” ปยุตยกมือคำนับ

รพีพงษ์ยิ้มเบาๆ “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ต่อจากนี้ คุณก็ควรจะสอนผมกลั่นยาชั้นเลิศแล้วใช่ไหม?”

ปยุตหุบรอยยิ้ม แล้วพูดหน้านิ่งว่า “ตามผมมาเลย!”

ทั้งสองเดินออกถ้ำไป เดินไปได้กว่า10ลี้ ก็มาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง

“จะกลั่นยากันที่นี่งั้นหรือ?” รพีพงษ์ถามขึ้นมา

“ใช่แล้ว!”

ปยุตตอบกลับไป

รพีพงษ์ก็เห็นสภาพแวดล้อมรอบๆ มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ด้านหน้าก็เป็นหน้าผาสูงมาก

ปยุตคนนี้ ทุกครั้งที่ให้ตนเองกลั่นยา สถานที่กลั่นยาก็มักจะทำให้ชวนคิดเสมอเลย

ครั้งก่อนก็กลั่นยาในความมืด ครั้งนี้ก็มากลั่นยาที่หน้าผา รพีพงษ์เดาทางไม่ถูก

“ที่นี่ก็คือสถานที่ที่คุณจะกลั่นยา ยาเม็ดหลงกู่!”

ปยุตกล่าว แล้วก็เอาสูตรยามายัดใส่มือของรพีพงษ์

รพีพงษ์เห็นสูตรยา แล้วก็สงสัยว่า “น่าแปลก ยาเม็ดทั่วไปครั้งก่อนก็มีตัวยาตั้ง10กว่าชนิด ยาเม็ดระดับสูงมี30กว่าชิด ทำไมยาเม็ดหลงกู่มีตัวยาแค่3ชนิดล่ะ?

“เปลี่ยนซับซ้อนให้เป็นง่าย ของที่มีราคาสูง ก็จะยิ่งไม่มุ่งเน้นที่ความหรูหรา ดูไปเหมือนมีตัวยาแค่3ชนิด จริงๆ แล้ว มันก็เป็นความท้าทายต่อจิตสมาธิของคุณมาก!” ปยุตกล่าว

รพีพงษ์ก็คิดตามจากสิ่งที่เขาพูดมา ก็เหมือนกับการเรียนการต่อสู้ คนมีฝีมือเก่งๆ ก็จะคิดออกระบวนท่าคิดชีวิตไปเลย ใช้วิธีที่ง่ายที่สุด เพื่อเอาชีวิตฝั่งตรงข้าม

ดูเหมือนว่า หลักการแบบนี้มันจะใช่ร่วมกันได้

“งั้นพวกเราเริ่มกันเลย” รพีพงษ์กล่าว แทบจะทนรอไม่ได้แล้ว

ถ้าตนเองสามารถกลั่นยาชั้นเลิศออกมาได้โดยใช้เวลาเพียง2วันล่ะก็ เช่นนั้น ยาเม็ดระดับเทพเซียนในมือของโจซี่ ก็จะได้มาในไม่ช้านี้

“รอเดี๋ยว”

สายตาของปยุตเปลี่ยนไป แล้วมองรพีพงษ์เหมือนมีอะไรสักอย่าง

“ยาชั้นเลิศ ถ้ามีปัญหาอะไรระหว่างกลั่นยาล่ะก็ ก็จะถูกพลังของยาตีกลับจนเป็นอันตรายได้ ถ้าหนักก็ต้องจบชีวิต คุณเข้าใจแล้วใช่ไหม?”

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว / แมงดา? ผมเป็นสายเปย์ต่างหาก

อ่านนิยาย เรื่อง พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว ฟรี ได้ที่ novel-fast 


บทนำ
โดยนำเนื้อเรื่องมาจากบางส่วนของ พลิกชีวิตผมเป็นคนรวยแล้ว
ผมเป็นเป็นเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงมาสามปี ทุกคนต่างก็ คิดว่าสามารถเหยียบย่ำผมได้ ในวันนี้ เพื่อเธอ ผมจะต่อต้าน กับโลกนี้

เรื่องย่อ
“คุณชาย คุณจำเป็นจะต้องกลับไปเกียวโตกับ พวกเรา เพื่อสืบทอดกิจการของตระกูลลัดดาวัลย์

“คุณแม่ของคุณอยากจะขอโทษกับเรื่องที่ทำ ผิดพลาดในปีนั้น อีกทั้งยังหวังว่าคุณจะไม่คิดเล็ก คิดน้อยกับเรื่องบาดหมางครั้งก่อนเก่าและเห็นแก่ ส่วนรวม”

“ตระกูลลัดดาวัลย์ถือเป็นตระกูลชั้นนำของ ประเทศ จะขาดคนสานต่อไม่ได้ครับ” รพีพงษ์ มองไปยังชายชราตรงหน้าที่กำลังโค้ง

ตัวด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา

“ตอนแรกผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นต้องการจะ ควบคุมตระกูลลัดดาวัลย์ เธอขับไล่ฉันออกจากบ้าน อย่างไร้ความเมตตา แถมยังใส่ร้ายว่าฉันทรยศ เธอ กลัวว่าฉันจะแก้แค้นเลยบังคับให้ฉันมาอยู่ในเมือง เล็กๆ อย่างเมืองริเวอร์แถมยังโดนคนเยาะเย้ยว่าเป็น ลูกเขยที่ไม่มีปัญญาแต่งภรรยาเข้าบ้าน ต้องยอมไป เป็นเขยบ้านคนอื่น”

“ตอนนี้เธอป่วยหนัก พวกนายถึงจะคิดถึงฉัน ไม่ คิดว่าสายเกินไปหน่อยเหรอ”

“ฉันชินกับการเป็นลูกเขยที่ต้องมาอยู่ในตระกูล ฉัตรมงคล ชินแล้วกับการที่โดนคนพูดว่าเกาะผู้หญิง กิน ฉันไม่สามารถไปยุ่งกับเรื่องของตระกูลลัดดา วัลย์ได้อีก พวกนายกลับไปเถอะ”

พูดจบรพีพงษ์ ก็หมุนตัวโยนขยะถุงขยะในมือ ลงถัง แล้วเดินจากไป

ถึงแม้การที่ได้เป็นคนสืบทอดตระกูลลัดดาวัลย์ จะเป็นเรื่องช็อกโลก แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับ เรื่องนี้

ในปีนั้นเขาโดนคนในตระกูลลัดดาวัลย์ไล่ออก จากบ้าน เขาก็ไม่เหลือเยื่อใยอะไรกับตระกูลลัดดา วัลย์อีกแล้ว

ตอนนี้เขาเป็นลูกเขยที่ไม่เอาไหนในตระกูล ฉัตรมงคลตระกูลอันดับสองของเมืองริเวอร์อีกทั้ง เขายังเป็นไอ้สวะที่รู้จักกันในเมืองริเวอร์

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นคุณชายของตระกูลลัด ดาวัลย์แห่งเกียวโต

แต่ทว่าเรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เขา จะใช้ชีวิตอย่างอนาถ ทั้งตัวของเขามีเงินฝากไม่ถึงสี่หลัก แต่เขากลับไม่เสียใจ

รพีพงษ์ เดินถือผลไม้ในมือไป บ้านของตระกูล ฉัตรมงคล วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่ ญาติ สนิทของตระกูลฉัตรมงคลจะมารวมตัวกันที่นี่ แน่นอนว่างานนี้หลีกเลี่ยงการพูดเปรียบเทียบไม่ได้ อยู่แล้ว แต่ทว่ารพีพงษ์ กลับทำให้ครอบครัวของ อารียาเป็นเรื่องตลก

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนในตระกูลฉัตรมงคลต่าง พากันนำของขวัญมามอบให้คุณปู่

“คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ชอบของโบราณ รูปภาพนี้ คือ (ภาพฤาษีตกปลาในซีชาน) ของ ถางหูโป์เป็น รูปภาพจริงที่ผมตั้งใจหามาให้คุณปู่ นี่ครับคุณปู่” หลานคนโตธายุกร ยิ้ม แล้วมอบม้วนรูปภาพหนึ่งให้ ชายชรา

“คุณปู่ หยกชิ้นนี้เป็นของที่ผมขอร้องให้เพื่อนที่ อยู่ต่างประเทศซื้อให้ ราคาไม่เบาเลยค่ะ” หลานรัก คนเล็กอย่างชรินทร์ทิพย์ยื่นหยกให้ชายชรา

ต่างคนต่างก็แย่งกันมอบของขวัญ เพื่อที่จะเอา อกเอาใจคุณปู่

“คุณปู่ ปู่พอมีเงินให้ผมยืมสักห้าแสนไหมครับในปีนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้รับเงินบริจาค จากผู้ที่มีเมตตา มันใกล้จะไปต่อไม่ได้แล้วครับ ขีน เป็นแบบนี้ต่อไป เด็กๆ ในนั้นก็จะไร้ที่อยู..

ขณะนั้นเอง รพีพงษ์ที่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะก็เอ่ยขึ้นมา เกิดความโกลาหลขึ้น

ศศินัดดาแม่ของภรรยาลุกขึ้นมาในทันที เธอชี้ หน้าของเขาแล้วต่อว่าทันที “นี่สมองแกมีปัญหาหรือ ไง รู้ไหมว่าแกกำลังพูดอะไรอยู่”

สาวงามแห่งเมืองริเวอร์อย่างอารียา ผู้เป็นซึ่ง เป็นภรรยาของรพีพงษ์ ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบ นั้นออกมาเหมือนกัน เธอถึงกับต้องลุกขึ้นยืนแล้วพูด ว่า “คุณปู่ เขาคงจะไม่ค่อยมีสติ คุณปู่อย่าไปใส่ใจ กับคำพูดของเขาเลยค่ะ”

พูดจบเธอก็ยื่นมือออกไปบีบแขนของสามีอย่าง รุ่นแรง

สามปีก่อน ก่อนที่คุณย่าฉัตร จะจากไป เธอรีบ บังคับให้อารียา แต่งงานกับรพีพงษ์เทพธิดาผู้ซึ่งเปล่งประกายระยิบระยับใน สายตาของชาวโลก พลันต้องตกลงสู่พื้นดิน

สามปีมานี้ รพีพงษ์ไม่ทำการทำงานอะไรเลย วันๆ ทำแค่เพียงซักผ้า ทำกับข้าว ทิ้งขยะ ผู้คนใน เมืองริเวอร์ ขนานนามเขาว่าไอ้สวะ เดิมที่เคยภาค ภูมิใจว่าเป็นเทพธิดา ก็กลายเป็นคำเย้ยหยันไปโดย สิ้นเชิง

ตอนนี้ รพีพงษ์ก็มาสร้างความลำบากในงานวัน เกิดของคุณปู่อีก

“น่าตลกสิ้นดี นึ่งานวันเกิดของคุณปู่ ไม่มีของ ขวัญไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินห้าแสนอีก รพีพงษ์ ไม่กี่ ปีมานี้นายทำให้ตระกูลฉัตรมงคลขายหน้าไม่พออีก เหรอ นายอุตส่าห์มายืมเงินในงานวันเกิด จะทำให้ คุณปู่โกรธหรือไง” คนที่พูดคือธายุกร ลูกหลานที่ ทำให้ท่านปู่นภทีป์ พึงพอใจมาตลอด

“ฉันว่าไอ้คนสมองพิการมันจงใจ อีกอย่างสถาน เลี้ยงเด็กกำพร้าก็แค่ข้ออ้าง มันต้องการเอาเงินของ คุณปู่ไปใช้เอง ดูจากสมองของมันแล้วคงจะคิด อะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก คงจะเป็นอารียาที่สั่งมันมา สินะ”

หลานสาวที่คุณปู่รักที่สุดอย่างชรินทร์ทิพย์พูด เสริม พวกเธอไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาสก็พูด ใส่ร้าย อารียา

เมื่อมีคนพูดถึง อารียา รพีพงษ์ก็อธิบายขึ้นมา ทันที “ไม่ใช่ ผมแค่ต้องการยืมเงินคุณปู่ ช่วงนี้ผม หมุนเงินไม่ค่อยทัน ผมไม่มีปัญญาหาเงินเยอะขนาด นั้น ผมจะต้องหาเงินมาคืนคุณปู่แน่นอน”

“เลิกพูดไร้สาระสักที คนไร้ประโยชน์อย่างนาย ขนาดงานยังไม่มีให้ทำถ้าให้นายยืม นายจะเอา ปัญญาที่ไหนมาคืน” ธายุกรพูดเย้ยหยัน

“จริงค่ะ ไอ้สวะนี่มันมาจากสถานเลี้ยงเด็ก กำพร้า แกยืมเงินคุณปู่เพื่อไปเลี้ยงพวกสวะแบบแก เหรอ ฉันว่าทางที่ดีแกรีบปิดไอ้สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้านั่นซะเถอะ” ชรินทร์ทิพย์พูดด้วยสีหน้า ประชดประชัน

รพีพงษ์มองคนที่กำลังต่อว่าเขาแล้วกัดฟัน กรอด ตอนที่เขากลายเป็นคนเร่ร่อน สถานเลี้ยงเด็ก กำพร้ามารับตัวเขาไว้ เขาถึงเติบโตเป็นผู้เป็นคนมา ถึงทุกวันนี้ ตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลัง ลำบาก เขาจึงอยากช่วย แต่เรื่องมันกะทันหันเกินไป เขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น เขาคิดได้เพียงการยืมเงิน เท่านั้น

ตอนแรกเขาคิดว่าทุกคนจะมีความเมตตาช่วย เหลือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับสายตาอันเย็นชาแบบนี้ ในใจของเขาคิดถึงวิกฤติ ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาถึงไม่แสดงท่าที เกรี้ยวกราดอะไรออกมา

ชายชราที่ป์ โกรธจนหน้าดำหน้าแดง เขา จ้องรพีพงษ์เขม็ง แล้วพูดเสียงดังออกไปว่า “เลิกทำ ตามอำเภอใจได้แล้ว นี่พวกแกมาอวยพรฉันหรือจะ มาเพิ่มความวุ่นวายกันแน่ รีบไสหัวไปซะ งานเลี้ยง ของฉันไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์อย่างแก ต่อไป ถ้าบ้านเรามีงานเลี้ยงอะไร ฉันไม่อนุญาตให้แกเข้า ร่วมอีกต่อไป”

“คุณปู่ ตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าลำบาก มากจริงๆ เด็กพวกนั้นต้องการความช่วยเหลือ” รพี พงษ์กัดฟันพูดอย่างไม่ยอมแพ้ สีหน้าของเขาเต็มไป ด้วยความซื่อสัตย์

อารียาเห็นท่าที่จริงจังของเขาแล้ว ก็ถอน หายใจออกมาอย่างจนปัญญา แล้วพูดกับนภทีป์ “คุณปู่คะ เขาต้องการช่วยสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จริงๆ ค่ะ เขาเติบโตมาจากที่นั่น เขาผูกพันกับที่นั่น มาก คุณปู่ช่วยเขาด้วยนะคะ”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท